User Review : Nissan Skyline GT-R R33 เจ้าเส้นขอบฟ้ากับความฝันในวัยเยาว์ (Part 1)

Copperprince

Nissan Skyline ชื่อนี้เชื่อว่าหลายๆคนต้องเคยได้ยิน และรู้จัก หรือแม้กระทั่ง หลายๆคนที่อาจจะเคยได้สัมผัสและครอบครอง ไม่รุ่นใดก็รุ่นหนึ่ง ย้อนกลับไปสักช่วงปี 2540 ซึ่งเป็นช่วงสมัยที่เข้าเรียนมหาวิทยาลัย ใหม่ๆ กำลังเป็นช่วงที่เรียกได้ว่ากำลังชอบ และบ้าแต่งรถเป็นชีวิตจิตใจ และได้มีโอกาสไปสัมผัสกับวงการมอเตอร์สปอร์ตเป็นครั้งแรกก็ช่วงนี้ นั่นก็คือ การแข่งขัน ควอเตอร์ไมล์ ไม่ว่าที่สนาม พีระเซอร์กิต,สนามคลอง6,สนามไทยแลนด์เซอร์กิต นครปฐม หรือ สนามบินราชบุรี ซึ่งในช่วงนั้นก็มีรถแรงๆหลายๆคัน ไม่ว่าจะเป็นรถเก๋ง วางเครื่อง ปิ๊คอัพวางเครื่อง รถสปอร์ตสายพันธุ์ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น Evo,RX-7,Supra,Nsx หรือแม้กระทั่ง สิงห์คะนองนา ที่เป็นตำนานในยุคนั้น แต่ส่วนตัวกลับมีความหลงไหลและชื่นชอบ รถยนต์อยู่รุ่นหนึ่ง นั่นก็คือ เจ้า Nissan Skyline GT-R R33(Bcnr33) ซึ่งในตอนนั้นไม่มีโอกาสที่จะได้ครอบครอง วันเวลาผ่านไป อายุอานามมากขึ้น การงานมั่นคง มีครอบครัวที่อุ่นและเข้าใจ จึงมีความคิดอยากจะสานฝันในช่วงวัยรุ่นให้สำเร็จ จึงเป็นที่มาของรีวิวนี้ครับ Nissan Skyline GT-R R33
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กรกฎาคม 22, 2013, 10:00:26 โดย CopperRich »



Copperprince

ประวัติและความเป็นมา

เอาแบบย่อๆแล้วกันนะครับ...
Nissan Skyline นี้เป็นรถมีประวัติและตำนานที่ยาวนาน และ Nissan Skyline GT-R R33 นี้ก็ถือเป็น
เจเนอเรชั่นที่ 9 ในตระกูล Nissan Skyline โดยได้รับการพัฒนามาจากรุ่นพี่ Nissan Skyline R32 นั่นเอง
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กรกฎาคม 22, 2013, 07:20:20 โดย CopperRich »



Copperprince

โดยที่  Nissan Skyline R33 GT-R  เปิดตัวครั้งแรกในวันที่ 16 มกราคมปี 1995 จากวันนั้นถึงวันนี้ก็อายุอานามได้ ประมาณ 18 ปี!!!
ในรุ่นที่ 9 นี้ใช้ชื่อรหัสรุ่นว่า R33
มีรุ่นย่อยทั้งหมดประมาณ 8 รุ่นตลอดอายุการทำตลาด

HR33 GTS - 2.0 L RB20E SOHC I6, 130 PS (96 kW, 172 N m)
ER33 GTS25 - 2.5 L RB25DE DOHC I6, 190 PS (140 kW, 231 N m)
ENR33 GTS-4 - 2.5 L RB25DE DOHC I6, 190 PS (140 kW, 231 N m) AWD
ECR33 GTS25T - 2.5 L RB25DET DOHC turbo I6, 250 PS (184 kW, 294 N m)
GT-R - 2.6 L RB26DETT DOHC twin-turbo I6, 305 PS (224 kW, 375 N m) (advertised as 280 PS) AWD
GT-R LM - 2.6 L RB26DETT DOHC twin-turbo I6, 305 PS (224 kW) FR
NISMO 400R - 2.8 L RBX-GT2 DOHC twin-turbo I6, 400 PS (294 kW, 478 N m) AWD
4Dr.GT-R Autech.version - 2.6 L RB26DETT DOHC twin-turbo I6, 305 PS (224 kW, 375 N m) (advertised as 280 PS) AWD

ตัวท็อปสุดในรุ่น r33 นี้ ได้แก่ รุ่นพิเศษที่มีชื่อรุ่นว่า NISMO 400 R ถูกผลิตขึ้นในเดือนพฤศจิกายน ปี1997 โดยที่ ตัวR สื่อความหมายว่า เรซซิ่ง ซึ่งเป็นรถที่ถูกพัฒนาขึ้นโดย NISMO (Nissan Motorsport international) ซึ่งได้ปรับปรุงเครื่องยนต์ RB26DETT และใช้ชื่อรหัสเครื่องว่า RBX-GT2 ซึ่งเครื่องยนต์ได้รับการปรับปรุงโดยการเพิ่มช่วงชักเป็น 77.7 มม (เดิม73.7มม) และเปลี่ยนลูกสูบเป็นแบบฟอร์จขนาด 87มม(เดิม เป็นแบบธรรมดา ขนาด 86มม)มีการปรับปรุงก้านสูบให้แข็งแรงขึ้น ในส่วนของฝาสูบก็มีการขัดพอร์ท,เปลี่ยนมาใช้แคมชาร์ฟที่มีองศาที่สูงขึ้น ปรับปรุงระบบน้ำมัน ปรับปรุงระบบท่อไอเสีย ระบบคลัทซ์ และระบบอินเตอร์คูลเล่อร์ ภายนอกมีการปรับปรุงแอโร่พาร์ทในทุกจุดไม่ว่าจะเป็น กันชนหน้า,กันชนท้าย สเกิร์ตด้านหน้า,ด้านข้าง,และด้านท้าย และเปลี่ยนมาใช้ล้อและยางที่มีขนาดใหญ่ขึ้น โดยทั้งหมดที่ NISMO ได้ทำการปรับปรุงไปมีผลทำให้ NISMO 400R สามารถสร้างแรงม้าได้ถึง400psและมีแรงบิด 47 kg-m สามารถทำความเร็วสูงสุดได้ถึง 300km/h มีอัตราเร่ง0-100km/h อยู่ที่ 4.0 วินาที ซึ่ง NISMO 400R ตั้งเป้าการผลิตจำนวนไว้จำกัดเพียง100 คัน แต่สามารถผลิตได้เพียง44คัน เท่านั้นเพราะ R33 นั้นหมดอายุทางการตลาดไปก่อนในปี 1998

