มองว่าใช้รถมาระยะยาวพอควร จึงอยากแบ่งปันมุมมองและความรู้สึกรถคันนี้จากการใช้งานจริงให้ฟังกันครับ
ก่อนหน้าจะซื้อคันนี้ก็ใช้รถครอบครัวมาตลอด แล้วก็ศึกษาและติดตามเรื่องรถเรื่อยมาเช่นกัน ส่วนตัวแล้วอยากได้รถ Compact เพราะไม่เล็กหรือใหญ่ไป แต่ต้องมีอัตราเร่ง+ประหยัดน้ำมันกว่ารถเบนซินปกติทั่วๆไปในตลาด จนกระทั่ง Focus TDCi M/T เปิดตัวในเมืองไทย ก็สนใจอยู่ แต่เห็นว่านำเข้ามาแค่ 35 คันเท่านั้น ประกอบกับเป็น M/T คงไม่เหมาะจะให้คนในครอบครัวหรือแฟนขับ ต่อมาตัว TDCi Powershift เปิดตัว ก็สนใจมากๆ ได้ลองไป Test Drive กับทาง 0 บริการ และขอลองขับรถสมาชิกใน Focus Club อยู่สองคัน ประทับใจในอัตราเร่งที่เหนือชั้นมากๆ และจากที่ได้หาข้อมูลใน Focus Club มาตลอด ก็คิดว่านี่คือคันที่อยากได้ แล้วพอการเงินพร้อม ก็เป็นช่วง Motor Expo 2010 ซึ่ง ณ ตอนนั้น มีรถที่ให้เปรียบเทียบอีก 2 คัน คือ Cruze ที่เปิดตัว พย.2010 และ Prius ที่เปิดตัวในงาน Motor Expo ด้วยราคาดังนี้
Ford Focus TDCi Powershift Hatchback ราคา 1,169,000 บาท
Toyota Prius 1.8L Top ราคา 1,260,000 บาท
Chevrolet Cruze 2.0 LTZ ราคา 1,149,000 บาท
ส่วนตัวแล้วชอบรถแบบ Hatchback มากกว่า แม้ว่าทาง Cruze จะให้ option มาเต็มมากๆ ก็ต้องตัดทิ้ง (อีกอย่างเพราะตัวรถค่อนข้างยาวกว่า Compact ทั่วไป โดย Cruze ยาวถึง 4,600mm จึงไม่คล่องตัวในเมืองนัก) สำหรับ Prius ที่ไม่ได้เลือก เพราะมองว่าเพิ่งเปิดตัว อาจจะยังประกอบไม่เนียน ตัวรถอาจมีปัญหาอยู่แต่ต้องรีบเข็นให้ผ่าน QC เพื่อขายใ้ห้ทันงาน Motor Expo ที่ำสำคัญ พอเปิดราคากับ option ออกมา โดนโจมตีหนักเรื่อง option ไม่สมราคา เลยทำให้ตัดสินใจง่ายขึ้นที่เลือก Focus ด้วยอุปกรณ์ติดรถที่ให้มา แม้จะมีชื่อเสียกับ 0 บริการ แต่ตัวรถมันดีจนอยากเสี่ยงลองดู
และจริงๆอยากได้สีน้ำเงิน Ocean Blue แต่ไม่มีวี่แววว่าจะได้เมื่อไหร่ ในขณะที่สีขาว Diamond White มีรถเลย จึงจำใจเลือก... (เพราะรอรถมาตั้งแต่เดือนมกรา 2011 จนถึงต้นเดือนมีนา 2011 แล้ว และต้องรีบใช้รถด้วย)
>> พื้นที่ภายในรถ
ยอมรับว่าคอนโซลกลางที่มีขนาดใหญ่ ได้เบียดบังพื้นที่วางเข่าไปพอควร ทำให้คนนั่งหน้าไม่ได้รับความสบายมากนัก ส่วนพื้นที่เบาะหลัง ถ้าพูดถึง Head Room ถือว่าโอเคอยู่ แต่ Leg Room มีน้อยมาก (ถ้าเลื่อนเบาะหน้าให้นั่งสบาย) สำหรับพื้นที่ท้ายรถ ก็มีขนาดไม่ใหญ่มากนักถ้านั่งกัน 4-5 คน แต่อย่างน้อยๆ ถ้าสามารถพับเบาะหลังได้ ก็จะวางของใหญ่ๆหรือยาวๆได้สบายขึ้น
