ผู้เขียน หัวข้อ: User Review : Nissan Skyline GT-R R33 เจ้าเส้นขอบฟ้ากับความฝันในวัยเยาว์ (Part 1)  (อ่าน 134060 ครั้ง)

ออฟไลน์ Copperprince

  • Newbie
  • *
  • กระทู้: 32
    • อีเมล์
Nissan Skyline ชื่อนี้เชื่อว่าหลายๆคนต้องเคยได้ยิน และรู้จัก หรือแม้กระทั่ง หลายๆคนที่อาจจะเคยได้สัมผัสและครอบครอง ไม่รุ่นใดก็รุ่นหนึ่ง ย้อนกลับไปสักช่วงปี 2540 ซึ่งเป็นช่วงสมัยที่เข้าเรียนมหาวิทยาลัย ใหม่ๆ กำลังเป็นช่วงที่เรียกได้ว่ากำลังชอบ และบ้าแต่งรถเป็นชีวิตจิตใจ และได้มีโอกาสไปสัมผัสกับวงการมอเตอร์สปอร์ตเป็นครั้งแรกก็ช่วงนี้ นั่นก็คือ การแข่งขัน ควอเตอร์ไมล์ ไม่ว่าที่สนาม พีระเซอร์กิต,สนามคลอง6,สนามไทยแลนด์เซอร์กิต นครปฐม หรือ สนามบินราชบุรี ซึ่งในช่วงนั้นก็มีรถแรงๆหลายๆคัน ไม่ว่าจะเป็นรถเก๋ง วางเครื่อง ปิ๊คอัพวางเครื่อง รถสปอร์ตสายพันธุ์ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น Evo,RX-7,Supra,Nsx หรือแม้กระทั่ง สิงห์คะนองนา ที่เป็นตำนานในยุคนั้น แต่ส่วนตัวกลับมีความหลงไหลและชื่นชอบ รถยนต์อยู่รุ่นหนึ่ง นั่นก็คือ เจ้า Nissan Skyline GT-R R33(Bcnr33) ซึ่งในตอนนั้นไม่มีโอกาสที่จะได้ครอบครอง วันเวลาผ่านไป อายุอานามมากขึ้น การงานมั่นคง มีครอบครัวที่อุ่นและเข้าใจ จึงมีความคิดอยากจะสานฝันในช่วงวัยรุ่นให้สำเร็จ จึงเป็นที่มาของรีวิวนี้ครับ Nissan Skyline GT-R R33
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กรกฎาคม 22, 2013, 10:00:26 โดย CopperRich »

ออฟไลน์ Copperprince

  • Newbie
  • *
  • กระทู้: 32
    • อีเมล์
ประวัติและความเป็นมา

เอาแบบย่อๆแล้วกันนะครับ...
Nissan Skyline นี้เป็นรถมีประวัติและตำนานที่ยาวนาน และ Nissan Skyline GT-R R33 นี้ก็ถือเป็น
เจเนอเรชั่นที่ 9 ในตระกูล Nissan Skyline โดยได้รับการพัฒนามาจากรุ่นพี่ Nissan Skyline R32 นั่นเอง
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กรกฎาคม 22, 2013, 07:20:20 โดย CopperRich »

ออฟไลน์ Copperprince

  • Newbie
  • *
  • กระทู้: 32
    • อีเมล์
โดยที่  Nissan Skyline R33 GT-R  เปิดตัวครั้งแรกในวันที่ 16 มกราคมปี 1995 จากวันนั้นถึงวันนี้ก็อายุอานามได้ ประมาณ 18 ปี!!!
ในรุ่นที่ 9 นี้ใช้ชื่อรหัสรุ่นว่า R33
มีรุ่นย่อยทั้งหมดประมาณ 8 รุ่นตลอดอายุการทำตลาด

HR33 GTS - 2.0 L RB20E SOHC I6, 130 PS (96 kW, 172 N m)
ER33 GTS25 - 2.5 L RB25DE DOHC I6, 190 PS (140 kW, 231 N m)
ENR33 GTS-4 - 2.5 L RB25DE DOHC I6, 190 PS (140 kW, 231 N m) AWD
ECR33 GTS25T - 2.5 L RB25DET DOHC turbo I6, 250 PS (184 kW, 294 N m)
GT-R - 2.6 L RB26DETT DOHC twin-turbo I6, 305 PS (224 kW, 375 N m) (advertised as 280 PS) AWD
GT-R LM - 2.6 L RB26DETT DOHC twin-turbo I6, 305 PS (224 kW) FR
NISMO 400R - 2.8 L RBX-GT2 DOHC twin-turbo I6, 400 PS (294 kW, 478 N m) AWD
4Dr.GT-R Autech.version - 2.6 L RB26DETT DOHC twin-turbo I6, 305 PS (224 kW, 375 N m) (advertised as 280 PS) AWD