โดยคันที่จะทำการรีวิวในครั้งนี้ก็คือ Nissan Skyline GT-R R33 รหัสตัวถังคือ Bcnr33
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กรกฎาคม 22, 2013, 10:45:11 โดย CopperRich »



Copperprince

รูปลักษณ์ภายนอก

มาในรูปลักษณ์รถสปอร์ตทรงคูเป้ 2ประตู 
โดยมีมิติตัวถัง 4675x1780x1360 mm และมีน้ำหนัก 1530 kg
ถ้าเป็นในอดีตจะดูว่าเป็นรถที่มีรูปร่างโค้งมนและอวบอ้วนขึ้น เมื่อเทียบกับรุ่นก่อน คือ R32
แต่มีค่าสัมประสิทธ์ความลู่ลม Cd (Cd. : Coefficient of Drag)=0.35 เท่านั้น ซึ่งถือว่าดีมากสำหรับรถขนาดกลางค่อนข้างใหญ่  (R32 มีค่า cd ประมาณ 0.40)
โดยที่โครงสร้างของ R33 ที่ใหญ่กว่าและถูกสร้างให้มีความแข็งแกร่งขึ้นกว่า R32 ที่ถือเป็น รุ่นพี่
และถึงแม้มีความพยายามในการ นำอลูมิเนียมเข้ามาใช้ในส่วนของฝากระโปรงหน้าและแก้มหน้าทั้งสองด้าน
ซึ่งสามารถทำให้ลดน้ำหนักในส่วนนี้ลงไปได้ถึง 12kg
แต่กระนั้นน้ำหนักรวมของ R33 ก็ยังมากกว่า R32ถึงกว่า 100 kg
ซึ่งสิ่งนี้ถือเป็นจุดอ่อนที่สำคัญของรุ่น R33 นี้ ที่นักเล่นรถต่างพากันบ่นๆกันเป็นแถวทีเดียวเชียว
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มิถุนายน 05, 2016, 12:05:15 โดย Copperprince »



Copperprince

เรามาเริ่มไล่ดูจากภายนอกกันก่อน สำหรับคันนี้จะเป็นสีขาวเดิมๆจากโรงงานเลย ภายในแอโร่พาร์ท รวมถึงล้อแม็กซ์ยังคงเป็นแบบเดิมๆจากโรงงาน ทุกชิ้น
สภาพโดยรวมแม้จะมีอายุอานามมาเกือบ 16 ปี(รถคันนี้เป็นรุ่น ไมเนอร์เชนจ์ผลิตขึ้นใน เดือน5 ของปี 1996) ก็ยังคงมีสภาพที่ดีอยู่
จะมีบ้างบางส่วนที่ เสื่อมสภาพตามอายุการใช้งาน ก็จะถูกเปลี่ยนใหม่ในลำดับต่อไป
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มิถุนายน 05, 2016, 12:03:53 โดย Copperprince »



Copperprince

กระจังหน้าหน้าทรง V-shape เปิดโล่งเพื่อรับลมเข้าสู่ห้องเครื่องตรงกลางมีสัญลักษณ์ GT-R เป็นสัญลักษณ์ประจำรุ่น
ไฟหน้านั้น ในรุ่นแรกๆจะเป็นไฟหน้าแบบตาเพชรที่ดูสวยงามและทันสมัยตามสมัยนิยมในยุคนั้น
แต่พอหลังจากทำการ Minor change ในปี 1996 ไฟหน้าก็จะถูกเปลี่ยนมาเป็นแบบ HID Xenon ซึ่งในยุคนั้นถือได้ว่าทันสมัยมาก
(โคมไฟหน้า ซีนอน ของใหม่ตอนนี้เบิกญี่ปุ่นราคาเท่าที่เช็คดูฟังแล้วจะเป็นลม ประมาณเกือบ 1 แสนบาทไทย ข้อมูลจาก RHD JAPAN
 …ไม่รู้ยังจะเเพงอะไรกันขนาดนั้น)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มิถุนายน 05, 2016, 12:06:01 โดย Copperprince »



Copperprince

ซึ่งในคันนี้ เป็นรุ่น Minor change ไฟหน้าจะเป็น แบบโคม HID Xenon 4300k ซึ่งแสงไฟที่ออกมาจะเป็นสีขาวอมเหลืองนิดๆ
โดยที่ตัวเลนส์ไฟหน้าวัสดุเป็นพลาสติค



Copperprince

ส่วนอื่นๆที่ถูกเปลี่ยนไปหลังจากการไมเนอร์เชนจ์ นอกจากไฟหน้าแล้ว
สำหรับภายนอกนั้นก็ยังจะมีลิ้นใต้กันชนหน้าที่จะมีการขยายขนาดของช่องรับลมที่ไปเป่าระบายความร้อนให้กับเบรคใหญ่ขึ้น
และมีช่องรับลมที่กันชนเพื่อรับลมไปเปล่าระบายความร้อนในห้องเครื่อง นอกนั้นหาความแตกต่างแทบไม่เจอ
ต่ำลงมา ในส่วนของกันชน ช่องดักลมตรงกลางมีขนาดใหญ่ ซึ่งด้านหลังเป็นที่อยู่อินเตอร์คูลเล่อร์ ขนาดใหญ่สีดำ
และช่องลมซ้ายและขวายังเป็นที่อยู่ของ ไฟเลี้ยวทรงกลมสีส้ม
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กรกฎาคม 21, 2013, 23:27:56 โดย CopperRich »



Copperprince

รูปทรงด้านข้างจะเห็นโป่งล้อทั้งสี่จะยื่นออกอวบอ้วนมากกว่าในรุ่นอื่นๆที่ไม่ใช่ GT-R (ถ้าเป็นตัว GT-S โป่งล้อจะยื่นน้อยกว่า ซึ่งใช้เป็นจุดสังเกตเพื่อแยกแยะรุ่นได้อย่างหนึ่ง)