>> พวงมาลัย
ค่อนข้างหนักเมื่อเทียบกับ Honda City ที่แฟนใช้อยู่ เรียกว่าการหมุนในตัวเมืองค่อนข้างลำบากนิดหน่อย ถ้าเบาขึ้นอีกนิดจะดีมากๆ (ส่วนนึงคงเพราะเป็น ไฮโดรลิก+ไฟฟ้า) ส่วนเมื่อใช้ความเร็วสูงขึ้น ก็ให้ความมั่นคงและหนักแน่นดี รัศมีวงเลี้ยวที่ 5.3 เมตร มองว่าค่อนข้างกว้างไปนิด ถ้าต่ำขนาด 5.1 เหมือน City จะดีมากๆ แต่สำหรับรถ Compact แล้ว ก็ถือว่ามาตรฐาน
>> คันเร่ง/เกียร์/เบรค/การขับขี่
อย่างที่บอกไว้ข้างบน ว่าอัตราเร่งที่ทันใจเป็นสิ่งที่น่าประทับใจมากๆ เท่าที่สังเกตุ รอบเครื่องตั้งแต่ 800 จนถึง 1500 จะขึ้นช้าๆ แต่ 1500 ไป รอบจะขึ้นเร็วมาก คงเพราะการทำงานของ Turbo นั่นเอง ถ้าเหยียบปกติ รอบจะตัดราวๆ 1900-2200 แต่ถ้าการจราจรติดขัด บางครั้งก็เปลี่ยนที่ 1200 - 1700 ก็มี ซึ่งจะมีการกระตุกของเกียร์บ้าง น่าจะเป็นเพราะรอบต่ำไป (เพราะโดยตัวใส้เกียร์เอง เป็น Manual) แต่ถ้าเปลี่ยนที่ 2000 ขึ้น จะค่อนข้างเรียบรื่น Smooth ดี ส่วนตัวเป็นคนไม่ขับรถเร็วมาก ถึงแม้ตัวรถจะวิ่งได้ถึง 200 แต่ก็ไม่เคยเหยียบเกิน 130 เลย ซึ่งความเร็วขึ้นไวมากๆ แม้กระทั่งต้องชะลอหรือเบรคลงมาต่ำกว่า 60km/h แต่ก็สามารถเร่งขึ้นไป 100 ได้ในเวลาอันสั้นแบบทันใจโดยใช้รอบเครื่องต่ำๆ ซึ่งรถเบนซินธรรมดาๆ คงทำแบบนี้ไม่ได้หากไม่เหยียบรอบสูงๆ ทำให้สิ้นเปลืองน้ำมันมากกว่า การตอบสนองของเบรคก็มั่นใจดี
แต่สิ่งนึงที่ต้องพูดคือ Engine Break ซึ่งไม่แน่ใจว่าเกิดจากตัวเครื่อง+Powershift หรือเปล่าถึงทำให้เป็นแบบนี้ (ตัว Focus MK3 และ Fiesta ที่เปิดตัวทีหลัง ไม่เห็นมีพูดถึงปัญหานี้) อาการคือ เมื่อใช้ความเร็วต่ำๆ (ไม่เกิน 60km/h) ไม่ว่าจะเหยียบคันเร่งหรือไม่เหยียบ เมื่อรอบเครื่องลงต่ำกว่า 1500 เกียร์จะเปลี่ยนต่ำลง ทำให้รอบเครื่องดีดไป 1900-2000 ทำให้ความเร็วรถลดลงมากกว่าที่ควรจะเป็น ซึ่งน่าหงุดหงิดมากๆ เพราะรถ auto ทั่วๆไปไม่มีปัญหานี้กัน หรือแม้กระทั่ง M/T ก็ยังสามารถควบคุม Engine Break ได้เอง แต่นี่กลับไม่รู้ว่ามันจะทำงานเมื่อไหร่ ปัญหาอีกอย่างคือ การลังเลของเกียร์ หรือพูดง่ายๆ ความฉลาดในการเปลี่ยนเกียร์ั ทำให้รอบเครื่องไม่สำพันธ์กับความเร็ว ณ ตอนนั้นๆ ซึ่งทำได้ไม่ดีเอามากๆ เช่นความเร็วลดลง รอบเครื่องก็ลดลงต่ำกว่า 1200 แต่แทนที่จะอยู่เกียร์นั้น กลับปรับเกียร์ลง