ผู้เขียน หัวข้อ: เกี่ยวกับแบรนด์ vw  (อ่าน 11547 ครั้ง)

ออฟไลน์ dwnd

  • Newbie
  • *
  • กระทู้: 45
เกี่ยวกับแบรนด์ vw
« เมื่อ: มิถุนายน 06, 2013, 19:39:32 »
คืออย่างงี้ครับ

ผมสงสัยมาก ทำไมคนรอบตัวผมส่วนใหญ่
ที่ไม่ได้สนใจรถยนต์มากมาย ถึงคิดว่า vw เป็นแบรนด์หรู ทั้งที่เป็นแมส
คนรอบตัวของพี่ๆมีใครมองอย่างนี้ หรือเป็นเฉพาะคนรอบข้างผมคนเดียวครับ
[ BMW 3series f30 320d Luxury line ]
[ Ford Ranger 2.2 DBL tdci mt ]

ออฟไลน์ M Performance

  • Sr. Member
  • ****
  • กระทู้: 582
Re: เกี่ยวกับแบรนด์ vw
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: มิถุนายน 06, 2013, 19:42:26 »
VW มันราคาแพง (เกิน 2 ล้าน) ไงในไทย

เลยมองว่าเป็นรถหรู แต่หารู้ไม่จริงๆ แพงเพราะนำเข้า

ตัวแบรนด์มีภาพลักษณ์ธรรมดามากครับ
My Current Collection  8)

'13 Honda CR-V 2.4 EL 4WD
'14 Mercedes-Benz E200 Coupe AMG Dynamic
'16 Mercedes-Benz GLC 250 d 4MATIC OFF-ROAD
'19 BMW 320d GT M Sport
'22 Nissan Kicks e-Power VL Autech

ออฟไลน์ Wayfarer-R

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 2,563
Re: เกี่ยวกับแบรนด์ vw
« ตอบกลับ #2 เมื่อ: มิถุนายน 06, 2013, 19:45:43 »
เพราะราคาครับ เมื่อเป็นรถนำเข้า ราคาก็แพงกว่า รถที่ผลิตใน อย่างพี่โต น้องฮอน เมื่อราคาแพงขนาดนั้น จึงทำให้บางคนเข้าใจผิดครับ

ออฟไลน์ IncarRus

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 1,519
    • อีเมล์
Re: เกี่ยวกับแบรนด์ vw
« ตอบกลับ #3 เมื่อ: มิถุนายน 06, 2013, 19:55:23 »
ผมว่า,,, มาตรฐานต่างประเทศ บางอย่าง มันก็เอามาใช้กับบ้านเราไม่ได้นะคับ
....ทั้งราคา,,, วัสดุ และ Option, มันอาจจะดูเทียบกับรถพรีเมี่ยมบ้านเรายังไม่ได้
....แต่ก็,,, ดูแล้วต่างกับรถแมสบ้านเราชัดเจนนะ

ผมว่า,,, เป้าหมายทางการตลาดของแบรนด์ VW ในบ้านเรา กับเมืองนอก ต่างกันชัดเจนนะคับ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มิถุนายน 06, 2013, 20:41:23 โดย IncarRus »

ออฟไลน์ Nlight

  • Sr. Member
  • ****
  • กระทู้: 764
  • พิมพ์ผิดประจำ
Re: เกี่ยวกับแบรนด์ vw
« ตอบกลับ #4 เมื่อ: มิถุนายน 06, 2013, 20:04:29 »
ผมหล่ะหวังว่าแบรนด์นี้จะลงมาเล่นตลาดไทยซักวันจริงๆ  :'(



ออฟไลน์ NarinrachMaisok

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 1,622
  • Das Auto
Re: เกี่ยวกับแบรนด์ vw
« ตอบกลับ #5 เมื่อ: มิถุนายน 06, 2013, 20:27:45 »
อย่างอื่นไม่รู้ รู้แต่ว่า มันเป็นรถที่ดีเกินราคาอ่ะครับ (ตอนราคาลดแล้วนะครับ  ;D )

ออฟไลน์ Pan Paitoonpong

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 6,457
  • Long live M/T
Re: เกี่ยวกับแบรนด์ vw
« ตอบกลับ #6 เมื่อ: มิถุนายน 06, 2013, 20:29:08 »
คำตอบให้เจ้าของกระทู้นะครับ

มันคือ

"การตลาดและราคาครับ"


ยุคพ่อแม่เราจีบกัน ซื้อโฟล์คเต่ารถกรรณสูตใช้ วิ่งทั่วบ้านทั่วเมือง ตอนนั้นถามว่า
โฟล์คเต่าเนี่ยแบรนด์พรีเมียมไหม ถามคุณพ่อเราก็ได้ครับ

ต่อมาเข้ายุคที่บ้านเราต้องการโปรโมตเศรษฐกิจในประเทศ ก็ตั้งกำแพงภาษีรถนำเข้าซะสูงมาก
VW มี Golf I และ Golf II ในยุคนั้น แต่เอาเข้ามาก็ไม่คุ้ม เพราะช่วงนั้นรถญี่ปุ่นบูมมากแล้ว
การเข้ามาตั้งโรงงานผลิต ก็ไม่คุ้ม การนำเข้า ยิ่งยาก เพราะคงไม่มีใครอยากซื้อ Golf II
คันละล้านปลาย ถ้ายังมี Corolla คันละสี่แสนให้ซื้อ และมี Cefiro คันละล้านเศษ

แต่เราก็มี VW Transporter รถตู้ทรงเหลี่ยมที่นานๆจะได้เห็นที พวกนี้อาจดูมีความเป็น
พรีเมียมอยู่บ้าง แต่ก็เหนือกว่า Hiace ตาหวานกับหัวจรวดไม่มากขนาดนั้น

พอปี 1993 มันผ่านช่วงที่รัฐบาลลดภาษีรถนำเข้าลงราว 3 เท่าตัว ยนตรกิจ
สมัยนั้นก็เริ่มเอา VW เก๋งกลับมาขายด้วยรุ่น Golf III และ Vento ถามว่ารถสองรุ่นนี้พรีเมียมไหม?

เอ่อ พลาสติกแข็งกรอบ กระจกมือหมุนนะฮะ(ช่วงหลังมีไฟฟ้าคู่หน้า) ล้อเหล็กไม่มีฝาครอบเต็ม
แต่เป็นฝาครอบดุมนะฮะ เครื่องยังเป็นแบบไอดีไอเสียออกฝั่งเดียวกันอยู่นะฮะ แต่ตั้งราคามา
5-7แสนปลาย แพงกว่ารถญี่ปุ่นยุคนั้นที่ตัวเท่าๆกัน แต่แพงกว่าแค่นิดเดียว สมัยนั้น
กำเงิน 700,000 ก็สอยญี่ปุ่น C-Segmentตัวท้อปได้แล้ว แต่ถามว่ามันพรีเมียมไหม
เป็นรถหรูไหม ผมว่าไม่เลย...ส่วน Passat ราคา 938,000 ก็มีกระจกไฟฟ้าเพิ่มมา รถยังเทคโนโลยีไม่สูง
แต่ขายได้เพราะเหล็กแน่น แข็ง ช่วงล่างนุ่มมากที่ความเร็วต่ำ แต่วิ่ง 160 ดันวิ่งตรง วิ่งนิ่งอย่างน่างง

ผมว่าจุดเปลี่ยนมันอยู่ตรงนี้ครับ

ยุคหนึ่ง รถ VW ตู้ Caravelle จู่ๆก็ไปโผล่เป็นรถประจำตำแหน่งนักการเมืองหลายคน และเป็นอย่างนั้น
มาจนทุกวันนี้ ต่อมา พวกเขาก็เอา Passat แตงโมมาขาย คราวนี้พอมาขายแล้วคนที่ได้สัมผัสก็อึ้ง
เพราะรถราคาแค่ล้านต้นๆมั้ง แต่คุณภาพการประกอบ การตกแต่งและวัสดุนั้นจะไปฆ่าเบนซ์เอาแล้ว
แถมจะกิน Audi พี่น้องกันเองเอาด้วย ในช่วงเวลานั้นเอง Vento/Golf/Variant ก็ขายหมดสต็อค
มีการนำ Golf IV และ Bora มาโชว์ แต่ขายจริงได้กี่คัน ต้องนับนิ้วเอา หายากมาก เพราะราคาขาย
ตั้งมาดันแพงจนเห็นราคาแล้วไปซื้อ Passat ดูคุ้มกว่า

VW ในภาพรวม จึงเริ่มขยับไปทางพรีเมียม เพราะไม่มี Product ราคาหลักแสนให้ซื้อแล้ว
มีแต่รถตู้รัฐมนตรี กับรถเก๋งของบ้านที่รวยพอประมาณ (แถมเป็นรถที่ทำออกมาได้ดีเสียด้วย)

ก็ขายกันอยู่แบบนี้สักพัก แล้ววูบหายไปช่วงหนึ่ง ยืนหยัดอยู่ด้วยรถตู้ล้วนๆ ก่อนจะกลับมากับรถเก๋ง
อย่าง Golf/Scirocco/Passat CC ซึ่งไอ้สองคันแรกนั้นกลายเป็นที่นิยม แม้จะไม่เยอะเหมือนสมัย
Golf III/Passat 8วาล์ว แต่ก็เห็นได้นานๆครั้ง และด้วยราคาที่ตั้งมาในระดับที่สูสี C-Class กับ 3-Series
ทำให้คนมองว่า ทำไมตั้งราคามาแพงจัง..คนที่ไม่สนใจก็จะด่าเปิงเลย แต่คนที่เล่นรถก็จะรู้ดีว่า
แพงเพราะนี่มันไม่ใช่รุ่นจ่ายกับข้าวธรรมดา มัน 200ม้าขึ้นทั้งนั้น ขายได้ราคานี้ก็บุญแล้ว

กลายเป็นว่าคนที่ซื้อรถรุ่นนี้ใช้ส่วนใหญ่ จะมีความชอบรถอยู่ในตัว ไม่จำเป็นต้องเซียน
แต่ต้องมองรถมากกว่าเป็นแค่ยานพาหนะแน่ๆล่ะ มันเลยมีภาพลักษณ์ของคนหัวออคเทนเข้าไปปน

มันเป็นภาพลักษณ์แปลกที่คงหาดูได้ยากที่อื่นๆในโลก รถคันนึง ชื่อยี่ห้อแปลว่ารถของมหาชน
ตำแหน่งทางการตลาดขยับค่อนไปทางพรีเมียม และเป็นที่รู้จักของคนเท้าหนัก
อย่าง Subaru นั้น คนเท้าหนักชอบ แต่ไม่ใช่รถพรีเมียม

ถ้าใครเข้าใจว่า VW เป็นแบรนด์พรีเมียม ต้องซูฮกเริ่มต้นไปที่ Ferdinand Piech
ตาเฒ่าทรนง เพราะคนนี้แหละที่พยายามเอาความรู้สึกแบบพรีเมียมมาใส่ใน VW
ที่เหลือก็เป็นเรื่องของจังหวะการตลาด และการเลือกเอารถมาขายของทางยนตรกิจ
ลองคิดดูง่ายๆว่าถ้ายนตรกิจขาย Golf III หมดแล้ว เอา Polo กับ Golf IV มาขายต่อ
ไม่มี Passat และรมต.ไม่โปรดปรานรถตู้ VW และไม่มี VW GTi/Sciroccoขาย