ชายด้านล่างจะมีเสกิรต์ยาวตั้งแต่ด้านหน้าถึงด้านหลัง พ่นทับไว้ด้วยสีเดียวกับตัวถัง



Copperprince

ด้านหลังสปอย์เลอร์หลังปรับตั้ง 4 ระดับได้พร้อมไฟเบรคหลังตรงกลาง
ไฟท้ายทรงกลมโดนัทข้างละสองดวงสีแดงคู่กัน
เป็นสัญลักษณ์ที่สืบต่อกันมาในตระกูลของ Nissan Skyline
และตอกย้ำความแรงอีกทีด้วยโลโก้ GT-R ที่มุมขวาด้านล่างของฝากระโปรงหลัง
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มิถุนายน 05, 2016, 12:07:49 โดย Copperprince »



Copperprince

เครื่องยนต์และระบบขับเคลื่อน


R33 ยังคงใช้เครื่องยนต์ RB26DETT จาก GTR R32
โดยที่เครื่องยนต์มีการเพิ่มแรงดันเทอร์โบเพิ่มขึ้นเป็น 0.84 บาร์ และการปรับจูนระบบอิเล็กทรอนิคส์ใรเรื่องการสั่งจ่ายน้ำมันใหม่
โดยเสปคของเครื่อง RB 26 DETT คร่าวๆมีดังนี้

แบบ
RB26DETT
ความจุกระบอกสูบ (ซีซี)
2568
อัตราส่วนกำอัด
8.5:1
กระบอกสูบxช่วงชัก (มม)
86.0x73.7
กำลัง (ps)
280
แรงบิดสูงสุด (kg-m)
37.5
ปีที่ผลิต
1989 - 2002

เปิดฝากระโปรงหน้ามาก็จะพบกับเครื่องยนต์ RB26 DETT ตัวเก่งในตำนานแห่งยุค 90
เป็นเครื่อง 6 สูบแถวเรียง 24 วาล์ว ทวินเทอร์โบระบายความร้อนด้วยอินเตอร์คูลเล่อร์
ความจุกะบอกสูบ 2568 ซีซี แรงม้าสูงสุด 280ps ที่ 6800 rpm และมีแรงบิดสูงสุด 37.5kg-m/4400 rpm
ขับเคลื่อน 4 ล้อ พร้อมระบบ ATTESA E-TS Pro และ Super HI-CAS ในรุ่น V-spec
ส่งกำลังด้วยระบบเกียร์ธรรมดาเดินหน้า 5 สปีด และถอยหลัง 1 สปีด อัตราทดมีดังนี้


เกียร์ 1 : 3.214
เกียร์ 2 : 1.925
เกียร์ 3 : 1.302
เกียร์ 4 : 1.000
เกียร์ 5 : 0.752

เกียร์ถอยหลัง      : 3.369
อัตราทดเฟืองท้าย : 4.111

โดย เคลมอัตราเร่ง 0-100 km/h ไว้ที่ 4.9 วินาที ความเร็วสูงสุด 180 km/h (ล็อคความเร็ว)
และหากทำการปลดล็อคความเร็ว สามารถทำความเร็วสูงสุดได้ถึง 270 km/h
สภาพภายในห้องเครื่อง ยังคงสภาพเดิมๆทุกอย่าง
ทางฝั่งขวาจะเป็นที่อยู่ของระบบ ทวินเทอร์โบ และกรองอากาศ ปั้มของระบบ ABS และกระปุกเติมน้ำมันพาวเว่อร์ ของระบบพวงมาลัย
ทางฝั่งซ้ายจะเป็นที่อยู่ของ ท่อทางเดินไอดี กระปุกเติมน้ำหมอน้ำ ระบบฟิวส์ และ กระปุกเติมน้ำมันเบรค
จะสังเกตว่าจะไม่เห็นแบตเตอรี่อยู่ในห้องเครื่อง ก็เพราะ ตัวแบตเตอรี่นั้น ได้ถูกย้ายไปอยู่ด้านหลังรถ
เหตุผลก็เพราะเพื่อต้องการบาล้านซ์น้ำหนักรถหน้า-หลัง นั่นเอง
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มิถุนายน 05, 2016, 12:08:45 โดย Copperprince »



Copperprince

มารู้จักเทคโนโลยี่ขับเคลื่อน 4 ล้อ ระบบ ATTESA E-TS (เลี้ยว 4 ล้อ) และ Super HI-CAS (ข้อมูลนี้คัดลอกจาก www.tangrod.con , monday 10 November 2008)