ตัวท็อปสุดในรุ่น r33 นี้ ได้แก่ รุ่นพิเศษที่มีชื่อรุ่นว่า NISMO 400 R ถูกผลิตขึ้นในเดือนพฤศจิกายน ปี1997 โดยที่ ตัวR สื่อความหมายว่า เรซซิ่ง ซึ่งเป็นรถที่ถูกพัฒนาขึ้นโดย NISMO (Nissan Motorsport international) ซึ่งได้ปรับปรุงเครื่องยนต์ RB26DETT และใช้ชื่อรหัสเครื่องว่า RBX-GT2 ซึ่งเครื่องยนต์ได้รับการปรับปรุงโดยการเพิ่มช่วงชักเป็น 77.7 มม (เดิม73.7มม) และเปลี่ยนลูกสูบเป็นแบบฟอร์จขนาด 87มม(เดิม เป็นแบบธรรมดา ขนาด 86มม)มีการปรับปรุงก้านสูบให้แข็งแรงขึ้น ในส่วนของฝาสูบก็มีการขัดพอร์ท,เปลี่ยนมาใช้แคมชาร์ฟที่มีองศาที่สูงขึ้น ปรับปรุงระบบน้ำมัน ปรับปรุงระบบท่อไอเสีย ระบบคลัทซ์ และระบบอินเตอร์คูลเล่อร์ ภายนอกมีการปรับปรุงแอโร่พาร์ทในทุกจุดไม่ว่าจะเป็น กันชนหน้า,กันชนท้าย สเกิร์ตด้านหน้า,ด้านข้าง,และด้านท้าย และเปลี่ยนมาใช้ล้อและยางที่มีขนาดใหญ่ขึ้น โดยทั้งหมดที่ NISMO ได้ทำการปรับปรุงไปมีผลทำให้ NISMO 400R สามารถสร้างแรงม้าได้ถึง400psและมีแรงบิด 47 kg-m สามารถทำความเร็วสูงสุดได้ถึง 300km/h มีอัตราเร่ง0-100km/h อยู่ที่ 4.0 วินาที ซึ่ง NISMO 400R ตั้งเป้าการผลิตจำนวนไว้จำกัดเพียง100 คัน แต่สามารถผลิตได้เพียง44คัน เท่านั้นเพราะ R33 นั้นหมดอายุทางการตลาดไปก่อนในปี 1998

โดยคันที่จะทำการรีวิวในครั้งนี้ก็คือ Nissan Skyline GT-R R33 รหัสตัวถังคือ Bcnr33
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กรกฎาคม 22, 2013, 10:45:11 โดย CopperRich »

ออฟไลน์ Copperprince

  • Newbie
  • *
  • กระทู้: 32
    • อีเมล์
รูปลักษณ์ภายนอก

มาในรูปลักษณ์รถสปอร์ตทรงคูเป้ 2ประตู 
โดยมีมิติตัวถัง 4675x1780x1360 mm และมีน้ำหนัก 1530 kg
ถ้าเป็นในอดีตจะดูว่าเป็นรถที่มีรูปร่างโค้งมนและอวบอ้วนขึ้น เมื่อเทียบกับรุ่นก่อน คือ R32
แต่มีค่าสัมประสิทธ์ความลู่ลม Cd (Cd. : Coefficient of Drag)=0.35 เท่านั้น ซึ่งถือว่าดีมากสำหรับรถขนาดกลางค่อนข้างใหญ่  (R32 มีค่า cd ประมาณ 0.40)
โดยที่โครงสร้างของ R33 ที่ใหญ่กว่าและถูกสร้างให้มีความแข็งแกร่งขึ้นกว่า R32 ที่ถือเป็น รุ่นพี่
และถึงแม้มีความพยายามในการ นำอลูมิเนียมเข้ามาใช้ในส่วนของฝากระโปรงหน้าและแก้มหน้าทั้งสองด้าน
ซึ่งสามารถทำให้ลดน้ำหนักในส่วนนี้ลงไปได้ถึง 12kg
แต่กระนั้นน้ำหนักรวมของ R33 ก็ยังมากกว่า R32ถึงกว่า 100 kg
ซึ่งสิ่งนี้ถือเป็นจุดอ่อนที่สำคัญของรุ่น R33 นี้ ที่นักเล่นรถต่างพากันบ่นๆกันเป็นแถวทีเดียวเชียว
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มิถุนายน 05, 2016, 12:05:15 โดย Copperprince »