ผมเชื่อว่าทุกวันนี้ภาพลักษณ์ VW ก็คง
สูงกว่าแบรนด์ Mass-market ทั่วไปไม่มาก

ส่วนตัวผม ...ผมยังมองมันเป็นแบรนด์ Mass อยู่ ไม่ได้คิดว่าเป็นพรีเมียม
ถ้าพูดถึงพรีเมียม ผมนึกถึง Audi มากกว่า
- Nissan Tiida บ้านๆ/NX Coupe/AE111/190E1.8

ออฟไลน์ Thor.1

  • Sr. Member
  • ****
  • กระทู้: 557
Re: เกี่ยวกับแบรนด์ vw
« ตอบกลับ #7 เมื่อ: มิถุนายน 06, 2013, 20:37:00 »

 ท่านหัวหน้าแพนน่าจะไปเป็นอาจารย์สอนหนังสือนะครับ

 อธิบายเรื่องยาวๆแบบเข้าใจง่ายและไม่น่าเบื่อ

ออฟไลน์ dwnd

  • Newbie
  • *
  • กระทู้: 45
Re: เกี่ยวกับแบรนด์ vw
« ตอบกลับ #8 เมื่อ: มิถุนายน 06, 2013, 20:45:35 »
คำตอบให้เจ้าของกระทู้นะครับ

มันคือ

"การตลาดและราคาครับ"


ยุคพ่อแม่เราจีบกัน ซื้อโฟล์คเต่ารถกรรณสูตใช้ วิ่งทั่วบ้านทั่วเมือง ตอนนั้นถามว่า
โฟล์คเต่าเนี่ยแบรนด์พรีเมียมไหม ถามคุณพ่อเราก็ได้ครับ

ต่อมาเข้ายุคที่บ้านเราต้องการโปรโมตเศรษฐกิจในประเทศ ก็ตั้งกำแพงภาษีรถนำเข้าซะสูงมาก
VW มี Golf I และ Golf II ในยุคนั้น แต่เอาเข้ามาก็ไม่คุ้ม เพราะช่วงนั้นรถญี่ปุ่นบูมมากแล้ว
การเข้ามาตั้งโรงงานผลิต ก็ไม่คุ้ม การนำเข้า ยิ่งยาก เพราะคงไม่มีใครอยากซื้อ Golf II
คันละล้านปลาย ถ้ายังมี Corolla คันละสี่แสนให้ซื้อ และมี Cefiro คันละล้านเศษ

แต่เราก็มี VW Transporter รถตู้ทรงเหลี่ยมที่นานๆจะได้เห็นที พวกนี้อาจดูมีความเป็น
พรีเมียมอยู่บ้าง แต่ก็เหนือกว่า Hiace ตาหวานกับหัวจรวดไม่มากขนาดนั้น

พอปี 1993 มันผ่านช่วงที่รัฐบาลลดภาษีรถนำเข้าลงราว 3 เท่าตัว ยนตรกิจ
สมัยนั้นก็เริ่มเอา VW เก๋งกลับมาขายด้วยรุ่น Golf III และ Vento ถามว่ารถสองรุ่นนี้พรีเมียมไหม?

เอ่อ พลาสติกแข็งกรอบ กระจกมือหมุนนะฮะ(ช่วงหลังมีไฟฟ้าคู่หน้า) ล้อเหล็กไม่มีฝาครอบเต็ม
แต่เป็นฝาครอบดุมนะฮะ เครื่องยังเป็นแบบไอดีไอเสียออกฝั่งเดียวกันอยู่นะฮะ แต่ตั้งราคามา
5-7แสนปลาย แพงกว่ารถญี่ปุ่นยุคนั้นที่ตัวเท่าๆกัน แต่แพงกว่าแค่นิดเดียว สมัยนั้น
กำเงิน 700,000 ก็สอยญี่ปุ่น C-Segmentตัวท้อปได้แล้ว แต่ถามว่ามันพรีเมียมไหม
เป็นรถหรูไหม ผมว่าไม่เลย...ส่วน Passat ราคา 938,000 ก็มีกระจกไฟฟ้าเพิ่มมา รถยังเทคโนโลยีไม่สูง
แต่ขายได้เพราะเหล็กแน่น แข็ง ช่วงล่างนุ่มมากที่ความเร็วต่ำ แต่วิ่ง 160 ดันวิ่งตรง วิ่งนิ่งอย่างน่างง

ผมว่าจุดเปลี่ยนมันอยู่ตรงนี้ครับ

ยุคหนึ่ง รถ VW ตู้ Caravelle จู่ๆก็ไปโผล่เป็นรถประจำตำแหน่งนักการเมืองหลายคน และเป็นอย่างนั้น
มาจนทุกวันนี้ ต่อมา พวกเขาก็เอา Passat แตงโมมาขาย คราวนี้พอมาขายแล้วคนที่ได้สัมผัสก็อึ้ง
เพราะรถราคาแค่ล้านต้นๆมั้ง แต่คุณภาพการประกอบ การตกแต่งและวัสดุนั้นจะไปฆ่าเบนซ์เอาแล้ว
แถมจะกิน Audi พี่น้องกันเองเอาด้วย ในช่วงเวลานั้นเอง Vento/Golf/Variant ก็ขายหมดสต็อค
มีการนำ Golf IV และ Bora มาโชว์ แต่ขายจริงได้กี่คัน ต้องนับนิ้วเอา หายากมาก เพราะราคาขาย
ตั้งมาดันแพงจนเห็นราคาแล้วไปซื้อ Passat ดูคุ้มกว่า

VW ในภาพรวม จึงเริ่มขยับไปทางพรีเมียม เพราะไม่มี Product ราคาหลักแสนให้ซื้อแล้ว
มีแต่รถตู้รัฐมนตรี กับรถเก๋งของบ้านที่รวยพอประมาณ (แถมเป็นรถที่ทำออกมาได้ดีเสียด้วย)

ก็ขายกันอยู่แบบนี้สักพัก แล้ววูบหายไปช่วงหนึ่ง ยืนหยัดอยู่ด้วยรถตู้ล้วนๆ ก่อนจะกลับมากับรถเก๋ง
อย่าง Golf/Scirocco/Passat CC ซึ่งไอ้สองคันแรกนั้นกลายเป็นที่นิยม แม้จะไม่เยอะเหมือนสมัย
Golf III/Passat 8วาล์ว แต่ก็เห็นได้นานๆครั้ง และด้วยราคาที่ตั้งมาในระดับที่สูสี C-Class กับ 3-Series
ทำให้คนมองว่า ทำไมตั้งราคามาแพงจัง..คนที่ไม่สนใจก็จะด่าเปิงเลย แต่คนที่เล่นรถก็จะรู้ดีว่า
แพงเพราะนี่มันไม่ใช่รุ่นจ่ายกับข้าวธรรมดา มัน 200ม้าขึ้นทั้งนั้น ขายได้ราคานี้ก็บุญแล้ว

กลายเป็นว่าคนที่ซื้อรถรุ่นนี้ใช้ส่วนใหญ่ จะมีความชอบรถอยู่ในตัว ไม่จำเป็นต้องเซียน
แต่ต้องมองรถมากกว่าเป็นแค่ยานพาหนะแน่ๆล่ะ มันเลยมีภาพลักษณ์ของคนหัวออคเทนเข้าไปปน

มันเป็นภาพลักษณ์แปลกที่คงหาดูได้ยากที่อื่นๆในโลก รถคันนึง ชื่อยี่ห้อแปลว่ารถของมหาชน
ตำแหน่งทางการตลาดขยับค่อนไปทางพรีเมียม และเป็นที่รู้จักของคนเท้าหนัก
อย่าง Subaru นั้น คนเท้าหนักชอบ แต่ไม่ใช่รถพรีเมียม

ถ้าใครเข้าใจว่า VW เป็นแบรนด์พรีเมียม ต้องซูฮกเริ่มต้นไปที่ Ferdinand Piech
ตาเฒ่าทรนง เพราะคนนี้แหละที่พยายามเอาความรู้สึกแบบพรีเมียมมาใส่ใน VW
ที่เหลือก็เป็นเรื่องของจังหวะการตลาด และการเลือกเอารถมาขายของทางยนตรกิจ
ลองคิดดูง่ายๆว่าถ้ายนตรกิจขาย Golf III หมดแล้ว เอา Polo กับ Golf IV มาขายต่อ
ไม่มี Passat และรมต.ไม่โปรดปรานรถตู้ VW และไม่มี VW GTi/Sciroccoขาย

ผมเชื่อว่าทุกวันนี้ภาพลักษณ์ VW ก็คง
สูงกว่าแบรนด์ Mass-market ทั่วไปไม่มาก

ส่วนตัวผม ...ผมยังมองมันเป็นแบรนด์ Mass อยู่ ไม่ได้คิดว่าเป็นพรีเมียม
ถ้าพูดถึงพรีเมียม ผมนึกถึง Audi มากกว่า

ขอบคุณมากครับพี่แพน ละเอียดและเข้าใจง่ายๆมากๆ

ปล.ขอบคุณพี่ๆที่เข้ามาตอบทุกคนด้วยครับ
[ BMW 3series f30 320d Luxury line ]
[ Ford Ranger 2.2 DBL tdci mt ]

ออฟไลน์ dwnd

  • Newbie
  • *
  • กระทู้: 45
Re: เกี่ยวกับแบรนด์ vw
« ตอบกลับ #9 เมื่อ: มิถุนายน 06, 2013, 20:53:00 »
อย่างอื่นไม่รู้ รู้แต่ว่า มันเป็นรถที่ดีเกินราคาอ่ะครับ (ตอนราคาลดแล้วนะครับ  ;D )

เห็นด้วยเลยครับ
[ BMW 3series f30 320d Luxury line ]
[ Ford Ranger 2.2 DBL tdci mt ]

ออฟไลน์ ichok

  • Sr. Member
  • ****
  • กระทู้: 791
    • อีเมล์
Re: เกี่ยวกับแบรนด์ vw
« ตอบกลับ #10 เมื่อ: มิถุนายน 06, 2013, 20:59:49 »
คำตอบให้เจ้าของกระทู้นะครับ

มันคือ

"การตลาดและราคาครับ"


ยุคพ่อแม่เราจีบกัน ซื้อโฟล์คเต่ารถกรรณสูตใช้ วิ่งทั่วบ้านทั่วเมือง ตอนนั้นถามว่า
โฟล์คเต่าเนี่ยแบรนด์พรีเมียมไหม ถามคุณพ่อเราก็ได้ครับ

ต่อมาเข้ายุคที่บ้านเราต้องการโปรโมตเศรษฐกิจในประเทศ ก็ตั้งกำแพงภาษีรถนำเข้าซะสูงมาก
VW มี Golf I และ Golf II ในยุคนั้น แต่เอาเข้ามาก็ไม่คุ้ม เพราะช่วงนั้นรถญี่ปุ่นบูมมากแล้ว
การเข้ามาตั้งโรงงานผลิต ก็ไม่คุ้ม การนำเข้า ยิ่งยาก เพราะคงไม่มีใครอยากซื้อ Golf II
คันละล้านปลาย ถ้ายังมี Corolla คันละสี่แสนให้ซื้อ และมี Cefiro คันละล้านเศษ

แต่เราก็มี VW Transporter รถตู้ทรงเหลี่ยมที่นานๆจะได้เห็นที พวกนี้อาจดูมีความเป็น
พรีเมียมอยู่บ้าง แต่ก็เหนือกว่า Hiace ตาหวานกับหัวจรวดไม่มากขนาดนั้น

พอปี 1993 มันผ่านช่วงที่รัฐบาลลดภาษีรถนำเข้าลงราว 3 เท่าตัว ยนตรกิจ
สมัยนั้นก็เริ่มเอา VW เก๋งกลับมาขายด้วยรุ่น Golf III และ Vento ถามว่ารถสองรุ่นนี้พรีเมียมไหม?

