ความรู้สึกส่วนตัวหลังจากใช้งานมากว่า 1 ปี ของรถทั้ง 2 คัน
-Toyota Prius
เป็นรถที่พอได้ใช้ชีวิตด้วยกันแล้วแฮปปี้ดี เทคโนโลยีแปลกใหม่ รูปทรงไม่เหมือนใคร ออฟชั่นดีๆก็ยัดมาครบ
อัตราสิ้นเปลืองก็ดีน่าใจหาย แต่ต้องเติมน้ำมันปั๊มต่างชาตินะ ถึงจะเห็นภาพ
ด้านสมรรถนะ ถ้ายึดตามแถบ Eco Meter การกดคันเร่งแบบครึ่งๆ กลางๆ ความเร็วไม่ค่อยขึ้น
ต้องขยี้ไปให้ถึงแถบแดง (Power) ถึงจะเห็นผลชัดเจนว่ามาไวกว่าเดิม
ช่วงล่างเดิมที่ใส่ล้อ 16 ตึงตังกว่าตัวล้อ 15 พอสมควร
แต่เมื่อวิ่งทางไกลกลับรู้สึกมั่นคง และดีกว่าที่คิดไว้ (ปกติชินกับโตต้าช่วงล่างทื่อๆ)
งาน Packaging ที่หลายคนมักบอกว่า แคบ ไปนั่งแคมรี่ดีกว่า
พอผมมานั่งจริงๆ กลับนั่งสบาย พื้นที่วางขาเหลือเฟือ เบาะหลังอยู่ในองศาเอียงกำลังดี
แต่เพราะแนวกระจกหน้าต่างด้านหลังอยู่เหนือหัวไหล่ และเพดานเตี้ยไปสำหรับคนสูง 180 ขึ้น
พนักศรีษะเบาะหน้าใหญ่เวอร์บังวิวด้านหน้า มันเลยรู้สึกแคบในเหตุผลทางจิตวิทยา
ด้านที่ผิดหวังก็คงโมเดลที่บ้านผมซื้อ ณ วันนั้น เป็นวิทยุ-ซีดี MP3 ไม่มีจอ กระจกก็พับไฟฟ้าไม่ได้
นอกจากนี้ก็คงไม่มีอะไรต้องพูดถึง
-Honda Jazz 2012 รุ่นต่ำสุด S MT
ไม่เคยผิดหวังเลยที่วันนั้นตัดสินใจเลือกเกียร์ธรรมดามาขับแม้สภาพจราจร
ในกรุงเทพจะย่ำแย่ลงไปทุกวัน เป็นรถที่ชวนจะให้เล่นบทโหด
บนถนนได้ตลอดเวลา ถึงจะเป็นแค่เครื่องเดิมๆ จากโรงงาน ไม่ได้ไปปรับปรุงสมรรถนะใดๆ
เพียงแค่ได้ระบบส่งกำลังมา Compensate กับสิ่งที่ขาดหายไปในเกียร์อัตโนมัติ
แต่นั่นก็มีข้อเสียอยู่ด้วยก็คือ ความพยายามจะขับให้นิ่มนวลทำได้ยาก
เพราะเกียร์ 1 เกียร์ 2 เมื่อคลานต่ำๆ ในช่วงเย็นเลิกงาน
มักมีอาการกระจึ๊กกระจ๊าก เล็กน้อยเป็นบางครั้ง เหมือนแรงบิดในรอบต่ำไม่ค่อยดี
เกียร์ 1 ไป 2 เหมือนกับรถเกียร์ธรรมดาหลายคันในตลาดที่เซ็ตอัตราทดให้เน้นประหยัดน้ำมัน
ตอบออกเกียร์ 1 พุ่งดี แต่เข้าเกียร์ 2 ถ้าใครยังขับไม่คล่อง จังหวะ
ช่วงถอนคลัตช์พร้อมกับส่งคันเร่งไม่สัมพันธ์กัน รถจะสะอึกจากอาการรอบห้อย