ทำให้รอบเครื่องดีดไป 1900 และสมองกลเกียร์รับรู้ในเสี้ยววินาทีว่าต้องเปลี่ยนเกียร์ ก็สวิงเกียร์กลับ ทำให้รอบเครื่องกลับมาแถวๆ 1200 อีก จริงๆเมื่อพูดถึง Engine Break แล้ว มันควรจะดีก็ต่อเมื่อเราสามารถเป็นผู้ควบคุมใ้ห้มันเกิดได้เอง ไม่ใช่เกิดในเวลาที่ไม่ต้องการ แต่ยังไงข้อดีก็ยังพอมีอยู่ คือลดการใช้เบรคลง ทำให้ประหยัดน้ำมันขึ้นนิดนึง รวมถึงผ้าเบรคสึกช้าลง
>> ช่วงล่าง
ตัวรถเดิมๆมากับล้อ 205/55R16 ซึ่งเป็นขนาด Standard ใน Compact หลายๆรุ่นตอนนั้น (Altis/Civic/Mazda3) โดยตัวเองมองว่ามีแก้มยางที่สูงพอควร น่าจะทำให้ซับแรงสะเทือนถนนโลกพระจันทร์ในเมืองไทยได้ดี แต่เมื่อขับขี่จริง ผลกลับไม่เป็นดังคิด ไม่ใช่ตัวเองคิดไปคนเดียว แต่คนที่มานั่ง บ่นกันว่าสะเทือนและแข็งมากๆ นั่งไม่สบาย มาวิเคราะห์ภายหลังใช้ไปสักพัก น่าจะเป็นเพราะตัวรถเองพัฒนาในยุโรป ซึ่งถนนหนทางที่นั่นดีกว่าเมืองไทยมาก อีกอย่าง ยางติดรถ Goodyear Eagle NCT5 ซึ่งเป็นยางติดรถขึ้นชื่อ (เสีย) ในรถหลายๆรุ่นในเมืองไทย น่าจะเป็นสาเหตุให้นั่งไม่สบาย เพราะซับแรงสะเทือนไ้ด้ไม่ดี จนกระทั่งธันวา 2012 วิ่งครบ 40,000โล เลยเปลี่ยนยางเป็นแบบนุ่มเงียบ Hankook Ventus S1 Noble ก็ถือว่าดีขึ้นราวๆ 30% อาการสะเทือนเวลาวิ่งผ่านเนินหลุมลดลง แต่ก็ยังถือว่าไม่ได้อย่างที่ต้องการนัก จึงตั้ง Project ไว้ในการเปลี่ยนยางรอบต่อไป คงลดไปใช้ล้อ 15 พร้อมยาง 195/65R15 แทน ซึ่งคงดีขึ้นในระดับที่น่าพอใจ
>> ศูนย์บริการ
ผ่านการเช็คระยะ 45,000km ไปเรียบร้อย จากที่ใช้บริการของ 0 มา ถือว่าช่างยังไม่มีความชำนาญมากนัก อาจพลาดในเรื่องง่ายๆได้ ผมกังวลมากๆ เพราะเห็นหลายๆคนโดนดีใน Focus Club มาแล้ว จึงต้องยืนกำชับข้างๆรถแทบจะตลอดเวลา แต่ก็ผ่านมาได้ด้วยดีตลอด ซึ่งตรงนี้ผมมองว่ารถ Ford ไม่น่าเหมาะกับคนใช้รถทั่วๆไปที่ไม่ค่อยได้ดูแลรถนัก โดยเฉพาะ ญ ที่อาจปวดหัวกับการบริการจาก 0
>> อัตราสิ้นเปลือง
ด้านล่างนี่คือตารางสรุปการเติมน้ำมันตั้งแต่ออกรถจนสิ้นสุด พฤษภาคม 2013 เติมน้ำมันไป 111 ครั้ง
หมายเหตุ : Range คือระยะทางที่วิ่งใน Trip นั้นๆ ใช้ในการคำนวณ กม./ลิตร
Avgขับ/day คือระยะทางขับต่อวันใน Trip นั้นๆ
Litre คือจำนวนลิตรที่เติมกลับจนเต็ม
BahtPaid คือจำนวนเงินที่จ่ายไปในการเติมครั้งนั้นๆ (ปัดเศษให้เป็น 0 เพื่อความสะดวกในการจ่ายเงิน เช่นเติมได้ 946 บาท ก็ปัดเป็น 950 ซึ่งหลายๆคนคงทำแบบนี้กัน)