ออฟไลน์ Copperprince

  • Newbie
  • *
  • กระทู้: 32
    • อีเมล์
เรามาเริ่มไล่ดูจากภายนอกกันก่อน สำหรับคันนี้จะเป็นสีขาวเดิมๆจากโรงงานเลย ภายในแอโร่พาร์ท รวมถึงล้อแม็กซ์ยังคงเป็นแบบเดิมๆจากโรงงาน ทุกชิ้น
สภาพโดยรวมแม้จะมีอายุอานามมาเกือบ 16 ปี(รถคันนี้เป็นรุ่น ไมเนอร์เชนจ์ผลิตขึ้นใน เดือน5 ของปี 1996) ก็ยังคงมีสภาพที่ดีอยู่
จะมีบ้างบางส่วนที่ เสื่อมสภาพตามอายุการใช้งาน ก็จะถูกเปลี่ยนใหม่ในลำดับต่อไป
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มิถุนายน 05, 2016, 12:03:53 โดย Copperprince »

ออฟไลน์ Copperprince

  • Newbie
  • *
  • กระทู้: 32
    • อีเมล์
กระจังหน้าหน้าทรง V-shape เปิดโล่งเพื่อรับลมเข้าสู่ห้องเครื่องตรงกลางมีสัญลักษณ์ GT-R เป็นสัญลักษณ์ประจำรุ่น
ไฟหน้านั้น ในรุ่นแรกๆจะเป็นไฟหน้าแบบตาเพชรที่ดูสวยงามและทันสมัยตามสมัยนิยมในยุคนั้น
แต่พอหลังจากทำการ Minor change ในปี 1996 ไฟหน้าก็จะถูกเปลี่ยนมาเป็นแบบ HID Xenon ซึ่งในยุคนั้นถือได้ว่าทันสมัยมาก
(โคมไฟหน้า ซีนอน ของใหม่ตอนนี้เบิกญี่ปุ่นราคาเท่าที่เช็คดูฟังแล้วจะเป็นลม ประมาณเกือบ 1 แสนบาทไทย ข้อมูลจาก RHD JAPAN
 …ไม่รู้ยังจะเเพงอะไรกันขนาดนั้น)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มิถุนายน 05, 2016, 12:06:01 โดย Copperprince »

ออฟไลน์ Copperprince

  • Newbie
  • *
  • กระทู้: 32
    • อีเมล์
ซึ่งในคันนี้ เป็นรุ่น Minor change ไฟหน้าจะเป็น แบบโคม HID Xenon 4300k ซึ่งแสงไฟที่ออกมาจะเป็นสีขาวอมเหลืองนิดๆ
โดยที่ตัวเลนส์ไฟหน้าวัสดุเป็นพลาสติค

ออฟไลน์ Copperprince

  • Newbie
  • *
  • กระทู้: 32
    • อีเมล์
ส่วนอื่นๆที่ถูกเปลี่ยนไปหลังจากการไมเนอร์เชนจ์ นอกจากไฟหน้าแล้ว
สำหรับภายนอกนั้นก็ยังจะมีลิ้นใต้กันชนหน้าที่จะมีการขยายขนาดของช่องรับลมที่ไปเป่าระบายความร้อนให้กับเบรคใหญ่ขึ้น
และมีช่องรับลมที่กันชนเพื่อรับลมไปเปล่าระบายความร้อนในห้องเครื่อง นอกนั้นหาความแตกต่างแทบไม่เจอ
ต่ำลงมา ในส่วนของกันชน ช่องดักลมตรงกลางมีขนาดใหญ่ ซึ่งด้านหลังเป็นที่อยู่อินเตอร์คูลเล่อร์ ขนาดใหญ่สีดำ
และช่องลมซ้ายและขวายังเป็นที่อยู่ของ ไฟเลี้ยวทรงกลมสีส้ม
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กรกฎาคม 21, 2013, 23:27:56 โดย CopperRich »