เอ่อ พลาสติกแข็งกรอบ กระจกมือหมุนนะฮะ(ช่วงหลังมีไฟฟ้าคู่หน้า) ล้อเหล็กไม่มีฝาครอบเต็ม
แต่เป็นฝาครอบดุมนะฮะ เครื่องยังเป็นแบบไอดีไอเสียออกฝั่งเดียวกันอยู่นะฮะ แต่ตั้งราคามา
5-7แสนปลาย แพงกว่ารถญี่ปุ่นยุคนั้นที่ตัวเท่าๆกัน แต่แพงกว่าแค่นิดเดียว สมัยนั้น
กำเงิน 700,000 ก็สอยญี่ปุ่น C-Segmentตัวท้อปได้แล้ว แต่ถามว่ามันพรีเมียมไหม
เป็นรถหรูไหม ผมว่าไม่เลย...ส่วน Passat ราคา 938,000 ก็มีกระจกไฟฟ้าเพิ่มมา รถยังเทคโนโลยีไม่สูง
แต่ขายได้เพราะเหล็กแน่น แข็ง ช่วงล่างนุ่มมากที่ความเร็วต่ำ แต่วิ่ง 160 ดันวิ่งตรง วิ่งนิ่งอย่างน่างง

ผมว่าจุดเปลี่ยนมันอยู่ตรงนี้ครับ

ยุคหนึ่ง รถ VW ตู้ Caravelle จู่ๆก็ไปโผล่เป็นรถประจำตำแหน่งนักการเมืองหลายคน และเป็นอย่างนั้น
มาจนทุกวันนี้ ต่อมา พวกเขาก็เอา Passat แตงโมมาขาย คราวนี้พอมาขายแล้วคนที่ได้สัมผัสก็อึ้ง
เพราะรถราคาแค่ล้านต้นๆมั้ง แต่คุณภาพการประกอบ การตกแต่งและวัสดุนั้นจะไปฆ่าเบนซ์เอาแล้ว
แถมจะกิน Audi พี่น้องกันเองเอาด้วย ในช่วงเวลานั้นเอง Vento/Golf/Variant ก็ขายหมดสต็อค
มีการนำ Golf IV และ Bora มาโชว์ แต่ขายจริงได้กี่คัน ต้องนับนิ้วเอา หายากมาก เพราะราคาขาย
ตั้งมาดันแพงจนเห็นราคาแล้วไปซื้อ Passat ดูคุ้มกว่า

VW ในภาพรวม จึงเริ่มขยับไปทางพรีเมียม เพราะไม่มี Product ราคาหลักแสนให้ซื้อแล้ว
มีแต่รถตู้รัฐมนตรี กับรถเก๋งของบ้านที่รวยพอประมาณ (แถมเป็นรถที่ทำออกมาได้ดีเสียด้วย)

ก็ขายกันอยู่แบบนี้สักพัก แล้ววูบหายไปช่วงหนึ่ง ยืนหยัดอยู่ด้วยรถตู้ล้วนๆ ก่อนจะกลับมากับรถเก๋ง
อย่าง Golf/Scirocco/Passat CC ซึ่งไอ้สองคันแรกนั้นกลายเป็นที่นิยม แม้จะไม่เยอะเหมือนสมัย
Golf III/Passat 8วาล์ว แต่ก็เห็นได้นานๆครั้ง และด้วยราคาที่ตั้งมาในระดับที่สูสี C-Class กับ 3-Series
ทำให้คนมองว่า ทำไมตั้งราคามาแพงจัง..คนที่ไม่สนใจก็จะด่าเปิงเลย แต่คนที่เล่นรถก็จะรู้ดีว่า
แพงเพราะนี่มันไม่ใช่รุ่นจ่ายกับข้าวธรรมดา มัน 200ม้าขึ้นทั้งนั้น ขายได้ราคานี้ก็บุญแล้ว

กลายเป็นว่าคนที่ซื้อรถรุ่นนี้ใช้ส่วนใหญ่ จะมีความชอบรถอยู่ในตัว ไม่จำเป็นต้องเซียน
แต่ต้องมองรถมากกว่าเป็นแค่ยานพาหนะแน่ๆล่ะ มันเลยมีภาพลักษณ์ของคนหัวออคเทนเข้าไปปน

มันเป็นภาพลักษณ์แปลกที่คงหาดูได้ยากที่อื่นๆในโลก รถคันนึง ชื่อยี่ห้อแปลว่ารถของมหาชน
ตำแหน่งทางการตลาดขยับค่อนไปทางพรีเมียม และเป็นที่รู้จักของคนเท้าหนัก
อย่าง Subaru นั้น คนเท้าหนักชอบ แต่ไม่ใช่รถพรีเมียม

ถ้าใครเข้าใจว่า VW เป็นแบรนด์พรีเมียม ต้องซูฮกเริ่มต้นไปที่ Ferdinand Piech
ตาเฒ่าทรนง เพราะคนนี้แหละที่พยายามเอาความรู้สึกแบบพรีเมียมมาใส่ใน VW
ที่เหลือก็เป็นเรื่องของจังหวะการตลาด และการเลือกเอารถมาขายของทางยนตรกิจ
ลองคิดดูง่ายๆว่าถ้ายนตรกิจขาย Golf III หมดแล้ว เอา Polo กับ Golf IV มาขายต่อ
ไม่มี Passat และรมต.ไม่โปรดปรานรถตู้ VW และไม่มี VW GTi/Sciroccoขาย

ผมเชื่อว่าทุกวันนี้ภาพลักษณ์ VW ก็คง
สูงกว่าแบรนด์ Mass-market ทั่วไปไม่มาก

ส่วนตัวผม ...ผมยังมองมันเป็นแบรนด์ Mass อยู่ ไม่ได้คิดว่าเป็นพรีเมียม
ถ้าพูดถึงพรีเมียม ผมนึกถึง Audi มากกว่า
อ่านเพลินดีมากๆครับแถมความรู้เพียบ เห็นด้วยกับเรื่องรถตู้โฟล์คนักการเมืองผู้บริหารใช้เลยดูหรูมาก

ออฟไลน์ book350

  • Full Member
  • ***
  • กระทู้: 290
    • อีเมล์
Re: เกี่ยวกับแบรนด์ vw
« ตอบกลับ #11 เมื่อ: มิถุนายน 06, 2013, 23:40:48 »
สำหรับความคิดคนไทยส่วนใหญ่ครับ เราจะแบ่งรถออกเป็นแค่สองกลุ่มใหญ่ๆ

รถญี่ปุ่นและรถยุโรป บังเอิญว่า VW ดันเข้าข่ายรถยุโรปมันเลยทำให้คนทั่วไปเห็นว่ามันดีขึ้นมากว่าที่ควรเป็น + ราคาขายในไทยนั้นก็แพงกระฉูดทำให้มันกลายเป็น รถยุโรปราคาแพงไปโดยปริยายครับ เช่นเดียวกับแบรนด์อย่าง mini หรือ fiat ทั้งหลายนี้ด้วย ความเป็นยุโรปมันเด่นกว่ายี่ห้อครับ  :o
Way to Itasha!
Honda Accord CM6 (Inspire) V6 3.0L 240HP - K&N - MUGEN - LENSO
VW GTI mk6 2.0L 330HP - APR K04 - VWR - Neuspeed - Defi - Forge - Sendai

ออฟไลน์ localgame

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 1,592
Re: เกี่ยวกับแบรนด์ vw
« ตอบกลับ #12 เมื่อ: มิถุนายน 07, 2013, 01:26:04 »
ปัจจุบันvw ในประเทศไทยทำตลาดโดยการยัดออพชั่น+เครื่องแรง เลยทำให้มันดูดีเมื่อเทียบกับแบรนพรีเมี่ยมอย่างเบนซ์ได้สบายๆ เลยไม่แปลกที่คนจะคิดว่ามันคือรถแบรนพรีเมียมในปัจจุบัน
vw golf gti เทียบกับ A-class ได้สบายๆ หรือจะเป็น caravelle ก็กิน vito ขาดลอย แค่นี้ก็พอจะทำให้คนคิดได้แล้วว่ามันสูสีกัน เอามาเทียบกันได้

ออฟไลน์ choomodify

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 1,632
Re: เกี่ยวกับแบรนด์ vw
« ตอบกลับ #13 เมื่อ: มิถุนายน 07, 2013, 04:53:57 »
คหสต. นะครับ ใครจะมองว่ามัน แมส หรือ พรีเมี่ยม ผมไม่สนใจเลยอ่ะ ถ้ามีตังผมจัด VW นี่แหละ ไม่แคร์ BMW หรือ MERC เลยด้วย ผมมั่นใจกว่าถ้าต้องเดินลงมาจาก VW อ่ะครับ

ออฟไลน์ aunn2515

  • Jr. Member
  • **
  • กระทู้: 141
Re: เกี่ยวกับแบรนด์ vw
« ตอบกลับ #14 เมื่อ: มิถุนายน 07, 2013, 06:01:27 »
คำตอบให้เจ้าของกระทู้นะครับ

มันคือ

"การตลาดและราคาครับ"


ยุคพ่อแม่เราจีบกัน ซื้อโฟล์คเต่ารถกรรณสูตใช้ วิ่งทั่วบ้านทั่วเมือง ตอนนั้นถามว่า
โฟล์คเต่าเนี่ยแบรนด์พรีเมียมไหม ถามคุณพ่อเราก็ได้ครับ

ต่อมาเข้ายุคที่บ้านเราต้องการโปรโมตเศรษฐกิจในประเทศ ก็ตั้งกำแพงภาษีรถนำเข้าซะสูงมาก
VW มี Golf I และ Golf II ในยุคนั้น แต่เอาเข้ามาก็ไม่คุ้ม เพราะช่วงนั้นรถญี่ปุ่นบูมมากแล้ว
การเข้ามาตั้งโรงงานผลิต ก็ไม่คุ้ม การนำเข้า ยิ่งยาก เพราะคงไม่มีใครอยากซื้อ Golf II
คันละล้านปลาย ถ้ายังมี Corolla คันละสี่แสนให้ซื้อ และมี Cefiro คันละล้านเศษ

แต่เราก็มี VW Transporter รถตู้ทรงเหลี่ยมที่นานๆจะได้เห็นที พวกนี้อาจดูมีความเป็น
พรีเมียมอยู่บ้าง แต่ก็เหนือกว่า Hiace ตาหวานกับหัวจรวดไม่มากขนาดนั้น

พอปี 1993 มันผ่านช่วงที่รัฐบาลลดภาษีรถนำเข้าลงราว 3 เท่าตัว ยนตรกิจ
สมัยนั้นก็เริ่มเอา VW เก๋งกลับมาขายด้วยรุ่น Golf III และ Vento ถามว่ารถสองรุ่นนี้พรีเมียมไหม?