“ATTESA E-TS PRO” จะมีใช้ใน R33 GT-R V Spec (ย่อมาจาก Victory Spec) แต่ถ้าเป็น R33 GT-R ตัวธรรมดา ก็ยังใช้แบบเดิมอยู่ ตัวนี้จะพัฒนาขึ้นมาอีกระดับ มันจะแยกการทำงานได้ละเอียดขึ้น โดยใช้สัญญาณจาก ABS ประมวลผลแยกอิสระทั้ง 4 ล้อ ตัวนี้จะสามารถควบคุมการส่งกำลังไปยัง “ล้อหลังทั้งสองข้าง” ซึ่งรุ่นเดิมจะแยกส่งเป็นแบบ “ทีละคู่” แต่รุ่น PRO จะแบ่งส่งกำลังไปยังล้อหลังสองข้างเป็นอิสระ ล้อหลังข้างใดเกิดอาการฟรีมากจนน่าจะหลุด ก็จะตัดกำลังที่ล้อนั้น แล้วส่งกำลังมายังล้อหลังข้างที่ยังยึดเกาะดีอยู่แทน เพื่อลดอาการโอเวอร์สเตียร์ แต่ถ้าล้อหลังฟรีทั้งคู่ ก็จะส่งกำลังมายังล้อหน้าแทน
นอกจากนี้ ATTESA E-TS PRO ยังทำงานร่วมกันกับระบบ “Super HI-CAS” หรือ Super High Capacity Actively Controlled Suspension ที่เป็นระบบบังคับ “เลี้ยวสี่ล้อ” ปกติระบบ HI-CAS ก็มีมานานแล้วครับ ก็มีใช้กันในรถรุ่นทั่วไป (โดยเริ่มตั้งแต่ SKYLINE GT-S รุ่น HR31 แต่อันนั้นใช้กลไกอยู่) พอมาเป็น R32 ก็เริ่มพัฒนามาใช้ “ไฟฟ้า” ควบคุม โดยมีเงื่อนไขกำหนดที่ “ล้อหลัง” ให้เลี้ยวไปทางไหน ในความเร็วต่ำ ก็จะกำหนดให้ล้อหลังเลี้ยวเป็น “ทิศทางเดียวกับล้อหน้า” เพื่อให้ขับในพื้นที่น้อย ๆ ได้อย่างสะดวก ลดวงเลี้ยวให้แคบลง เหมาะกับการขับขี่ในเมือง ที่เน้นความคล่องตัวเป็นหลัก…
แต่พอความเร็วสูง ก็จะสั่งให้ล้อหลังเลี้ยว “ทิศทางเดียวกับล้อหน้า” เพื่อลดอาการอันเดอร์สเตียร์ ก็คือ “ให้ท้ายช่วยเลี้ยว” แทน ก็จะช่วยลดอาการ “โอเวอร์สเตียร์” ได้อีกระดับหนึ่ง เพราะไม่ต้องไถไปทื่อ ๆ ล้อมันช่วยเลี้ยวให้เสร็จสรรพ ช่วยให้ขับง่ายขึ้นเยอะเลย เกาะถนนยอดเยี่ยม ถ้าไม่ “งี่เง่า” ขับหลุดไปเองอ่ะนะ ในรุ่น HI-CAS ธรรมดา (ไม่มี Super) มันก็จะทำงานโดยอาศัยเซ็นเซอร์ความเร็ว G-Sensor และเซ็นเซอร์ที่พวงมาลัย เพื่อสั่งการให้ล้อหลังเลี้ยวตามที่กำหนด การทำงานนี้จะแยกเป็นส่วนของตัวเอง ไม่รวมกับระบบ ATTESA E-TS นะครับ แต่ถ้าเป็น Super Hi-CAS มันจะประมวลผลร่วมกับ ATTESA E-TS PRO ตอนนี้มันก็จะรู้หมดเลย ว่ารถอาการเป็นยังไง ล้อหลังจะเลี้ยวไปทางไหน ซึ่งจะให้ความ “ละเอียด” สูงกว่ามาก ด้วยระบบอัจฉริยะนี้เอง จึงเป็นจุดเด่นที่ทำให้ SKYLINE GT-R เป็นรถที่ยึดเกาะถนนได้ดีมาก ขับง่าย ปลอดภัย จนได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางทั่วโลก



Copperprince

ในส่วนของระบบเบรคนั้น เป็นดิสท์เบรค4ล้อ ของ Brembo สีดำ พร้อมระบบ ABS แบบ 4 chanel
ดิสท์เบรค ด้านหน้า4 Pot แบบมีช่องระบายความร้อน ขนาดจานหน้ากว้าง 324 มิล
ดิสท์เบรค ด้านหลัง 2 Pot แบบมีช่องระบายความร้อน ขนาดจานหลังกว้าง 300 มิล
 

ระบบพวงมาลัยเป็นระบบ Rack & pinion พร้อมพาวเว่อร์ช่วยผ่อนแรง รัศมีวงเลี้ยว 5.7 เมตร
ระบบกันสะเทือนหน้า เป็นแบบ แม็คเฟอร์สันสตรัท พร้อมคอยล์สปริง พร้อมเหล็กกันโคลง
ระบบกันสะเทือนหลัง เป็นแบบ มัลติลิงค์แบบจุดยึดหลายจุด พร้อมคอยล์สปริง พร้อมเหล็กกันโคลง

ล้อแม็กซ์จากโรรงงาน เป็นอลูมิเนียมอัลลอยด์ขอบ 17 นิ้ว กว้าง 9 นิ้ว เท่ากันทั้ง 4 ล้อ
สวมทับไว้ด้วยยางขนาด 245/45 R17 ทั้งสี่ล้อ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กรกฎาคม 22, 2013, 09:27:34 โดย CopperRich »



Copperprince

ภายในห้องโดยสาร

เปิดประตูเข้าสู่ห้องโดยสารจะพบกับ พวงมาลัยสี่ก้านขนาดกำลังกระชับมือ หุ้มด้วยหนังแท้ และตรงกลางเป็นที่อยู่ของถุงลมนิรภัย (SRS)
คอนโซลหน้าเป็นโฟมอัดขึ้นรูปสีดำ และที่ฝั่งผู้โดยสารก็ยังมีถุงลมนิรภัยสำหรับผู้โดยสารอีก1ลูก
มองทะลุพวงมาลัยเข้าไปจะพบกับหน้าปัด ตัวเรือนไมล์และมาตรวัดเป็นทรงกลม วงกลมใหญ่ 2 วง วงแรกด้านซ้ายบอกความเร็ว ตัวเลขสูงสุดอยู่ที่ 180 km/h
อีกวงด้านขวาบอกความเร็วรอบเครื่องยนต์ตัวเลขสูงสุดอยู่ที่ 1000 rpm โดยจะมีขีดแดงเริ่มต้นที่ 8000 rpm และในแผงหน้าปัดยังมีมาตรวัดทรงกลมยังวงเล็กๆอีก3วง
ซึ่งจะแจ้งค่าดังนี้ ระดับน้ำมันเชื้อเพลิง,อุณหภูมิความร้อนเครื่องยนต์,แรงดันน้ำมันเครื่อง อยู่ในแผงหน้าปัดเดียวกันอีกด้วย
 
ถัดมาที่คอนโซลกลาง จะเป็นที่อยู่ของช่องแอร์ ต่ำลงมาจะพบกับ ปุ่มไล่ฝ้ากระจกหลัง,ปุ่มไฟฉุกเฉิน,และนาฬิกาดิจิทัล
ต่ำลงมาอีกจะพบกับมารตวัดทรงกลมอีก3ตัว (ไล่จากซ้ายไปขวา) วัดแรงบิดที่ล้อหน้า,วัดอุณหภูมิน้ำมันเครื่องยนต์,วัดแรงดันเทอร์โบ
ต่ำลงมาอีกจะเป็นที่อยู่ของปุ่มควบคุมระบบระบายอากาศแบบดิจิทัล
ต่ำลงมาจะเป็นที่อยู่ของ เครื่องเล่นเทป-คลาสเซ็ท ช่องเก็บของ และที่จุดบุหรี่
หัวเกียร์และด้ามเบรคมือหุ้มหนังแท้
เบาะคู่หน้าทรง บัคเก็ทซีท โอบกระชับร่างกาย นั่งสบายกำลังดี หุ้มไว้ด้วยผ้ากำมะหยี่ สีออกเทาฟ้า ทั้งเบาะ,แผงข้าง,และเบาะหลัง
ทุกอย่างในห้องโดยสารยังคงถูกรักษาให้อยู่ในสภาพเดิมๆ