ออฟไลน์ Copperprince

  • Newbie
  • *
  • กระทู้: 32
    • อีเมล์
รูปทรงด้านข้างจะเห็นโป่งล้อทั้งสี่จะยื่นออกอวบอ้วนมากกว่าในรุ่นอื่นๆที่ไม่ใช่ GT-R (ถ้าเป็นตัว GT-S โป่งล้อจะยื่นน้อยกว่า ซึ่งใช้เป็นจุดสังเกตเพื่อแยกแยะรุ่นได้อย่างหนึ่ง)

ชายด้านล่างจะมีเสกิรต์ยาวตั้งแต่ด้านหน้าถึงด้านหลัง พ่นทับไว้ด้วยสีเดียวกับตัวถัง

ออฟไลน์ Copperprince

  • Newbie
  • *
  • กระทู้: 32
    • อีเมล์
ด้านหลังสปอย์เลอร์หลังปรับตั้ง 4 ระดับได้พร้อมไฟเบรคหลังตรงกลาง
ไฟท้ายทรงกลมโดนัทข้างละสองดวงสีแดงคู่กัน
เป็นสัญลักษณ์ที่สืบต่อกันมาในตระกูลของ Nissan Skyline
และตอกย้ำความแรงอีกทีด้วยโลโก้ GT-R ที่มุมขวาด้านล่างของฝากระโปรงหลัง
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มิถุนายน 05, 2016, 12:07:49 โดย Copperprince »

ออฟไลน์ Copperprince

  • Newbie
  • *
  • กระทู้: 32
    • อีเมล์
เครื่องยนต์และระบบขับเคลื่อน


R33 ยังคงใช้เครื่องยนต์ RB26DETT จาก GTR R32
โดยที่เครื่องยนต์มีการเพิ่มแรงดันเทอร์โบเพิ่มขึ้นเป็น 0.84 บาร์ และการปรับจูนระบบอิเล็กทรอนิคส์ใรเรื่องการสั่งจ่ายน้ำมันใหม่
โดยเสปคของเครื่อง RB 26 DETT คร่าวๆมีดังนี้

แบบ
RB26DETT
ความจุกระบอกสูบ (ซีซี)
2568
อัตราส่วนกำอัด
8.5:1
กระบอกสูบxช่วงชัก (มม)
86.0x73.7
กำลัง (ps)
280
แรงบิดสูงสุด (kg-m)
37.5
ปีที่ผลิต
1989 - 2002

เปิดฝากระโปรงหน้ามาก็จะพบกับเครื่องยนต์ RB26 DETT ตัวเก่งในตำนานแห่งยุค 90
เป็นเครื่อง 6 สูบแถวเรียง 24 วาล์ว ทวินเทอร์โบระบายความร้อนด้วยอินเตอร์คูลเล่อร์
ความจุกะบอกสูบ 2568 ซีซี แรงม้าสูงสุด 280ps ที่ 6800 rpm และมีแรงบิดสูงสุด 37.5kg-m/4400 rpm
ขับเคลื่อน 4 ล้อ พร้อมระบบ ATTESA E-TS Pro และ Super HI-CAS ในรุ่น V-spec
ส่งกำลังด้วยระบบเกียร์ธรรมดาเดินหน้า 5 สปีด และถอยหลัง 1 สปีด อัตราทดมีดังนี้


เกียร์ 1 : 3.214
เกียร์ 2 : 1.925
เกียร์ 3 : 1.302
เกียร์ 4 : 1.000
เกียร์ 5 : 0.752

เกียร์ถอยหลัง      : 3.369
อัตราทดเฟืองท้าย : 4.111

โดย เคลมอัตราเร่ง 0-100 km/h ไว้ที่ 4.9 วินาที ความเร็วสูงสุด 180 km/h (ล็อคความเร็ว)
และหากทำการปลดล็อคความเร็ว สามารถทำความเร็วสูงสุดได้ถึง 270 km/h
สภาพภายในห้องเครื่อง ยังคงสภาพเดิมๆทุกอย่าง
ทางฝั่งขวาจะเป็นที่อยู่ของระบบ ทวินเทอร์โบ และกรองอากาศ ปั้มของระบบ ABS และกระปุกเติมน้ำมันพาวเว่อร์ ของระบบพวงมาลัย
ทางฝั่งซ้ายจะเป็นที่อยู่ของ ท่อทางเดินไอดี กระปุกเติมน้ำหมอน้ำ ระบบฟิวส์ และ กระปุกเติมน้ำมันเบรค
จะสังเกตว่าจะไม่เห็นแบตเตอรี่อยู่ในห้องเครื่อง ก็เพราะ ตัวแบตเตอรี่นั้น ได้ถูกย้ายไปอยู่ด้านหลังรถ
เหตุผลก็เพราะเพื่อต้องการบาล้านซ์น้ำหนักรถหน้า-หลัง นั่นเอง
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มิถุนายน 05, 2016, 12:08:45 โดย Copperprince »