เอ่อ พลาสติกแข็งกรอบ กระจกมือหมุนนะฮะ(ช่วงหลังมีไฟฟ้าคู่หน้า) ล้อเหล็กไม่มีฝาครอบเต็ม
แต่เป็นฝาครอบดุมนะฮะ เครื่องยังเป็นแบบไอดีไอเสียออกฝั่งเดียวกันอยู่นะฮะ แต่ตั้งราคามา
5-7แสนปลาย แพงกว่ารถญี่ปุ่นยุคนั้นที่ตัวเท่าๆกัน แต่แพงกว่าแค่นิดเดียว สมัยนั้น
กำเงิน 700,000 ก็สอยญี่ปุ่น C-Segmentตัวท้อปได้แล้ว แต่ถามว่ามันพรีเมียมไหม
เป็นรถหรูไหม ผมว่าไม่เลย...ส่วน Passat ราคา 938,000 ก็มีกระจกไฟฟ้าเพิ่มมา รถยังเทคโนโลยีไม่สูง
แต่ขายได้เพราะเหล็กแน่น แข็ง ช่วงล่างนุ่มมากที่ความเร็วต่ำ แต่วิ่ง 160 ดันวิ่งตรง วิ่งนิ่งอย่างน่างง

ผมว่าจุดเปลี่ยนมันอยู่ตรงนี้ครับ

ยุคหนึ่ง รถ VW ตู้ Caravelle จู่ๆก็ไปโผล่เป็นรถประจำตำแหน่งนักการเมืองหลายคน และเป็นอย่างนั้น
มาจนทุกวันนี้ ต่อมา พวกเขาก็เอา Passat แตงโมมาขาย คราวนี้พอมาขายแล้วคนที่ได้สัมผัสก็อึ้ง
เพราะรถราคาแค่ล้านต้นๆมั้ง แต่คุณภาพการประกอบ การตกแต่งและวัสดุนั้นจะไปฆ่าเบนซ์เอาแล้ว
แถมจะกิน Audi พี่น้องกันเองเอาด้วย ในช่วงเวลานั้นเอง Vento/Golf/Variant ก็ขายหมดสต็อค
มีการนำ Golf IV และ Bora มาโชว์ แต่ขายจริงได้กี่คัน ต้องนับนิ้วเอา หายากมาก เพราะราคาขาย
ตั้งมาดันแพงจนเห็นราคาแล้วไปซื้อ Passat ดูคุ้มกว่า

VW ในภาพรวม จึงเริ่มขยับไปทางพรีเมียม เพราะไม่มี Product ราคาหลักแสนให้ซื้อแล้ว
มีแต่รถตู้รัฐมนตรี กับรถเก๋งของบ้านที่รวยพอประมาณ (แถมเป็นรถที่ทำออกมาได้ดีเสียด้วย)

ก็ขายกันอยู่แบบนี้สักพัก แล้ววูบหายไปช่วงหนึ่ง ยืนหยัดอยู่ด้วยรถตู้ล้วนๆ ก่อนจะกลับมากับรถเก๋ง
อย่าง Golf/Scirocco/Passat CC ซึ่งไอ้สองคันแรกนั้นกลายเป็นที่นิยม แม้จะไม่เยอะเหมือนสมัย
Golf III/Passat 8วาล์ว แต่ก็เห็นได้นานๆครั้ง และด้วยราคาที่ตั้งมาในระดับที่สูสี C-Class กับ 3-Series
ทำให้คนมองว่า ทำไมตั้งราคามาแพงจัง..คนที่ไม่สนใจก็จะด่าเปิงเลย แต่คนที่เล่นรถก็จะรู้ดีว่า
แพงเพราะนี่มันไม่ใช่รุ่นจ่ายกับข้าวธรรมดา มัน 200ม้าขึ้นทั้งนั้น ขายได้ราคานี้ก็บุญแล้ว

กลายเป็นว่าคนที่ซื้อรถรุ่นนี้ใช้ส่วนใหญ่ จะมีความชอบรถอยู่ในตัว ไม่จำเป็นต้องเซียน
แต่ต้องมองรถมากกว่าเป็นแค่ยานพาหนะแน่ๆล่ะ มันเลยมีภาพลักษณ์ของคนหัวออคเทนเข้าไปปน

มันเป็นภาพลักษณ์แปลกที่คงหาดูได้ยากที่อื่นๆในโลก รถคันนึง ชื่อยี่ห้อแปลว่ารถของมหาชน
ตำแหน่งทางการตลาดขยับค่อนไปทางพรีเมียม และเป็นที่รู้จักของคนเท้าหนัก
อย่าง Subaru นั้น คนเท้าหนักชอบ แต่ไม่ใช่รถพรีเมียม

ถ้าใครเข้าใจว่า VW เป็นแบรนด์พรีเมียม ต้องซูฮกเริ่มต้นไปที่ Ferdinand Piech
ตาเฒ่าทรนง เพราะคนนี้แหละที่พยายามเอาความรู้สึกแบบพรีเมียมมาใส่ใน VW
ที่เหลือก็เป็นเรื่องของจังหวะการตลาด และการเลือกเอารถมาขายของทางยนตรกิจ
ลองคิดดูง่ายๆว่าถ้ายนตรกิจขาย Golf III หมดแล้ว เอา Polo กับ Golf IV มาขายต่อ
ไม่มี Passat และรมต.ไม่โปรดปรานรถตู้ VW และไม่มี VW GTi/Sciroccoขาย

ผมเชื่อว่าทุกวันนี้ภาพลักษณ์ VW ก็คง
สูงกว่าแบรนด์ Mass-market ทั่วไปไม่มาก

ส่วนตัวผม ...ผมยังมองมันเป็นแบรนด์ Mass อยู่ ไม่ได้คิดว่าเป็นพรีเมียม
ถ้าพูดถึงพรีเมียม ผมนึกถึง Audi มากกว่า
อ่านแล้วเข้าใจง่ายดีครับ เยี่ยมมากๆ

smileymee

  • บุคคลทั่วไป
Re: เกี่ยวกับแบรนด์ vw
« ตอบกลับ #15 เมื่อ: มิถุนายน 07, 2013, 07:02:19 »
ถ้าผมจำไม่ผิด VW เคยประกาศว่าให้แบรนด์ VW แข่งกับ Merc และ Audi แข่งกับ BMW ครับ ถ้าผมจำผิดก็ขออภัยด้วยนะครับ^^

ออฟไลน์ NoName__???

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 2,141
Re: เกี่ยวกับแบรนด์ vw
« ตอบกลับ #16 เมื่อ: มิถุนายน 07, 2013, 07:11:35 »
ในเครือ VW นั้นมี Audi อยู่ Top positioning

แต่ที่รู้ๆVWหลายๆคันที่คุณภาพรถดีกว่ารถญี่ปุ่น การขับขี่เข้าโค้งดีกว่า MB BMWซะอีก

เพราะฉะนั้น แบรนด์Position แทบไม่มีผลอัไรต่อการใช้งานของผู้บริโภคเลย

ออฟไลน์ beebird

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 1,058
    • อีเมล์
Re: เกี่ยวกับแบรนด์ vw
« ตอบกลับ #17 เมื่อ: มิถุนายน 07, 2013, 09:55:43 »
คำตอบให้เจ้าของกระทู้นะครับ

มันคือ

"การตลาดและราคาครับ"


ยุคพ่อแม่เราจีบกัน ซื้อโฟล์คเต่ารถกรรณสูตใช้ วิ่งทั่วบ้านทั่วเมือง ตอนนั้นถามว่า
โฟล์คเต่าเนี่ยแบรนด์พรีเมียมไหม ถามคุณพ่อเราก็ได้ครับ

ต่อมาเข้ายุคที่บ้านเราต้องการโปรโมตเศรษฐกิจในประเทศ ก็ตั้งกำแพงภาษีรถนำเข้าซะสูงมาก
VW มี Golf I และ Golf II ในยุคนั้น แต่เอาเข้ามาก็ไม่คุ้ม เพราะช่วงนั้นรถญี่ปุ่นบูมมากแล้ว
การเข้ามาตั้งโรงงานผลิต ก็ไม่คุ้ม การนำเข้า ยิ่งยาก เพราะคงไม่มีใครอยากซื้อ Golf II
คันละล้านปลาย ถ้ายังมี Corolla คันละสี่แสนให้ซื้อ และมี Cefiro คันละล้านเศษ

แต่เราก็มี VW Transporter รถตู้ทรงเหลี่ยมที่นานๆจะได้เห็นที พวกนี้อาจดูมีความเป็น
พรีเมียมอยู่บ้าง แต่ก็เหนือกว่า Hiace ตาหวานกับหัวจรวดไม่มากขนาดนั้น

พอปี 1993 มันผ่านช่วงที่รัฐบาลลดภาษีรถนำเข้าลงราว 3 เท่าตัว ยนตรกิจ
สมัยนั้นก็เริ่มเอา VW เก๋งกลับมาขายด้วยรุ่น Golf III และ Vento ถามว่ารถสองรุ่นนี้พรีเมียมไหม?

เอ่อ พลาสติกแข็งกรอบ กระจกมือหมุนนะฮะ(ช่วงหลังมีไฟฟ้าคู่หน้า) ล้อเหล็กไม่มีฝาครอบเต็ม
แต่เป็นฝาครอบดุมนะฮะ เครื่องยังเป็นแบบไอดีไอเสียออกฝั่งเดียวกันอยู่นะฮะ แต่ตั้งราคามา
5-7แสนปลาย แพงกว่ารถญี่ปุ่นยุคนั้นที่ตัวเท่าๆกัน แต่แพงกว่าแค่นิดเดียว สมัยนั้น
กำเงิน 700,000 ก็สอยญี่ปุ่น C-Segmentตัวท้อปได้แล้ว แต่ถามว่ามันพรีเมียมไหม
เป็นรถหรูไหม ผมว่าไม่เลย...ส่วน Passat ราคา 938,000 ก็มีกระจกไฟฟ้าเพิ่มมา รถยังเทคโนโลยีไม่สูง
แต่ขายได้เพราะเหล็กแน่น แข็ง ช่วงล่างนุ่มมากที่ความเร็วต่ำ แต่วิ่ง 160 ดันวิ่งตรง วิ่งนิ่งอย่างน่างง

ผมว่าจุดเปลี่ยนมันอยู่ตรงนี้ครับ

ยุคหนึ่ง รถ VW ตู้ Caravelle จู่ๆก็ไปโผล่เป็นรถประจำตำแหน่งนักการเมืองหลายคน และเป็นอย่างนั้น
มาจนทุกวันนี้ ต่อมา พวกเขาก็เอา Passat แตงโมมาขาย คราวนี้พอมาขายแล้วคนที่ได้สัมผัสก็อึ้ง
เพราะรถราคาแค่ล้านต้นๆมั้ง แต่คุณภาพการประกอบ การตกแต่งและวัสดุนั้นจะไปฆ่าเบนซ์เอาแล้ว
แถมจะกิน Audi พี่น้องกันเองเอาด้วย ในช่วงเวลานั้นเอง Vento/Golf/Variant ก็ขายหมดสต็อค
มีการนำ Golf IV และ Bora มาโชว์ แต่ขายจริงได้กี่คัน ต้องนับนิ้วเอา หายากมาก เพราะราคาขาย
ตั้งมาดันแพงจนเห็นราคาแล้วไปซื้อ Passat ดูคุ้มกว่า