Km/ลิตร คือตัวเลขที่ทุกๆคนสนใจ จากที่วิเคราะห์ดู ขับในตัวเมืองรถติดๆ จะได้ราวๆ 11.7-12.3 แต่ถ้าวิ่งไกลๆ จะได้ 14.5 ขึ้น
Baht/Km คือค่าใช้จ่ายบาทต่อกม.ใน Trip นั้นๆ เนื่องจากราคาดีเซลที่ค่อนข้างนิ่ง ทำให้ตัวเลขตรงนี้ไม่แกว่งมาก ถ้ารถติดๆ ตัวเลขก็จะอยู่ราวๆ 2.2-2.3 บาท/km แตุุ่ถ้าวิ่งยาวๆ ก็จะมี 1.7-1.9 บาท/km
TotalLitre คือจำนวนลิตรที่เติมตั้งแต่ถังแรกสะสมเพิ่มเรื่อยๆในการเติมแต่ละครั้ง
TotalBaht คือจำนวนเงินที่เติมตั้งแต่ถังแรกสะสมเพิ่มเรื่อยๆในการเติมแต่ละครั้ง
AvB/Km คือการหาค่าเฉลี่ยบาทต่อกม. ในการวิ่งตั้งแต่ออกรถจนถึงปัจจุบัน ซึ่งรถแต่ละคันมีตัวเลขไม่เหมือนกัน ขึ้นกับหลายๆปัจจัย รวมถึงคนขับด้วย รถคันนี้ผมขับเสีย 90% ได้ตัวเลขออกมา ณ ล่าสุดที่ 2.14 บาท/กม. ครับ
Mrange คือระยะทางวิ่งได้สูงสุดในถังนั้นๆ คำนวณโดยเอา Km/ลิตร x 48 (ความจุถัง TDCi คือ 53 ผมจึงเอาแค่ 48 พอ เพราะความเป็นจริงคงไม่มีใครวิ่งจนเกลี้ยงถัง เพราะเสี่ยงกับรถดับกลางทาง) ซึ่งจากตัวเลขที่ออกมา ถ้ารถติดๆ จะขับได้ราวๆ 560-620 km แต่ถ้าวิ่งไกลๆ จะได้ถึง 800-870 km.
AvK/L คือการหาค่าเฉลี่ย Km/ลิตร เนื่องจากการขับขี่จริงๆมีทั้งรถติดและวิ่งไกลๆ ผมจึงอยากหาค่ากลางๆของรถคันนี้ออกมา ตัวเลขปัจจุบันอยู่ที่ 14.15 km/ลิตร
AvR/Mo คือการหาค่าเฉลี่ยระยะทางวิ่งใน 1 เดือนเปรียบเทียบกับเติมน้ำมันถังนั้นๆ หรือพูดง่ายๆ หากใครถามผมว่าใช้รถเดือนละกี่โล ผมก็ตอบได้ด้วยตัวเลขตรงนี้ ซึ่งล่าสุด คือ 2,006 กม./เดือน (ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยทั่วไปที่ 1,667 กม./เดือน)
AvB/Mo คือการหาค่าเฉลี่ยเงินที่จ่ายไปในการวิ่ง 1 เดือนเปรียบเทียบกับการเติมน้ำมันถังนั้นๆ หรือพูดง่ายๆ หากใครถามผมว่าค่าน้ำมันต่อเดือนเท่าไหร่ ผมก็ตอบได้ด้วยตัวเลขตรงนี้ ซึ่งล่าสุด คือ 4,262 บาท/เืดือน (ต้องขอบคุณราคาน้ำมันดีเซลที่ค่อนข้างนิ่ง ทำให้ตัวเลขตรงนี้ไม่แกว่งมาก)
สรุป : มาถึง ณ ตอนนี้ คงต้องนำคำในหัวเรื่องรีวิวมาใช้... คือหากย้อนเวลากลับไปได้ คงใช้เหตุผลมากกว่าอารมณ์ นั่นคือเลือก Prius มากกว่า Focus เพราะรถที่ใครหลายๆคนบอกว่าไม่ดีอย่างนั้นอย่างนี้ อาจดีและเหมาะสมกับกลุ่มคนอีกส่วนนึง และผมก็เป็นหนึ่งในนั้น ที่พูดแบบนี้ เพราะเหตุผลดังนี้
1 เครื่องดีเซลที่เสียงค่อนข้างดังภายนอกและภายใน (รวมถึงอาการสั่นสะเืืืทือนเบาๆเวลาอยู่ในรถ) เมื่อเทียบกับเครื่อง Hybrid ที่เงียบสนิท