Copperprince

ต้องขอจบการรีวิว ในภาคแรกนี้ก่อน แต่เพียงแค่นี้นะครับ เพราะว่า หลังจากได้สัมผัสและได้ใช้รถคันนี้ในสภาพเดิมๆมาซักพักหนึ่ง จึงตัดสินใจที่ส่งรถคันนี้เข้าไป อัพเกรดในระบบต่างๆทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็น เครื่องยนต์,ช่วงล่าง,ระบบขับเคลื่อน รวมไปถึงการเปลี่ยนแปลงอุปกรณ์ทั้งภายนอกและภายในที่อยู่ในสภาพไม่ดีหรือไม่สมบูรณ์ ใหม่ทั้งหมด รวมถึงขั้นตอนสุดท้ายคือ การทำสีเก็บรายฃะเอียดทั้งคันใหม่หมด ซึ่งได้ใช้เวลาสั่งของทั้งหมดมาพักใหญ่ๆแล้ว ซึ่งตัวรถตอนนี้ก็ได้ถูกส่งไปดำเนินการอยู่ ได้ประมาณ 60-70 % ซึ่ง ถ้าทำทุกอย่างเสร็จสิ้น100%  ก็จะขอกลับมารีวิวเพิ่มเติมให้ดูกันอีกครั้งหนึ่งครับ



Copperprince

ปล. ทางผู้เขียนเองมีความชื่นชอบและฝังใจรถในบอดี้ R33 และเครื่อง RB26 จึงไม่ได้มองรุ่นอื่นเลยไม่ว่าจะเป็น R32 หรือ R34 ที่ก็ใช้เครื่อง RB26 เช่นกัน
และหากมีข้อมูลอะไรที่ผิดพลาดก็ต้องขออภัยมาไว้ในที่นี้ครับ ส่วนรูปทั้งหมดถ่ายจากกล้อง i-phone คุณภาพจึงไม่ดีนักเอาเป็นว่าดูเพลินๆอย่าถามหาความสวยงามแล้วกันครับ ^^!
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: สิงหาคม 22, 2016, 15:24:24 โดย Copperprince »



Automotive Innovations

ขอบคุณสำหรับรีวิวมากมายครับ ชอบเลยรุ่นนี้ กล้องชัดนะครับ อันนี้พูดจริงๆ ฮ่าๆๆๆๆ
Toyota Camry 2.0G ACV41 2012 MC Black Interior
Mitsubishi Pajero Sport GT-Premium 2WD MY 2017
Ssangyong Stavic SV270  2006
Honda HR-V EL 2016 My Own
Toyota Fortuner 2.4V 2WD Big MC 2020
Haval H6 PHEV 2022
Mercedes-Benz E220CDI W210 2001



Po2213

ต้องขอจบการรีวิว ในภาคแรกนี้ก่อน แต่เพียงแค่นี้นะครับ เพราะว่า หลังจากได้สัมผัสและได้ใช้รถคันนี้ในสภาพเดิมๆมาซักพักหนึ่ง จึงตัดสินใจที่ส่งรถคันนี้เข้าไป อัพเกรดในระบบต่างๆทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็น เครื่องยนต์,ช่วงล่าง,ระบบขับเคลื่อน รวมไปถึงการเปลี่ยนแปลงอุปกรณ์ทั้งภายนอกและภายในที่อยู่ในสภาพไม่ดีหรือไม่สมบูรณ์ ใหม่ทั้งหมด รวมถึงขั้นตอนสุดท้ายคือ การทำสีเก็บรายฃะเอียดทั้งคันใหม่หมด ซึ่งได้ใช้เวลาสั่งของทั้งหมดมาพักใหญ่ๆแล้ว ซึ่งตัวรถตอนนี้ก็ได้ถูกส่งไปดำเนินการอยู่ ได้ประมาณ 60-70 % ซึ่ง ถ้าทำทุกอย่างเสร็จสิ้น100%  ก็จะขอกลับมารีวิวเพิ่มเติมให้ดูกันอีกครั้งหนึ่งครับ

จะรอดูนะครับ รถในฝันเลยครับ จำได้ตอนมหาวิทยาลัย สิงห์คะนองนา โหดมาก ทำรถเสร็จมารีวิว ต่อให้ดูนะครับ



Alcatraz

สงสัยมาสักพักละ อะไรทำให้ r33 แป๊กครับ

ใน initial d ภาค4 ตาลุงที่ขับ r34 ยังบ่นเลยว่าไม่ได้เรื่องต้องขาย r33 ทิ้งกลับมาใช้  r32 แล้วค่อยเล่น r34



Copperprince

ต้องขอจบการรีวิว ในภาคแรกนี้ก่อน แต่เพียงแค่นี้นะครับ เพราะว่า หลังจากได้สัมผัสและได้ใช้รถคันนี้ในสภาพเดิมๆมาซักพักหนึ่ง จึงตัดสินใจที่ส่งรถคันนี้เข้าไป อัพเกรดในระบบต่างๆทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็น เครื่องยนต์,ช่วงล่าง,ระบบขับเคลื่อน รวมไปถึงการเปลี่ยนแปลงอุปกรณ์ทั้งภายนอกและภายในที่อยู่ในสภาพไม่ดีหรือไม่สมบูรณ์ ใหม่ทั้งหมด รวมถึงขั้นตอนสุดท้ายคือ การทำสีเก็บรายฃะเอียดทั้งคันใหม่หมด ซึ่งได้ใช้เวลาสั่งของทั้งหมดมาพักใหญ่ๆแล้ว ซึ่งตัวรถตอนนี้ก็ได้ถูกส่งไปดำเนินการอยู่ ได้ประมาณ 60-70 % ซึ่ง ถ้าทำทุกอย่างเสร็จสิ้น100%  ก็จะขอกลับมารีวิวเพิ่มเติมให้ดูกันอีกครั้งหนึ่งครับ