VW ในภาพรวม จึงเริ่มขยับไปทางพรีเมียม เพราะไม่มี Product ราคาหลักแสนให้ซื้อแล้ว
มีแต่รถตู้รัฐมนตรี กับรถเก๋งของบ้านที่รวยพอประมาณ (แถมเป็นรถที่ทำออกมาได้ดีเสียด้วย)

ก็ขายกันอยู่แบบนี้สักพัก แล้ววูบหายไปช่วงหนึ่ง ยืนหยัดอยู่ด้วยรถตู้ล้วนๆ ก่อนจะกลับมากับรถเก๋ง
อย่าง Golf/Scirocco/Passat CC ซึ่งไอ้สองคันแรกนั้นกลายเป็นที่นิยม แม้จะไม่เยอะเหมือนสมัย
Golf III/Passat 8วาล์ว แต่ก็เห็นได้นานๆครั้ง และด้วยราคาที่ตั้งมาในระดับที่สูสี C-Class กับ 3-Series
ทำให้คนมองว่า ทำไมตั้งราคามาแพงจัง..คนที่ไม่สนใจก็จะด่าเปิงเลย แต่คนที่เล่นรถก็จะรู้ดีว่า
แพงเพราะนี่มันไม่ใช่รุ่นจ่ายกับข้าวธรรมดา มัน 200ม้าขึ้นทั้งนั้น ขายได้ราคานี้ก็บุญแล้ว

กลายเป็นว่าคนที่ซื้อรถรุ่นนี้ใช้ส่วนใหญ่ จะมีความชอบรถอยู่ในตัว ไม่จำเป็นต้องเซียน
แต่ต้องมองรถมากกว่าเป็นแค่ยานพาหนะแน่ๆล่ะ มันเลยมีภาพลักษณ์ของคนหัวออคเทนเข้าไปปน

มันเป็นภาพลักษณ์แปลกที่คงหาดูได้ยากที่อื่นๆในโลก รถคันนึง ชื่อยี่ห้อแปลว่ารถของมหาชน
ตำแหน่งทางการตลาดขยับค่อนไปทางพรีเมียม และเป็นที่รู้จักของคนเท้าหนัก
อย่าง Subaru นั้น คนเท้าหนักชอบ แต่ไม่ใช่รถพรีเมียม

ถ้าใครเข้าใจว่า VW เป็นแบรนด์พรีเมียม ต้องซูฮกเริ่มต้นไปที่ Ferdinand Piech
ตาเฒ่าทรนง เพราะคนนี้แหละที่พยายามเอาความรู้สึกแบบพรีเมียมมาใส่ใน VW
ที่เหลือก็เป็นเรื่องของจังหวะการตลาด และการเลือกเอารถมาขายของทางยนตรกิจ
ลองคิดดูง่ายๆว่าถ้ายนตรกิจขาย Golf III หมดแล้ว เอา Polo กับ Golf IV มาขายต่อ
ไม่มี Passat และรมต.ไม่โปรดปรานรถตู้ VW และไม่มี VW GTi/Sciroccoขาย

ผมเชื่อว่าทุกวันนี้ภาพลักษณ์ VW ก็คง
สูงกว่าแบรนด์ Mass-market ทั่วไปไม่มาก

ส่วนตัวผม ...ผมยังมองมันเป็นแบรนด์ Mass อยู่ ไม่ได้คิดว่าเป็นพรีเมียม
ถ้าพูดถึงพรีเมียม ผมนึกถึง Audi มากกว่า
ชัดเจนดีครับ คุณแพน ขอบคุณครับ

ส่วนตัวที่ซื้อหามาใช้ ไม่ใช่เพราะมันหรู แต่ว่าด้วยมาตรฐานเยอะมัน สมรรถนะ และความปลอดภัยที่มีผมว่ามันคุ้มค่านะครับ ... รวมถึงเวลาไปไหนมาไหน Feedback จากคนรอบข้าง เชื่อว่ามีคนมองไม่น้อยกว่า MB / BMW นะครับ ... สรุปว่า ชอบก็ซื้อหามาใช้ครับ ราคาประมาณนี้ ได้สมรรถนะขนาดนี้ ในตลาดมีไม่กี่รุ่นหรอกครับ

ออฟไลน์ Slipknot`

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 21,866
  • *** HLM.COM ***
Re: เกี่ยวกับแบรนด์ vw
« ตอบกลับ #18 เมื่อ: มิถุนายน 07, 2013, 10:58:08 »
ราคาไงครับ ของเมืองไทยมันเกิน 2 ล้าน แบรนด์ยุโปรป ก็ถือว่าหรูครับ

ส่วนตัวผมคิดว่ามันกูดูดีนะครับ อาจจะไม่ได้หรูเท่าค่ายอื่น

ผมว่าคนที่ซื้อ VW มี 2 ประเภท

1.ชอบซิ่ง ราคากับตัวรถคุ้มค่าคุ้มราคา รถความแรง ความสวยระดับ GTI,Scirocco หาได้อีกที่ไหนหละครับ เมื่อเทียบกับราคาของมัน
2.ชอบของแปลก เบื่อยุโรปแบรนด์อื่น เฉยๆกับตราดาวหรือใบพัด ขับไปไหนใครก็มอง โดดเด่นบนถนน(โดยเฉพาะ Scirocco,Beetle)


ออฟไลน์ Jump

  • Sr. Member
  • ****
  • กระทู้: 721
Re: เกี่ยวกับแบรนด์ vw
« ตอบกลับ #19 เมื่อ: มิถุนายน 07, 2013, 11:06:50 »
ถ้าผมจำไม่ผิด VW เคยประกาศว่าให้แบรนด์ VW แข่งกับ Merc และ Audi แข่งกับ BMW ครับ ถ้าผมจำผิดก็ขออภัยด้วยนะครับ^^

จำผิดครับ
audi กินตลาดบน ชนกับทุกแบรนด์ในเกรดนี้แหละ ถ้าเป็นที่นั่ง เครื่องบินก็ business class
vw ตลาด mass แบบ premium eco
ตลาดล่างลงมาหน่อยก็ปล่อย พวก skoda seat ว่ากันไป
LIKE A BOSS!!


ออฟไลน์ bump_F10_525d

  • Full Member
  • ***
  • กระทู้: 341
    • อีเมล์
Re: เกี่ยวกับแบรนด์ vw
« ตอบกลับ #20 เมื่อ: มิถุนายน 07, 2013, 13:13:25 »
คืออย่างงี้ครับ

ผมสงสัยมาก ทำไมคนรอบตัวผมส่วนใหญ่
ที่ไม่ได้สนใจรถยนต์มากมาย ถึงคิดว่า vw เป็นแบรนด์หรู ทั้งที่เป็นแมส
คนรอบตัวของพี่ๆมีใครมองอย่างนี้ หรือเป็นเฉพาะคนรอบข้างผมคนเดียวครับ

ส่วนตัวผมว่าคุณภาพเค้าดี มากว่า BMW ที่ผมใช้  อีกนะครับ
แต่ ไม่มีspec. ที่เข้ากับผมเลย และศูนย์น้อยไป


ออฟไลน์ tada

  • Full Member
  • ***
  • กระทู้: 164
Re: เกี่ยวกับแบรนด์ vw
« ตอบกลับ #21 เมื่อ: มิถุนายน 07, 2013, 15:21:05 »
เคยใช้ passat ครับ เป็นอย่างที่ผู้พันว่าจริง  ๆ (ความเร็วต่ำนุ่ม ความเร็วสูงมั่น)
ต่างประเทศ brand นี้ถือว่าเป็น mass เต็มขั้นครับแอบหวังนิด ๆ ในใจว่าเมื่อไหร่
จะมาลุยไทยเต็ม ๆ สักที จะได้มีทางเลือกมากขึ้น

ออฟไลน์ Pan Paitoonpong

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 6,457
  • Long live M/T
Re: เกี่ยวกับแบรนด์ vw
« ตอบกลับ #22 เมื่อ: มิถุนายน 07, 2013, 18:05:07 »
กลุ่ม VW เป็นกลุ่มที่ใหญ่มาก อาณาจักรแห่งนี้มีรถรองรับแทบจะทุกระดับชน
Piech สร้างสมบุญให้กับแบรนด์นี้มาก ผมถึงชอบเขาเพราะเขาคือคนที่บ้ารถ
และรู้ว่าจะทำยังไงให้องค์กรรุ่ง (รวมถึงการลดต้นทุน)

ในปัจจุบัน แนวทางของ Volkswagen คือจะทำให้ VW เป็นรถคาบเกี่ยว
ระหว่างความเป็นพรีเมียม กับความเป็นรถ Mass คือพูดง่ายๆคือจะพยายาม
ทำให้ทุกอย่างเป็นพรีเมียมหมด..ยกเว้นระดับชั้นของแบรนด์ คือโลโก้ VW นั่นเอง

ในปัจจุบันอาณาจักรของเฒ่าโล้นทรนงมีแบรนด์อยู่มากมาย ผมพอจำๆได้ดังนี้

Volkswagen - พรีเมียมทุกอย่างยกเว้นแบรนด์ เน้นรถขับหน้าขนาดทั่วๆไปเป็นหลัก

Audi - พรีเมียม ทำรถพรีเมียมทุกแบบ แข่งกับ BMW และ Mercedes โดยตรง
เจ้า VW นี่เขาใส่ใจเรื่องวัสดุในส่วนที่ตาเห็นมือแตะถึง ส่วน Audi นั้นเลือกแม้กระทั่ง "กลิ่น"ของวัสดุ
และ Audi ก็ยังเป็นเจ้าของ Lamborghini อีกด้วย นั่นคือสาเหตุที่ว่าทำไม Gallardo ถึงมีสวิทช์ Audi
ระหว่างสองค่ายนี้ ยังมีรถที่มีการขัดขากันอย่าง R8 ของ Audi และ Gallardo ของ Lambo
แต่พอเคลียร์กันเสร็จ สรุปคือ Lambo จะมีความแรงกว่า ดิบกว่า ไม่ everyday เท่า Audi

Lamborghini - เป็น ซูเปอร์คาร์แบรนด์ เน้นธุรกิจซูเปอร์คาร์เป็นหลัก มีรถขายดีคือ Gallardo
มีรถเรือธงเป็น Aventador มีรถบ้าๆแปลกๆทำมาปลดทรัพย์เศรษฐีเป็นพักๆ อีกหน่อยก็จะมี SUV
อย่าง URUS มา ..ลอกการบ้าน Porsche(Cayenne)ชัดๆ คือเอา SUV มาทำราคาถูกแล้วดึงลูกค้า
เข้ามาอยู่ใต้แบรนด์

Bentley - เป็น ลักชัวร์รี่แบรนด์ เน้นรถหรู ขับทางตรงๆเร็วๆนิ่มสบาย แต่แรง ที่ผ่านมามี
Continental GT กับ Flying Sperm เอ้ย Spur เป็นตัวทำเงิน แต่มี Arnage เป็นเรือธง
เป็นแบรนด์ระดับ Rolls-Royce กับ Maybach อยู่เหนือพรีเมียม แต่หลีกไม่ได้ที่มักจะถูก
นำไปเปรียบกับ S-Class และ 7-Series  ค่ายนี้พยายามเข็น SUV ออกมา..เข็นรถต้นแบบ EXP9
ออกมา หน้าตาชาติชั่วจนไม่มีใครรับได้ โดนสั่งกลับไปทำใหม่หมด แล้วมันก็จะกลับมาใหม่
ล่าสุดฝันอยากทำรถคูเป้ 4 ประตู สไตล์ CLS แต่กว่าจะมาก็อีก 2-3 ปีอย่างต่ำๆ