ส่วนคันเร่งไฟฟ้า มีอาการแลคเล็กๆ เวลาจะทำ Rev matching ก็มีบางจังหวะเหมือนคันเร่งไม่ตามเท้า
มาถึงด้านตรงกันข้าม การเดินทางไกลด้วยรถเกียร์ธรรมดานั้น ความสุขในการขับรถบนทางหลวงยาวๆ
เพิ่มขึ้นเป็นหลายเท่าตัว เท่าที่จำได้ ตั้งแต่ออกทริปมาหลายๆรอบ ผมแทบไม่หาวในรถแจ็สเลยซักครั้ง
ผิดกับในหลายๆคันที่เป็นเกียร์อัตโนมัติ
และรู้สึกว่า ต้องใช้ไหวพริบกันพอสมควร แถมบางครั้งต้องคอยสับเกียร์ลง-ขึ้นเพื่อเร่งแซงรถในภาวะคับขัน
นั่นคงเป็นสาเหตุที่ทำให้ขับรถแล้วรู้สึกสนุก ไม่ง่วงหงาวหาวนอนก็เป็นได้
ด้านคันเกียร์อย่างที่เคยเขียนไปในรีวิว ฟิลลิ่งรถบ้านขับสนุกพอประมาณ
ระยะกำลังพอดี ไม่สั้นไม่ยาวไป แต่มีตอนเข้าเกียร์ 2 บางครั้งเหมือนมันชอบขบกันในตัว Shifter
คันเกียร์มีระยะฟรีป้องกันการ Vibrate (อาการสั่น)มากไป
เมื่อเทียบกับคันเกียร์ของซูสุกิ สวิฟท์ และฮอนด้า บริโอ้ ซึ่งโยกเยกน้อยกว่า
ด้านอัตราสิ้นเปลืองในเมือง ปกติผมใช้ 95E10 จะวิ่งๆ อยู่แถว 13-14 กิโลเมตรต่อลิตร
ถือว่าประหยัดเกินคาดจนทำให้คิดถึงเจ้า Jazz i-DSI เกียร์ CVT คันที่ขายไป
แต่... ถ้ามันติดไฟแดง จอดเกียร์ว่าง เป็นเวลาเนิ่นนานเกินกว่าเหตุ
ไอระบบลิ้นเร่งไฟฟ้า Drive-by-wire ของฮอนด้าคือตัวแดรกน้ำมันชั้นยอด
ถ้าเอาทฤษฎีง่าวๆที่ผมคิดเอาเอง ด้วยความที่ ECU สั่งเปิดลิ้นให้กว้างเพื่อลดการสึกหรอเวลารถจอดนิ่งๆ
มันทำให้อากาศเข้าไปมาก น้ำมันที่ผสมก็ต้องมากตามธรรมชาติของระบบเซ็นเซอร์ในเครื่องยนต์
ซึ่งถ้าสัปดาห์ไหนมีรถติดมากผิดปกติ อาจจะหล่นไปแถวๆ 12 กิโลเมตรต่อลิตรเลยก็มีเหมือนกัน
สุดท้ายนี้ก็ ขอบคุณที่สละเวลาเข้ามาอ่านกันครับ
ปล. ผมไม่ได้มีส่วนได้ส่วนเสียใดๆกับบริษัทน้ำมันทั้งสิ้น
เพียงแต่พิจารณาลองเติมน้ำมันมาหลายยี่ห้อ
แก็สโซฮอลล์ 95 ที่มีเอทานอลไม่เกิน 10% นั้น ของปั๊มเชลล์ ดีที่สุด
รีวิวตัวเต็มของรถทั้ง 2 คัน
Honda Jazz
http://www.headlightmag.com/webboard2011/index.php/topic,23097.0.htmlToyota Prius
http://www.headlightmag.com/webboard2011/index.php/topic,14867.0.html