จะรอดูนะครับ รถในฝันเลยครับ จำได้ตอนมหาวิทยาลัย สิงห์คะนองนา โหดมาก ทำรถเสร็จมารีวิว ต่อให้ดูนะครับ


ยินดีครับ ถ้ารถเสร็จแล้วจะนำมาทำการรีวิวให้ดูอีกครั้งแน่นอนครับ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กรกฎาคม 22, 2013, 09:04:21 โดย CopperRich »



Copperprince

สงสัยมาสักพักละ อะไรทำให้ r33 แป๊กครับ

ใน initial d ภาค4 ตาลุงที่ขับ r34 ยังบ่นเลยว่าไม่ได้เรื่องต้องขาย r33 ทิ้งกลับมาใช้  r32 แล้วค่อยเล่น r34

จุดอ่อนที่สำคัญ ในรุ่น R33 นี้ก็คือ ในเรื่องของน้ำหนักรถครับ ซึ่ง ถ้าเปรียบเทียบทั้ง สามรุ่น (R32,R33,R34) ที่เป็นในรุ่น GT-R ด้วยกัน น้ำหนักในแต่ละรุ่นจะเป็นดังนี้ครับ R32=1,430kg,R33=1,530kg,R34=1,536kg
จะเห็นได้ว่า R33 หนักกว่า R32 ถึง 100kg !!! แต่เครื่องยนต์ที่ใช้ก็คือ RB26 DETT ตัวเดียวกัน ซึ่งถึงแม้จะมีการปรับปรุงในส่วนของเครื่องยนต์ให้ดีขึ้นกว่าใน R32 แต่ค่าเฉลี่ยแรงม้าต่อน้ำหนักกลับ แย่กว่า ทำให้อัตราเร่งและความเร็วสูงสุดไม่ต่างไปจาก R32
ส่วน R34 ถึงแม้จะมีน้ำหนักใกล้เคียงกับ R33 และก็ยังมีน้ำหนักมากกว่า R32 แต่ R34 เป็นรถที่มีความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีสูงมาก ซึ่งมีส่วนช่วยในการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น ใน R33 ไม่ว่าจะเป็น  โครงรถที่ผสมกันระหว่างคาร์บอนไฟเบอร์อลูมิเนียมเพื่อลดน้ำหนักตัวรถ เครื่องยนต์ที่มีการปรับปรุงให้แรงขึ้น ทนทานขึ้น และมีการนำเกียร์แมนนวล 6 สปีดมาใช้ เป็นต้น ซึ่งเทคโนโลยีต่างๆเหล่านี้ ทำให้ R34 มีสมรรถนะที่สูงกว่าทั้ง R32และR33 นั่นเองครับ



Maxboost

ไม่ทราบ จขกท วางแผนว่าจะ Upgrade ด้านไหนบ้างหรอครับ?
พอดีเห็นความ 'เดิม' ของรถแล้วมีตลึงเล็กน้อยว่าหาเจอได้ยังไงกับ R33 ที่เดิมซะขนาดนี้

ลึกๆ หวังว่าผลลัพท์จะออกมาทาง 400R นะครับ
Upgrade แบบเดิมๆ เสปคโรงงานส่วนตัวแล้วสวย Classic ที่สุดครับ



gorilla

สวยมากครับ เดิมๆเนียนๆ งามจริงๆครับ

คันนี้คุ้นๆเหมือนเคยเห็นขายใน Siamspeed มาพักใหญ่ๆ ราคาแรงพอตัวทีเดียว

รอชมความงามครับผม  ;D ;D



Copperprince

ไม่ทราบ จขกท วางแผนว่าจะ Upgrade ด้านไหนบ้างหรอครับ?
พอดีเห็นความ 'เดิม' ของรถแล้วมีตลึงเล็กน้อยว่าหาเจอได้ยังไงกับ R33 ที่เดิมซะขนาดนี้

ลึกๆ หวังว่าผลลัพท์จะออกมาทาง 400R นะครับ
Upgrade แบบเดิมๆ เสปคโรงงานส่วนตัวแล้วสวย Classic ที่สุดครับ