Skoda- เคยเป็น Low cost brand คืออยู่ต่ำกว่า Toyota , Nissan อีก แต่ข้ามศตวรรษมาแล้ว
เริ่มทำตัวเป็น Mass brand ด้วยการ "เอาเครื่อง เกียร์ แชสซีส์ ช่วงล่าง ของ VW" มายำใส่
ในรถของตัวเอง และตั้ง position ไว้ต่ำกว่า เป็นหอกอันเล็กๆที่ทิ่ม Toyota, Nissan ได้เรื่อยๆในยุโรป

Seat - คือ Skoda แต่มาจากสเปน และสร้างความต่างด้วยดีไซน์ ซึ่งในขณะที่ Seat จะพยายาม
ร้อนแรง วืดวาด Skoda จะพยายาม Conservative..ยกเว้นบางรุ่นที่หลุดโลกไปตามตลาด

Bugatti- ไฮเปอร์คาร์ ทำมาสำหรับลูกค้าเงินหนาสุดๆ Veyron ไงล่ะ นี่คือลูกรักของ Piech
ทำรถออกมาดี แต่ขายกี่คันก็ขาดทุน หน้าที่ของ Bugatti คือมาเพื่อบอกโลกใบนี้ว่า
"VW Group นำสิ่งที่หลุดโลกสู่ชีวิตคุณได้" ทำแค่นั้น แล้วก็อาศัยเงินเลี้ยงจากกำไรของ
Audi/VW ตอนนี้มีแต่ Veyron ส่วนตัวซาลูนนั้น Galibier ที่ว่าจะมาจะมา ก็ถูกส่งกลับไปดีไซน์ใหม่ซะแล้ว


มีแบรนด์อื่นอีกไหม นึกไม่ออก แต่นึกออกแค่นี้

- Nissan Tiida บ้านๆ/NX Coupe/AE111/190E1.8

ออฟไลน์ GZaar

  • Sr. Member
  • ****
  • กระทู้: 471
  • quattro > 4titude
Re: เกี่ยวกับแบรนด์ vw
« ตอบกลับ #23 เมื่อ: มิถุนายน 07, 2013, 18:21:59 »
กลุ่ม VW เป็นกลุ่มที่ใหญ่มาก อาณาจักรแห่งนี้มีรถรองรับแทบจะทุกระดับชน
Piech สร้างสมบุญให้กับแบรนด์นี้มาก ผมถึงชอบเขาเพราะเขาคือคนที่บ้ารถ
และรู้ว่าจะทำยังไงให้องค์กรรุ่ง (รวมถึงการลดต้นทุน)

ในปัจจุบัน แนวทางของ Volkswagen คือจะทำให้ VW เป็นรถคาบเกี่ยว
ระหว่างความเป็นพรีเมียม กับความเป็นรถ Mass คือพูดง่ายๆคือจะพยายาม
ทำให้ทุกอย่างเป็นพรีเมียมหมด..ยกเว้นระดับชั้นของแบรนด์ คือโลโก้ VW นั่นเอง

ในปัจจุบันอาณาจักรของเฒ่าโล้นทรนงมีแบรนด์อยู่มากมาย ผมพอจำๆได้ดังนี้

Volkswagen - พรีเมียมทุกอย่างยกเว้นแบรนด์ เน้นรถขับหน้าขนาดทั่วๆไปเป็นหลัก

Audi - พรีเมียม ทำรถพรีเมียมทุกแบบ แข่งกับ BMW และ Mercedes โดยตรง
เจ้า VW นี่เขาใส่ใจเรื่องวัสดุในส่วนที่ตาเห็นมือแตะถึง ส่วน Audi นั้นเลือกแม้กระทั่ง "กลิ่น"ของวัสดุ
และ Audi ก็ยังเป็นเจ้าของ Lamborghini อีกด้วย นั่นคือสาเหตุที่ว่าทำไม Gallardo ถึงมีสวิทช์ Audi
ระหว่างสองค่ายนี้ ยังมีรถที่มีการขัดขากันอย่าง R8 ของ Audi และ Gallardo ของ Lambo
แต่พอเคลียร์กันเสร็จ สรุปคือ Lambo จะมีความแรงกว่า ดิบกว่า ไม่ everyday เท่า Audi

Lamborghini - เป็น ซูเปอร์คาร์แบรนด์ เน้นธุรกิจซูเปอร์คาร์เป็นหลัก มีรถขายดีคือ Gallardo
มีรถเรือธงเป็น Aventador มีรถบ้าๆแปลกๆทำมาปลดทรัพย์เศรษฐีเป็นพักๆ อีกหน่อยก็จะมี SUV
อย่าง URUS มา ..ลอกการบ้าน Porsche(Cayenne)ชัดๆ คือเอา SUV มาทำราคาถูกแล้วดึงลูกค้า
เข้ามาอยู่ใต้แบรนด์

Bentley - เป็น ลักชัวร์รี่แบรนด์ เน้นรถหรู ขับทางตรงๆเร็วๆนิ่มสบาย แต่แรง ที่ผ่านมามี
Continental GT กับ Flying Sperm เอ้ย Spur เป็นตัวทำเงิน แต่มี Arnage เป็นเรือธง
เป็นแบรนด์ระดับ Rolls-Royce กับ Maybach อยู่เหนือพรีเมียม แต่หลีกไม่ได้ที่มักจะถูก
นำไปเปรียบกับ S-Class และ 7-Series  ค่ายนี้พยายามเข็น SUV ออกมา..เข็นรถต้นแบบ EXP9
ออกมา หน้าตาชาติชั่วจนไม่มีใครรับได้ โดนสั่งกลับไปทำใหม่หมด แล้วมันก็จะกลับมาใหม่
ล่าสุดฝันอยากทำรถคูเป้ 4 ประตู สไตล์ CLS แต่กว่าจะมาก็อีก 2-3 ปีอย่างต่ำๆ

Skoda- เคยเป็น Low cost brand คืออยู่ต่ำกว่า Toyota , Nissan อีก แต่ข้ามศตวรรษมาแล้ว
เริ่มทำตัวเป็น Mass brand ด้วยการ "เอาเครื่อง เกียร์ แชสซีส์ ช่วงล่าง ของ VW" มายำใส่
ในรถของตัวเอง และตั้ง position ไว้ต่ำกว่า เป็นหอกอันเล็กๆที่ทิ่ม Toyota, Nissan ได้เรื่อยๆในยุโรป

Seat - คือ Skoda แต่มาจากสเปน และสร้างความต่างด้วยดีไซน์ ซึ่งในขณะที่ Seat จะพยายาม
ร้อนแรง วืดวาด Skoda จะพยายาม Conservative..ยกเว้นบางรุ่นที่หลุดโลกไปตามตลาด

Bugatti- ไฮเปอร์คาร์ ทำมาสำหรับลูกค้าเงินหนาสุดๆ Veyron ไงล่ะ นี่คือลูกรักของ Piech
ทำรถออกมาดี แต่ขายกี่คันก็ขาดทุน หน้าที่ของ Bugatti คือมาเพื่อบอกโลกใบนี้ว่า
"VW Group นำสิ่งที่หลุดโลกสู่ชีวิตคุณได้" ทำแค่นั้น แล้วก็อาศัยเงินเลี้ยงจากกำไรของ
Audi/VW ตอนนี้มีแต่ Veyron ส่วนตัวซาลูนนั้น Galibier ที่ว่าจะมาจะมา ก็ถูกส่งกลับไปดีไซน์ใหม่ซะแล้ว


มีแบรนด์อื่นอีกไหม นึกไม่ออก แต่นึกออกแค่นี้



Porsche, Ducati, Scania, Man

จาก http://www.volkswagenag.com/content/vwcorp/content/en/brands_and_products.html ครับ
คาสโนวา = คนเจ้าชู้ = สุนัข = สัตว์เดรัจฉาน

smileymee

  • บุคคลทั่วไป
Re: เกี่ยวกับแบรนด์ vw
« ตอบกลับ #24 เมื่อ: มิถุนายน 07, 2013, 19:38:13 »
ถ้าผมจำไม่ผิด VW เคยประกาศว่าให้แบรนด์ VW แข่งกับ Merc และ Audi แข่งกับ BMW ครับ ถ้าผมจำผิดก็ขออภัยด้วยนะครับ^^

จำผิดครับ
audi กินตลาดบน ชนกับทุกแบรนด์ในเกรดนี้แหละ ถ้าเป็นที่นั่ง เครื่องบินก็ business class
vw ตลาด mass แบบ premium eco
ตลาดล่างลงมาหน่อยก็ปล่อย พวก skoda seat ว่ากันไป


ขอบคุณมากครับ^^

ข้อมูลของผมคงเก่ามากแล้วเพราะเป็นช่วงปี 2002 ที่ คุณ Bernd Pischetsrieder เป็น CEO เขาให้ VW Phaeton เป็นตัวท้าทายกับ Merc S-Class และ Audi A8 ท้าทายกับ BMW Series 7 จนกระทั่งปี 2006 เขาได้ลาออกจาก CEO และในปี 2007 VW ได้แต่งตั้ง คุณ Martin Winterkorn ซึ่งเป็น CEO ของ Audi worldwide อยู่ขึ้นมาเป็น CEO ของ VW ทางคุณ Winterkorn จึงเครดิต Audi และใช้ Audi ในการต่อกรกับทั้ง BMW และ Merc. จนถึงปัจจุบันครับ

ออฟไลน์ seamonkey

  • Sr. Member
  • ****
  • กระทู้: 521
Re: เกี่ยวกับแบรนด์ vw
« ตอบกลับ #25 เมื่อ: มิถุนายน 07, 2013, 20:50:24 »
มีแบรนด์อื่นอีกไหม นึกไม่ออก แต่นึกออกแค่นี้

นับ Porche เป็น VW group ด้วยไหมครับ??

