ขึ้นอยู่กับเอาไปใช้งานแบบไหน
ขับแรง วิ่งทางไกลบ่อย ก็ เบนซิน 2.5 ขับเคลื่อน 2 ล้อ (13 กม./ลิตร) / ค่าน้ำมัน 2.7 บาท ต่อกิโลเมตร (เฉลี่ยราคาน้ำมันเบนซิน 35 บาท/ลิตร)
ขับเรื่อยๆ เน้นขับในเมือง ก็ เบนซิน 2.2 ขับเคลื่อน 2 ล้อ (15 กม./ลิตร) / ค่าน้ำมัน 2.3 บาท ต่อกิโลเมตร (เฉลี่ยราคาน้ำมันเบนซิน 35 บาท/ลิตร)
ลุยถนนห่วย บ่อยทุกสัปดาห์ ก็ ดีเซล 2.2 ขับเคลื่อน 4 ล้อ (17 กม./ลิตร) / ค่าน้ำมัน 1.7 บาท ต่อกิโลเมตร (เฉลี่ยราคาน้ำมันดีเซล 30 บาท/ลิตร)
สมมติให้ รถทั่วไปการใช้งานเฉลี่ย 150,000 กิโล ก่อนขายทอดตลาด
รถ G 2.5 วิ่ง 150,000 กิโล คิดเป็นค่าเชื้อเพลิง 405,000 บาท จ่ายมากกว่า G 2.0 = 60,000 บาท และ จ่ายมากกว่า D 2.2 = 150,000 บาท
รถ G 2.0 วิ่ง 150,000 กิโล คิดเป็นค่าเชื้อเพลิง 345,000 บาท จ่ายมากกว่า D 2.2 = 90,000 บาท
รถ D 2.2 วิ่ง 150,000 กิโล คิดเป็นค่าเชื้อเพลิง 255,000 บาท
ถ้าตรรก เป็นแบบนี้ รถ D2.2 คุ้มค่าที่สุด
เพราะ เครื่องยนต์ดีเซล + ช่วงล่างขับ AWD + เกียร์ขับ 4 ถ้าไปทำเอง ก็ต้องจ่ายมากกว่า 2 แสนแล้ว
ยังไม่รวม สรรถนะที่ได้มา ตลอดระยะเวลา ครอบครองรถ
ยกเว้น ถ้าเอาไปติดแก๊ส LPG รถ G2.5 คุ้มค่าที่สุด
เพราะ วิ่ง 150,000 กิโล คิดเป็นค่าเชื้อเพลิง 195,000 บาท (10 กม./ลิตร) ค่าติดแก๊ส 40,000 รวมเป็นค่าใช้จ่าย 235,000 บาท
(G2.0 อาจจะประหยัดที่สุด แต่ขาดรสชาด ของการขับขี่ ไม่สมกับ SUV แนวมันส์)
หมายเหตุ
นี่เป็นการประมาณการโดยเฉลี่ย ถ้าวิ่งน้อยกว่านี้ หรือวิ่งมากกว่านี้ ก็ปรับตัวเลขเองนะครับ