ในส่วนของแนวทางการปรับปรุงรถคันนี้ที่วางเอาไว้ก็ คือ ภายนอก/ในเดิมๆ เครื่องยนต์ตอบสนองได้ดีขึ้น ขับสนุกขึ้น ช่วงล่างรองรับความเเรงได้อย่างเพียงพอ โดยมีรายละเอียดดังนี้
-ในส่วนของภายนอก แอโร่พาร์ท ยังคงเดิมครับ แต่ได้สั่งเบิกคิ้วยางกระจกทุกตัวรอบคันมาเปลี่ยนใหม่ รวมถึงไฟหน้าและไฟท้ายที่สั่งเบิกของใหม่เข้ามา และรวมสัญลักษณ์ GT-R ที่ถูกเปลี่ยนใหม่ในจุดต่างๆ
-ในส่วนของเครื่องยนต์ ได้ทำการยกเครื่องออกมาและทำการปรับปรุงเพิ่มเติมและแก้ไขจุดอ่อนของเครื่อง RB โดยมีจุดประสงค์เน้นให้เครื่องยนต์ทนทานขึ้นและมีกำลังมากกว่าเดิม โดยเน้นไปที่อัตราการตอบสนองของเครื่องยนต์เป็นหลัก มากกว่าที่จะเน้นความแรงในแบบสุดๆ ตัวเครื่องยนต์ถูกปรับปรุงในสไตลส์ของเครื่อง RB26 N1ไม่ว่าจะเป็นการเปลี่ยนลูกสูบมาเป็นแบบฟอร์จ,เปลี่ยนแคมชารฟ์ทั้งด้านไอดีและไอเสีย,เปลี่ยนปั้มน้ำมันเครื่อง,เปลี่ยนแครงค์น้ำมันเครื่อง เปลี่ยนจากเทอร์โบคู่มาเป็นเทอร์โบเดี่ยว,เวสต์เกทแยก,หัวฉีดใหญ่ขึ้น,เปลี่ยนอินเตอร์คูลเล่อร์,เปลี่ยนหม้อน้ำ,เพิ่มออยคูลเล่อร์น้ำมันเครื่องเปลี่ยนระบบระบายไอเสียใหม่ทั้งระบบ รวมไปถึงส่วนประกอบอื่นๆที่ควบคู่กัน ไม่ว่าจะเป็นยางแท่นเครื่อง,แท่นเกียร์ถูกเปลี่ยนใหม่มาใช้ของ NISMO ใหม่ทั้งหมด ท่อทางทุกอย่างที่หมดอายุถูกเปลี่ยนใหม่ และได้เลือกใช้กล่อง F-con-V Pro มาใช้ในการปรับจูนเครื่องยนต์ คาดหวังว่าจะได้แรงม้าประมาณ500-600แรงม้าและแรงบิดประมาณ 50 kg-m จากอัตราบูสท์ ประมาณ1.4-1.5 bar  
-ในส่วนของช่วงล่างและระบบขับเคลื่อน ได้ทำการสั่งชุดช่วงล่าง ปีกนก และแขนลิ้งค์ต่างๆของ NISMO เข้ามาสับเปลี่ยนในทุกตำแหน่ง เปลี่ยนลูกยางช่วงล่างทุกจุด และทำการเปลี่ยน เหล็กกันโคลงเป็นของ NISMO เช่นเดียวกัน ในส่วนของโช๊คและสปริง รถคันนี้ได้ทำการอัพเกรดช่วงล่างมาแล้วรอบหนึ่งซึ่งคราวก่อนได้เลือกใช้ของ NISMO S-Tune แต่มีความไม่ประทับใจในอาการของรถในช่วงความเร็วสูงซักเท่าไหร่ จึงทำการสั่ง ชุดโช๊คและสปริงของ TEIN ตัว Super Street เข้ามาลองใช้แทนชุดเก่า ในส่วนของระบบขับเคลื่อนการส่งต่อกำลัง ได้เลือกใช้ชุดคลัทซ์ของ OS twin plate ก็เพียงพอและไม่หนักเท้าซ้ายจนเกินไป ในส่วนของเฟืองท้ายและลิมิเต็ดสลิป และ เกียร์ ยังคงไว้เหมือนเดิมไม่ได้เปลี่ยนแปลง
-ระบบเบรคและล้อ เนื่องจากต้องการให้ตัวรถรวมไปถึงล้อแม็กซ์ให้อยู่ในสภาพเดิมๆที่สุด ล้อแม็กซ์จึงยังต้องใช้ของเดิมซึ่งมีขนาดเพียง  17x9" ดังนั้นในส่วนของระบบเบรคจึงทำการขยายจานเบรคหรือปรับเปลี่ยนคาลิปเปอร์ให้ใหญ่ขึ้นกว่าเก่าได้ไม่มากนัก จึงทำเพียงอัพเกรดผ้าเบรคหน้าและหลังมาใช้ของ Project Mu เท่านั้นและเปลี่ยนสายน้ำมันเบรคเป็นของ NISMO ทั้งหมด
-ในส่วนของภายในห้องโดยสาร ยังคงพยายามรักษาให้อยู่ในสภาพเดิมมากที่สุด อุปกรณ์ชิ้นไหนที่ชำรุดหรือเสียหายก็จะถูกสั่งเบิกใหม่มาสับเปลี่ยน ในส่วนของหน้าปัดและเกจ์สามตัวที่คอนโซลกลางได้ถูกเปลี่ยนมาใช้ของ NISMO เช่นเดียวกัน โดยจะสามารถแจ้งค่าสูงสุดได้มากกว่าเดิม
หลายๆอย่างที่เลือกใช้ของ NISMO นั้นไม่ใช่ว่าเป็นเพราะบ้าแบรนด์นี้ แต่เป็นเพราะ มีของที่ตรงรุ่นและยังสามารถเบิกใหม่ได้อยู่ ไม่เหมือนบางแบรนด์มีสินค้าไม่ครบ อันเนื่องมาจากรถรุ่นนี้ไม่ได้ทำตลาดมานานมากแล้วสต๊อกที่มีก็หมดไปหรือไม่ผลิตแล้ว ครั้นจะเอายี่ห้อนู้นมาผสมกับยี่ห้อนี้ก็กระไรอยู่ ก็เลยเป็นเหตุเลือกใช้ของ NISMO ซะส่วนใหญ่
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กรกฎาคม 22, 2013, 17:44:24 โดย Copperprince »



Copperprince

สวยมากครับ เดิมๆเนียนๆ งามจริงๆครับ

คันนี้คุ้นๆเหมือนเคยเห็นขายใน Siamspeed มาพักใหญ่ๆ ราคาแรงพอตัวทีเดียว

รอชมความงามครับผม  ;D ;D

ขอบคุณครับ....ไม่ใช่ครับ ^^
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: สิงหาคม 22, 2016, 15:25:53 โดย Copperprince »



Ae3s-gte

ขอบคุณครับที่นำมาแบ่งปัน รถพี่สวยมาก ผมก็ฝันว่าซักวัน
จะได้เป็นเจ้าของเหมือนกัน แต่ไม่รุ้เมื่อไหร่



billups

ไม่ทราบ จขกท วางแผนว่าจะ Upgrade ด้านไหนบ้างหรอครับ?
พอดีเห็นความ 'เดิม' ของรถแล้วมีตลึงเล็กน้อยว่าหาเจอได้ยังไงกับ R33 ที่เดิมซะขนาดนี้

ลึกๆ หวังว่าผลลัพท์จะออกมาทาง 400R นะครับ
Upgrade แบบเดิมๆ เสปคโรงงานส่วนตัวแล้วสวย Classic ที่สุดครับ