ออฟไลน์ kimhalua

  • Full Member
  • ***
  • กระทู้: 267
    • อีเมล์
Re: เกี่ยวกับแบรนด์ vw
« ตอบกลับ #26 เมื่อ: มิถุนายน 07, 2013, 21:24:10 »
สำหรับความคิดคนไทยส่วนใหญ่ครับ เราจะแบ่งรถออกเป็นแค่สองกลุ่มใหญ่ๆ

รถญี่ปุ่นและรถยุโรป บังเอิญว่า VW ดันเข้าข่ายรถยุโรปมันเลยทำให้คนทั่วไปเห็นว่ามันดีขึ้นมากว่าที่ควรเป็น + ราคาขายในไทยนั้นก็แพงกระฉูดทำให้มันกลายเป็น รถยุโรปราคาแพงไปโดยปริยายครับ เช่นเดียวกับแบรนด์อย่าง mini หรือ fiat ทั้งหลายนี้ด้วย ความเป็นยุโรปมันเด่นกว่ายี่ห้อครับ  :o

คิดเหมือนผมเลยครับ ขนาดปัจจุบันนี้ บางคนยังเข้าใจว่า ฟอร์ด เชฟโรเล็ต แพงกว่า โตโยต้า ฮอนด้าไรพวกนั้นเลย - - ทั้งๆที่บางรุ่นถูกกว่าเป็นแสน

ออฟไลน์ Pan Paitoonpong

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 6,457
  • Long live M/T
Re: เกี่ยวกับแบรนด์ vw
« ตอบกลับ #27 เมื่อ: มิถุนายน 08, 2013, 00:16:21 »
คำเตือน : การดื่มไวน์จำนวนมากแล้วไม่ยอมหลับนอนจะส่งผลให้เกิดข้อความข้างล่างๆที่ไร้ประโยชน์มาก
ถ้าไม่จำเป็น scroll ข้ามๆไปเลย

คุณพิเชษฐ์รีดเดอร์ (ชื่อเยอรมันมันอ่านยาก) ตอนออกนั้นทะเลาะกับ Piech เลยโดยให้ออกไป
Phaeton นั่นก็ Piech เป็นคนบอกให้ทำ ..คือแม้ว่าชื่อตำแหน่งของตาโล้น Piech จะเป็น "ที่ปรึกษา"
แต่อำนาจที่จริงนั้นสูงส่งมาก ถ้าใครบริหารงานไปในทางที่แกไม่ชอบ แกเป็นวางแผนทั้งบนดินใต้ดิน
เอาจนต้องเก็บของออกจากบริษัทไปหมด

อย่าง Porsche เมื่อก่อนก็มี CEO เป็นตาหนวด Wendelin Wiedeking บริหารงานเก่งมาก
อายุ 39 เป็นผบ.สายงานการผลิต คุมการผลิตทั้งหมด พออายุ 43 เป็น CEO Porsche
แล้วก็เข้ามาจัดการองค์กรใหม่ในสไตล์คล้ายๆ Carlos Ghosn ..ตอนแรก Porsche จะเจ๊งอยู่แล้ว
คนบอกไม่รอดแน่ ต้องหาคนมาช้อนกิจการ ตาหนวดบอก อย่ายุ่ง เดี๋ยวจัดการเอง
ว่าแล้วเฒ่าแก่น้อยมีหนวดก็จัดระบบการผลิตใหม่ ปลดคนออก จ้างคนเข้าใหม่เป็นว่าเล่น
ฆ่า 968 กับ 928 ทิ้ง สั่งปรับแนวทางของ 911 ใหม่ แล้วก็สั่งให้ผลิตรถอย่าง Boxster
รวมไปถึง SUV อย่าง Cayenne ที่คนพร่ำด่าตาหนวดว่าจะทำมาทำไม แต่เถ้าแก่น้อยบอกคอยดูเหอะ
แล้วไปๆมาๆ ทั้ง Boxster และ Cayenne กลายเป็นรถที่ทำกำไรได้มาก

ช่วงหลังๆที่ Porsche กลับมารวย Wendelin แกเข้าวัยใกล้เกษียณเกษมสุข แต่ดันแกว่งเท้าหาเสี้ยน
ด้วยการวางแผนระดมเงินจะเข้างาบกิจการ VW Group ซึ่งถ้านึกภาพไม่ออกว่าประมาณไหน
อารมณ์มันคือคุณชายหมอ เดินไปเหยียบตีน วิน ดีเซล แล้วบอกว่าระวังนะจ๊ะน้อง พี่จะเอาน้องเอง

ตา Piech นั่งกินส้มตำอยู่ถึงกับพรวด เพราะตา Piech แกมีความรักสองอย่าง หนึ่งคือรักเด็กฉลาด
สองคือฉลาดแล้วต้องไม่ขัดใจ ตา Piech แกมีหุ้นอยู่ใน Porsche นี่ครับ Wendelin ทำ Porsche
ขายได้เงินดี แกก็บอก เด็กเอ๋ยเด็กดีต้องมีหน้าที่ทำเงินให้กู นะคะเบย งุงิ พอเด็กดีเกิดบ้า
บอกว่าลุง ไอ้องค์กรที่ลุงนั่งบัลลังก์อยู่น่ะ ผมจะไปงาบแล้วนะ ปู่ Piech โมโหแทบปาไส้กรอก
ออกนอกหน้าต่าง ประกาศลั่น "ไอ้หนวดจิ๋ม แตะ VW Group ลูกกูเมื่อไหร่เจอดี"

Wendelin แกเถ้าแก่น้อยนี่ครับ อายุน้อย ฉลาด พยายามรวบรวมทุนสารพัด กู้หนี้ยืมสิน
ทำทุกอย่างเพื่อจะได้ VW Group มาในครอบครอง แต่ตา Piech แกไม่ชอบตานี่
เพราะปรัชญาการมองรถยนต์ต่างกันโดยสิ้นเชิง Piech เป็นคนที่มีลูกสมเหตุสมผล
และมีลูกบ้า ไอ้ลูกบ้าก็มีทั้งที่เวิร์ตและไม่เวิร์ค ..Phaeton นี่ก็ลูกรักของแก พยายามจะล้ำเลิศ
ทางเทคโนโลยี แต่ขายไม่ออก ขาดจุดที่ดึงดูดใจ ทำ VW มาขายในราคา Audi ใครจะสน
อิ Bugatti Veyron นี่ก็ลูกแก ..ตอน brief วิศวกร แกบอกว่า เห้ยฟังนะ อั๊วะขอพันม้า
ขอให้วิ่งได้ 400 วิศวกรเกาหัวยิกๆ ไปพัฒนามาเป็นชาติ ล้มกี่ครั้ง คลานไปหา Piech ตานี่
ก็พูดเป็นแค่สองประโยค จะเอาพันม้า จะวิ่ง 400 วิศวกรแทบเยี่ยวเป็นเลือด แต่ก็สนองตัณหาPiech
สำเร็จ ทำออกมาเสร็จสวยงาม ขายขาดทุนทุกคัน

ส่วนเถ้าแก่น้อยมีหนวด บอกว่าทำรถเอามันส์เอาชื่อแบบนั้นน่ะโง่ครับ รถมีหน้าที่ทำกำไร
ถ้าทำกำไรไม่ได้แล้วจะทำทำไม ตา Piech แกมองเห็นว่าอิเด็กนี่โตขึ้นน่าจะดื้อ
แถมยังคิดจะมางาบบริษัทเราอีก..Piech เลยบอกเอายาถ่ายใส่ข้าวให้มันกินซะ
จากนั้นก็สุมหัวปฏิบัติการระเบิดถังขี้บ้าน Wendelin เดินสายล็อบบี้ผู้มีอิทธิพลในระดับการเมือง
กุดหัวซะจน Wendelin ขยับตัวไม่ได้ ไปตรงไหนก็มีปัญหา ท้ายสุด เจอวิกฤติเงินปี 08-09 เข้าไป
เงินเอาของเขามา แต่หามาคืนไม่ได้ Porsche พลิกจากคนรวย กลายเป็นหนี้หมื่นล้านยูโร

และท้ายสุด จากเดิมที่คิดจะงาบ VW Group ก็กลายเป็นว่า Porsche ถูก VW เอาหุ้นไป 49.5%
กลายเป็นบริษัทที่ต้องทำงานรับใช้ VW Group ในการพัฒนาโครงการรถสปอร์ต แพลทฟอร์มรถสปอร์ต
และอาจจะได้ทำแพลทฟอร์มเก๋งเตี้ยให้แชร์กันใช้กับ Audi ด้วย

ถ้าถามว่า Porsche เป็นของ VW Group หรือเปล่า ผมก็ว่าตามรูปการณ์แล้วมันก็ต้องใช่แหละ

เออแล้วผมจะพิมพ์ทำไมในเรื่องที่ไม่เกี่ยวกับหัวกระทู้ตั้งเยอะวะเนี่ย งงว่ะ นอนครับ


- Nissan Tiida บ้านๆ/NX Coupe/AE111/190E1.8

ออฟไลน์ localgame

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 1,592
Re: เกี่ยวกับแบรนด์ vw
« ตอบกลับ #28 เมื่อ: มิถุนายน 08, 2013, 01:42:26 »
คำเตือน : การดื่มไวน์จำนวนมากแล้วไม่ยอมหลับนอนจะส่งผลให้เกิดข้อความข้างล่างๆที่ไร้ประโยชน์มาก
ถ้าไม่จำเป็น scroll ข้ามๆไปเลย

คุณพิเชษฐ์รีดเดอร์ (ชื่อเยอรมันมันอ่านยาก) ตอนออกนั้นทะเลาะกับ Piech เลยโดยให้ออกไป
Phaeton นั่นก็ Piech เป็นคนบอกให้ทำ ..คือแม้ว่าชื่อตำแหน่งของตาโล้น Piech จะเป็น "ที่ปรึกษา"
แต่อำนาจที่จริงนั้นสูงส่งมาก ถ้าใครบริหารงานไปในทางที่แกไม่ชอบ แกเป็นวางแผนทั้งบนดินใต้ดิน
เอาจนต้องเก็บของออกจากบริษัทไปหมด

อย่าง Porsche เมื่อก่อนก็มี CEO เป็นตาหนวด Wendelin Wiedeking บริหารงานเก่งมาก
อายุ 39 เป็นผบ.สายงานการผลิต คุมการผลิตทั้งหมด พออายุ 43 เป็น CEO Porsche
แล้วก็เข้ามาจัดการองค์กรใหม่ในสไตล์คล้ายๆ Carlos Ghosn ..ตอนแรก Porsche จะเจ๊งอยู่แล้ว
คนบอกไม่รอดแน่ ต้องหาคนมาช้อนกิจการ ตาหนวดบอก อย่ายุ่ง เดี๋ยวจัดการเอง
ว่าแล้วเฒ่าแก่น้อยมีหนวดก็จัดระบบการผลิตใหม่ ปลดคนออก จ้างคนเข้าใหม่เป็นว่าเล่น
ฆ่า 968 กับ 928 ทิ้ง สั่งปรับแนวทางของ 911 ใหม่ แล้วก็สั่งให้ผลิตรถอย่าง Boxster
รวมไปถึง SUV อย่าง Cayenne ที่คนพร่ำด่าตาหนวดว่าจะทำมาทำไม แต่เถ้าแก่น้อยบอกคอยดูเหอะ
แล้วไปๆมาๆ ทั้ง Boxster และ Cayenne กลายเป็นรถที่ทำกำไรได้มาก

ช่วงหลังๆที่ Porsche กลับมารวย Wendelin แกเข้าวัยใกล้เกษียณเกษมสุข แต่ดันแกว่งเท้าหาเสี้ยน
ด้วยการวางแผนระดมเงินจะเข้างาบกิจการ VW Group ซึ่งถ้านึกภาพไม่ออกว่าประมาณไหน
อารมณ์มันคือคุณชายหมอ เดินไปเหยียบตีน วิน ดีเซล แล้วบอกว่าระวังนะจ๊ะน้อง พี่จะเอาน้องเอง

ตา Piech นั่งกินส้มตำอยู่ถึงกับพรวด เพราะตา Piech แกมีความรักสองอย่าง หนึ่งคือรักเด็กฉลาด
สองคือฉลาดแล้วต้องไม่ขัดใจ ตา Piech แกมีหุ้นอยู่ใน Porsche นี่ครับ Wendelin ทำ Porsche
ขายได้เงินดี แกก็บอก เด็กเอ๋ยเด็กดีต้องมีหน้าที่ทำเงินให้กู นะคะเบย งุงิ พอเด็กดีเกิดบ้า
บอกว่าลุง ไอ้องค์กรที่ลุงนั่งบัลลังก์อยู่น่ะ ผมจะไปงาบแล้วนะ ปู่ Piech โมโหแทบปาไส้กรอก
ออกนอกหน้าต่าง ประกาศลั่น "ไอ้หนวดจิ๋ม แตะ VW Group ลูกกูเมื่อไหร่เจอดี"