2 เกียร์ Dual Clutch ที่ทางเทคนิคแล้ว เยี่ยมมากๆ แต่การใช้งานจริงยังไม่ดีเท่าที่ควร (เกิดจากสมองกลหรือ Firmware ของตัวเกียร์) เทียบกับ CVT ของ Prius ที่การส่งกำลังต่อเนื่องไหลลื่นไม่มีสะดุดให้เสียอารมณ์ (รู้เพราะเคยนั่ง Lancer Cedia CVT มา)
3 พื้นที่ภายในที่กว้างขวางนั่งสบายกว่า รวมไปถึงท้ายรถที่จุมากกว่า Focus
4 รัศมีวงเลี้ยว Prius 5.2 แคบกว่า Focus 5.3 ทำให้คล่องตัวในการขับขี่กว่า
5 อัตราเร่ง แม้ Hybrid อาจจะเทียบ Turbo ไ่ม่ได้ แต่น่าจะไม่ด้อยกว่ามากนัก และีที่สำคัญ บางครั้งผมยังรู้สึกว่า Turbo แรงเกินความจำเป็น
6 พวงมาลัยไฟฟ้าของ Prius น่าจะเบากว่า Focus สำหรับขับในเมือง
7 ระบบ Push Start และ Smart Entry ของ Prius ที่คงทำให้สะดวกมากยิ่งขึ้นในการขนของขึ้นลงรถ รวมถึงเวลาฝนตกด้วย ซึ่ง Focus ไม่มีตรงนี้
8 Cruise Control ของ Prius น่าจะช่วยให้การขับไกลๆไม่เมื่อยเ้ท้า ซึ่ง Focus ไม่มีตรงนี้
9 ความเป็น Toyota ทำให้มีคนซื้อใช้มากกว่า น่าจะช่วยให้ 0 บริการมีความชำนาญในการซ่อมบำรุง Prius มากกว่า
10 ความเป็น Toyota ทำให้มีสมาชิกใน Prius club มากกว่า Focus club แน่นอน ทำให้ข้อมูลเชิงลึกหาได้ง่ายกว่า
11 ความเป็น Toyota ทำให้น่าจะหาอู่ซ่อมได้ง่ายกว่าเมื่อหมดประกัน 0
12 ความเป็น Toyota ทำให้น่าจะหาของแต่งได้ง่ายกว่าในราคาที่ย่อมเยาว์กว่า
13 ความประหยัด ถ้าใช้ในเมือง ยังไงดีเซลก็สู้ Hybrid ไม่ได้ ต่อให้ราคา Gasohol 95 แพงกว่าดีเซลมากก็ตาม เมื่อคำนวณเป็น บาท/km แล้ว น่าจะใกล้เคียง หรือต่ำกว่า
ถ้าจะพูดถึงข้อด้อยในมุมมองส่วนตัวผมเองสำหรับ Prius คงมีแค่พวงมาลัยที่ออกแบบไม่สวยเอาเสียเลย แต่ถ้าได้เลือก Prius จริงๆ คงไปเอาพวงมาลัย CT200H มาใส่แทน (มีคนทำแล้วใน Prius club) ส่วนกระจกมองข้างพับไฟฟ้าไม่ได้นั้น ผมเชื่อว่าสักพักก็จะมีคนทำมาขายในราคาที่เหมาะสม แต่ที่เป็นปัญหาจริงๆ คือเกียร์ที่ไม่มี Shiftlock นี่แหล่ะ แต่ถ้าได้เลือก Prius จริงๆ ก็คงต้องทำใจยอมรับ และหาที่จอดแบบเข้าซองให้ได้ (ไ่ม่ก็เวลาไปจอดตามห้าง ขอความกรุณา รปภ.ให้ช่วยหาที่จอดเข้าซองให้หน่อย)
แต่ยังไงก็อยู่กับ TDCi มา 2 ปีกว่าแล้ว รถก็ไม่ใช่ถูกๆ คงใช้คันนี้ยาวๆไม่ต่ำกว่า 10 ปี หลังจากนั้นค่อยมาดูกันว่าตัวเลือกอะไรที่เหมาะสมกว่า และตั้งใจกับตัวเองว่า จะใช้เหตุผลให้มากขึ้น...
ขอขอบคุณทุกท่านที่อ่านมาจนจบครับ The End....