ในส่วนของแนวทางการปรับปรุงรถคันนี้ที่วางเอาไว้ก็ คือ ภายนอก/ในเดิมๆ เครื่องยนต์ตอบสนองได้ดีขึ้น ขับสนุกขึ้น ช่วงล่างรองรับความเเรงได้อย่างเพียงพอ โดยมีรายละเอียดดังนี้
-ในส่วนของภายนอก แอโร่พาร์ท ยังคงเดิมครับ แต่ได้สั่งเบิกคิ้วยางกระจกทุกตัวรอบคันมาเปลี่ยนใหม่ รวมถึงไฟหน้าและไฟท้ายที่สั่งเบิกของใหม่เข้ามา และรวมสัญลักษณ์ GT-R ที่ถูกเปลี่ยนใหม่ในจุดต่างๆ
-ในส่วนของเครื่องยนต์ ได้ทำการยกเครื่องออกมาและทำการปรับปรุงเพิ่มเติมและแก้ไขจุดอ่อนของเครื่อง RB โดยมีจุดประสงค์เน้นให้เครื่องยนต์ทนทานขึ้นและมีกำลังมากกว่าเดิม โดยเน้นไปที่อัตราการตอบสนองของเครื่องยนต์เป็นหลัก มากกว่าที่จะเน้นความแรงในแบบสุดๆ ตัวเครื่องยนต์ถูกปรับปรุงในสไตลส์ของเครื่อง RB26 N1ไม่ว่าจะเป็นการเปลี่ยนลูกสูบมาเป็นแบบฟอร์จ,เปลี่ยนแคมชารฟ์ทั้งด้านไอดีและไอเสีย,เปลี่ยนปั้มน้ำมันเครื่อง,เปลี่ยนแครงค์น้ำมันเครื่อง เปลี่ยนจากเทอร์โบคู่มาเป็นเทอร์โบเดี่ยว,เวสต์เกทแยก,หัวฉีดใหญ่ขึ้น,เปลี่ยนอินเตอร์คูลเล่อร์,เปลี่ยนหม้อน้ำ,เพิ่มออยคูลเล่อร์น้ำมันเครื่องเปลี่ยนระบบระบายไอเสียใหม่ทั้งระบบ รวมไปถึงส่วนประกอบอื่นๆที่ควบคู่กัน ไม่ว่าจะเป็นยางแท่นเครื่อง,แท่นเกียร์ถูกเปลี่ยนใหม่มาใช้ของ NISMO ใหม่ทั้งหมด ท่อทางทุกอย่างที่หมดอายุถูกเปลี่ยนใหม่ และได้เลือกใช้กล่อง F-con-V Pro มาใช้ในการปรับจูนเครื่องยนต์ คาดหวังว่าจะได้แรงม้าประมาณ500-600แรงม้าและแรงบิดประมาณ 50 kg-m จากอัตราบูสท์ ประมาณ1.4-1.5 bar  
-ในส่วนของช่วงล่างและระบบขับเคลื่อน ได้ทำการสั่งชุดช่วงล่าง ปีกนก และแขนลิ้งค์ต่างๆของ NISMO เข้ามาสับเปลี่ยนในทุกตำแหน่ง เปลี่ยนลูกยางช่วงล่างทุกจุด และทำการเปลี่ยน เหล็กกันโคลงเป็นของ NISMO เช่นเดียวกัน ในส่วนของโช๊คและสปริง รถคันนี้ได้ทำการอัพเกรดช่วงล่างมาแล้วรอบหนึ่งซึ่งคราวก่อนได้เลือกใช้ของ NISMO S-Tune แต่มีความไม่ประทับใจในอาการของรถในช่วงความเร็วสูงซักเท่าไหร่ จึงทำการสั่ง ชุดโช๊คและสปริงของ TEIN ตัว Super Street เข้ามาลองใช้แทนชุดเก่า ในส่วนของระบบขับเคลื่อนการส่งต่อกำลัง ได้เลือกใช้ชุดคลัทซ์ของ OS twin plate ก็เพียงพอและไม่หนักเท้าซ้ายจนเกินไป ในส่วนของเฟืองท้ายและลิมิเต็ดสลิป และ เกียร์ ยังคงไว้เหมือนเดิมไม่ได้เปลี่ยนแปลง
-ระบบเบรคและล้อ เนื่องจากต้องการให้ตัวรถรวมไปถึงล้อแม็กซ์ให้อยู่ในสภาพเดิมๆที่สุด ล้อแม็กซ์จึงยังต้องใช้ของเดิมซึ่งมีขนาดเพียง  17x9" ดังนั้นในส่วนของระบบเบรคจึงทำการขยายจานเบรคหรือปรับเปลี่ยนคาลิปเปอร์ให้ใหญ่ขึ้นกว่าเก่าได้ไม่มากนัก จึงทำเพียงอัพเกรดผ้าเบรคหน้าและหลังมาใช้ของ Project Mu เท่านั้นและเปลี่ยนสายน้ำมันเบรคเป็นของ NISMO ทั้งหมด
-ในส่วนของภายในห้องโดยสาร ยังคงพยายามรักษาให้อยู่ในสภาพเดิมมากที่สุด อุปกรณ์ชิ้นไหนที่ชำรุดหรือเสียหายก็จะถูกสั่งเบิกใหม่มาสับเปลี่ยน ในส่วนของหน้าปัดและเกจ์สามตัวที่คอนโซลกลางได้ถูกเปลี่ยนมาใช้ของ NISMO เช่นเดียวกัน โดยจะสามารถแจ้งค่าสูงสุดได้มากกว่าเดิม
หลายๆอย่างที่เลือกใช้ของ NISMO นั้นไม่ใช่ว่าเป็นเพราะบ้าแบรนด์นี้ แต่เป็นเพราะ มีของที่ตรงรุ่นและยังสามารถเบิกใหม่ได้อยู่ ไม่เหมือนบางแบรนด์มีสินค้าไม่ครบ อันเนื่องมาจากรถรุ่นนี้ไม่ได้ทำตลาดมานานมากแล้วสต๊อกที่มีก็หมดไปหรือไม่ผลิตแล้ว ครั้นจะเอายี่ห้อนู้นมาผสมกับยี่ห้อนี้ก็กระไรอยู่ ก็เลยเป็นเหตุเลือกใช้ของ NISMO ซะส่วนใหญ่

เจ๋งดีครับ



Sykes

สวยครับ ขอบคุณที่มารีวิวให้อ่านกัน

รถอายุ 16ปีแล้ว แต่ทรงยังสวย ดึงดูดสายตาไม่แพ้รถสมัยใหม่ๆ คนออกแบบนี่สุดยอดจริงๆครับ
อ่านแล้วรู้สึกได้เลยว่าเจ้าของรถ ดูแลรถละเอียดมาก
รอชมตอนทำเสร็จแล้วอีกรอบนึงนะครับ
"The things you own, end up owning you" - Tyler Durden



13ig

รถในฝันของผมอีกคัน
ติดตามครับ



eamesBot

เป็นรุ่นที่ สวย และมีเสน่ห์ มากๆ เลยครับ เคยเห็นบนถนนไม่กี่ครั้ง ชอบมากกกก
ขอบคุณสำหรับ รีวิว และรอดู review ภาค 2 ครับ  ;D