Wendelin แกเถ้าแก่น้อยนี่ครับ อายุน้อย ฉลาด พยายามรวบรวมทุนสารพัด กู้หนี้ยืมสิน
ทำทุกอย่างเพื่อจะได้ VW Group มาในครอบครอง แต่ตา Piech แกไม่ชอบตานี่
เพราะปรัชญาการมองรถยนต์ต่างกันโดยสิ้นเชิง Piech เป็นคนที่มีลูกสมเหตุสมผล
และมีลูกบ้า ไอ้ลูกบ้าก็มีทั้งที่เวิร์ตและไม่เวิร์ค ..Phaeton นี่ก็ลูกรักของแก พยายามจะล้ำเลิศ
ทางเทคโนโลยี แต่ขายไม่ออก ขาดจุดที่ดึงดูดใจ ทำ VW มาขายในราคา Audi ใครจะสน
อิ Bugatti Veyron นี่ก็ลูกแก ..ตอน brief วิศวกร แกบอกว่า เห้ยฟังนะ อั๊วะขอพันม้า
ขอให้วิ่งได้ 400 วิศวกรเกาหัวยิกๆ ไปพัฒนามาเป็นชาติ ล้มกี่ครั้ง คลานไปหา Piech ตานี่
ก็พูดเป็นแค่สองประโยค จะเอาพันม้า จะวิ่ง 400 วิศวกรแทบเยี่ยวเป็นเลือด แต่ก็สนองตัณหาPiech
สำเร็จ ทำออกมาเสร็จสวยงาม ขายขาดทุนทุกคัน

ส่วนเถ้าแก่น้อยมีหนวด บอกว่าทำรถเอามันส์เอาชื่อแบบนั้นน่ะโง่ครับ รถมีหน้าที่ทำกำไร
ถ้าทำกำไรไม่ได้แล้วจะทำทำไม ตา Piech แกมองเห็นว่าอิเด็กนี่โตขึ้นน่าจะดื้อ
แถมยังคิดจะมางาบบริษัทเราอีก..Piech เลยบอกเอายาถ่ายใส่ข้าวให้มันกินซะ
จากนั้นก็สุมหัวปฏิบัติการระเบิดถังขี้บ้าน Wendelin เดินสายล็อบบี้ผู้มีอิทธิพลในระดับการเมือง
กุดหัวซะจน Wendelin ขยับตัวไม่ได้ ไปตรงไหนก็มีปัญหา ท้ายสุด เจอวิกฤติเงินปี 08-09 เข้าไป
เงินเอาของเขามา แต่หามาคืนไม่ได้ Porsche พลิกจากคนรวย กลายเป็นหนี้หมื่นล้านยูโร

และท้ายสุด จากเดิมที่คิดจะงาบ VW Group ก็กลายเป็นว่า Porsche ถูก VW เอาหุ้นไป 49.5%
กลายเป็นบริษัทที่ต้องทำงานรับใช้ VW Group ในการพัฒนาโครงการรถสปอร์ต แพลทฟอร์มรถสปอร์ต
และอาจจะได้ทำแพลทฟอร์มเก๋งเตี้ยให้แชร์กันใช้กับ Audi ด้วย

ถ้าถามว่า Porsche เป็นของ VW Group หรือเปล่า ผมก็ว่าตามรูปการณ์แล้วมันก็ต้องใช่แหละ

เออแล้วผมจะพิมพ์ทำไมในเรื่องที่ไม่เกี่ยวกับหัวกระทู้ตั้งเยอะวะเนี่ย งงว่ะ นอนครับ



เล่าแบบนี้สนุกดีครับ เหมือนอ่านการ์ตูนเลย

smileymee

  • บุคคลทั่วไป
Re: เกี่ยวกับแบรนด์ vw
« ตอบกลับ #29 เมื่อ: มิถุนายน 08, 2013, 06:59:27 »
คำเตือน : การดื่มไวน์จำนวนมากแล้วไม่ยอมหลับนอนจะส่งผลให้เกิดข้อความข้างล่างๆที่ไร้ประโยชน์มาก
ถ้าไม่จำเป็น scroll ข้ามๆไปเลย

คุณพิเชษฐ์รีดเดอร์ (ชื่อเยอรมันมันอ่านยาก) ตอนออกนั้นทะเลาะกับ Piech เลยโดยให้ออกไป
Phaeton นั่นก็ Piech เป็นคนบอกให้ทำ ..คือแม้ว่าชื่อตำแหน่งของตาโล้น Piech จะเป็น "ที่ปรึกษา"
แต่อำนาจที่จริงนั้นสูงส่งมาก ถ้าใครบริหารงานไปในทางที่แกไม่ชอบ แกเป็นวางแผนทั้งบนดินใต้ดิน
เอาจนต้องเก็บของออกจากบริษัทไปหมด

อย่าง Porsche เมื่อก่อนก็มี CEO เป็นตาหนวด Wendelin Wiedeking บริหารงานเก่งมาก
อายุ 39 เป็นผบ.สายงานการผลิต คุมการผลิตทั้งหมด พออายุ 43 เป็น CEO Porsche
แล้วก็เข้ามาจัดการองค์กรใหม่ในสไตล์คล้ายๆ Carlos Ghosn ..ตอนแรก Porsche จะเจ๊งอยู่แล้ว
คนบอกไม่รอดแน่ ต้องหาคนมาช้อนกิจการ ตาหนวดบอก อย่ายุ่ง เดี๋ยวจัดการเอง
ว่าแล้วเฒ่าแก่น้อยมีหนวดก็จัดระบบการผลิตใหม่ ปลดคนออก จ้างคนเข้าใหม่เป็นว่าเล่น
ฆ่า 968 กับ 928 ทิ้ง สั่งปรับแนวทางของ 911 ใหม่ แล้วก็สั่งให้ผลิตรถอย่าง Boxster
รวมไปถึง SUV อย่าง Cayenne ที่คนพร่ำด่าตาหนวดว่าจะทำมาทำไม แต่เถ้าแก่น้อยบอกคอยดูเหอะ
แล้วไปๆมาๆ ทั้ง Boxster และ Cayenne กลายเป็นรถที่ทำกำไรได้มาก

ช่วงหลังๆที่ Porsche กลับมารวย Wendelin แกเข้าวัยใกล้เกษียณเกษมสุข แต่ดันแกว่งเท้าหาเสี้ยน
ด้วยการวางแผนระดมเงินจะเข้างาบกิจการ VW Group ซึ่งถ้านึกภาพไม่ออกว่าประมาณไหน
อารมณ์มันคือคุณชายหมอ เดินไปเหยียบตีน วิน ดีเซล แล้วบอกว่าระวังนะจ๊ะน้อง พี่จะเอาน้องเอง

ตา Piech นั่งกินส้มตำอยู่ถึงกับพรวด เพราะตา Piech แกมีความรักสองอย่าง หนึ่งคือรักเด็กฉลาด
สองคือฉลาดแล้วต้องไม่ขัดใจ ตา Piech แกมีหุ้นอยู่ใน Porsche นี่ครับ Wendelin ทำ Porsche
ขายได้เงินดี แกก็บอก เด็กเอ๋ยเด็กดีต้องมีหน้าที่ทำเงินให้กู นะคะเบย งุงิ พอเด็กดีเกิดบ้า
บอกว่าลุง ไอ้องค์กรที่ลุงนั่งบัลลังก์อยู่น่ะ ผมจะไปงาบแล้วนะ ปู่ Piech โมโหแทบปาไส้กรอก
ออกนอกหน้าต่าง ประกาศลั่น "ไอ้หนวดจิ๋ม แตะ VW Group ลูกกูเมื่อไหร่เจอดี"

Wendelin แกเถ้าแก่น้อยนี่ครับ อายุน้อย ฉลาด พยายามรวบรวมทุนสารพัด กู้หนี้ยืมสิน
ทำทุกอย่างเพื่อจะได้ VW Group มาในครอบครอง แต่ตา Piech แกไม่ชอบตานี่
เพราะปรัชญาการมองรถยนต์ต่างกันโดยสิ้นเชิง Piech เป็นคนที่มีลูกสมเหตุสมผล
และมีลูกบ้า ไอ้ลูกบ้าก็มีทั้งที่เวิร์ตและไม่เวิร์ค ..Phaeton นี่ก็ลูกรักของแก พยายามจะล้ำเลิศ
ทางเทคโนโลยี แต่ขายไม่ออก ขาดจุดที่ดึงดูดใจ ทำ VW มาขายในราคา Audi ใครจะสน
อิ Bugatti Veyron นี่ก็ลูกแก ..ตอน brief วิศวกร แกบอกว่า เห้ยฟังนะ อั๊วะขอพันม้า
ขอให้วิ่งได้ 400 วิศวกรเกาหัวยิกๆ ไปพัฒนามาเป็นชาติ ล้มกี่ครั้ง คลานไปหา Piech ตานี่
ก็พูดเป็นแค่สองประโยค จะเอาพันม้า จะวิ่ง 400 วิศวกรแทบเยี่ยวเป็นเลือด แต่ก็สนองตัณหาPiech
สำเร็จ ทำออกมาเสร็จสวยงาม ขายขาดทุนทุกคัน

ส่วนเถ้าแก่น้อยมีหนวด บอกว่าทำรถเอามันส์เอาชื่อแบบนั้นน่ะโง่ครับ รถมีหน้าที่ทำกำไร
ถ้าทำกำไรไม่ได้แล้วจะทำทำไม ตา Piech แกมองเห็นว่าอิเด็กนี่โตขึ้นน่าจะดื้อ
แถมยังคิดจะมางาบบริษัทเราอีก..Piech เลยบอกเอายาถ่ายใส่ข้าวให้มันกินซะ
จากนั้นก็สุมหัวปฏิบัติการระเบิดถังขี้บ้าน Wendelin เดินสายล็อบบี้ผู้มีอิทธิพลในระดับการเมือง
กุดหัวซะจน Wendelin ขยับตัวไม่ได้ ไปตรงไหนก็มีปัญหา ท้ายสุด เจอวิกฤติเงินปี 08-09 เข้าไป
เงินเอาของเขามา แต่หามาคืนไม่ได้ Porsche พลิกจากคนรวย กลายเป็นหนี้หมื่นล้านยูโร

และท้ายสุด จากเดิมที่คิดจะงาบ VW Group ก็กลายเป็นว่า Porsche ถูก VW เอาหุ้นไป 49.5%
กลายเป็นบริษัทที่ต้องทำงานรับใช้ VW Group ในการพัฒนาโครงการรถสปอร์ต แพลทฟอร์มรถสปอร์ต
และอาจจะได้ทำแพลทฟอร์มเก๋งเตี้ยให้แชร์กันใช้กับ Audi ด้วย

ถ้าถามว่า Porsche เป็นของ VW Group หรือเปล่า ผมก็ว่าตามรูปการณ์แล้วมันก็ต้องใช่แหละ

เออแล้วผมจะพิมพ์ทำไมในเรื่องที่ไม่เกี่ยวกับหัวกระทู้ตั้งเยอะวะเนี่ย งงว่ะ นอนครับ



เล่าแบบนี้สนุกดีครับ เหมือนอ่านการ์ตูนเลย

เห็นด้วยครับ อ่านมันส์ดีจริงๆ ขอบคุณมากครับ พี่ Commander Cheng ^^