ออฟไลน์ Copperprince

  • Newbie
  • *
  • กระทู้: 32
    • อีเมล์
มารู้จักเทคโนโลยี่ขับเคลื่อน 4 ล้อ ระบบ ATTESA E-TS (เลี้ยว 4 ล้อ) และ Super HI-CAS (ข้อมูลนี้คัดลอกจาก www.tangrod.con , monday 10 November 2008)

“ATTESA E-TS PRO” จะมีใช้ใน R33 GT-R V Spec (ย่อมาจาก Victory Spec) แต่ถ้าเป็น R33 GT-R ตัวธรรมดา ก็ยังใช้แบบเดิมอยู่ ตัวนี้จะพัฒนาขึ้นมาอีกระดับ มันจะแยกการทำงานได้ละเอียดขึ้น โดยใช้สัญญาณจาก ABS ประมวลผลแยกอิสระทั้ง 4 ล้อ ตัวนี้จะสามารถควบคุมการส่งกำลังไปยัง “ล้อหลังทั้งสองข้าง” ซึ่งรุ่นเดิมจะแยกส่งเป็นแบบ “ทีละคู่” แต่รุ่น PRO จะแบ่งส่งกำลังไปยังล้อหลังสองข้างเป็นอิสระ ล้อหลังข้างใดเกิดอาการฟรีมากจนน่าจะหลุด ก็จะตัดกำลังที่ล้อนั้น แล้วส่งกำลังมายังล้อหลังข้างที่ยังยึดเกาะดีอยู่แทน เพื่อลดอาการโอเวอร์สเตียร์ แต่ถ้าล้อหลังฟรีทั้งคู่ ก็จะส่งกำลังมายังล้อหน้าแทน
นอกจากนี้ ATTESA E-TS PRO ยังทำงานร่วมกันกับระบบ “Super HI-CAS” หรือ Super High Capacity Actively Controlled Suspension ที่เป็นระบบบังคับ “เลี้ยวสี่ล้อ” ปกติระบบ HI-CAS ก็มีมานานแล้วครับ ก็มีใช้กันในรถรุ่นทั่วไป (โดยเริ่มตั้งแต่ SKYLINE GT-S รุ่น HR31 แต่อันนั้นใช้กลไกอยู่) พอมาเป็น R32 ก็เริ่มพัฒนามาใช้ “ไฟฟ้า” ควบคุม โดยมีเงื่อนไขกำหนดที่ “ล้อหลัง” ให้เลี้ยวไปทางไหน ในความเร็วต่ำ ก็จะกำหนดให้ล้อหลังเลี้ยวเป็น “ทิศทางเดียวกับล้อหน้า” เพื่อให้ขับในพื้นที่น้อย ๆ ได้อย่างสะดวก ลดวงเลี้ยวให้แคบลง เหมาะกับการขับขี่ในเมือง ที่เน้นความคล่องตัวเป็นหลัก…
แต่พอความเร็วสูง ก็จะสั่งให้ล้อหลังเลี้ยว “ทิศทางเดียวกับล้อหน้า” เพื่อลดอาการอันเดอร์สเตียร์ ก็คือ “ให้ท้ายช่วยเลี้ยว” แทน ก็จะช่วยลดอาการ “โอเวอร์สเตียร์” ได้อีกระดับหนึ่ง เพราะไม่ต้องไถไปทื่อ ๆ ล้อมันช่วยเลี้ยวให้เสร็จสรรพ ช่วยให้ขับง่ายขึ้นเยอะเลย เกาะถนนยอดเยี่ยม ถ้าไม่ “งี่เง่า” ขับหลุดไปเองอ่ะนะ ในรุ่น HI-CAS ธรรมดา (ไม่มี Super) มันก็จะทำงานโดยอาศัยเซ็นเซอร์ความเร็ว G-Sensor และเซ็นเซอร์ที่พวงมาลัย เพื่อสั่งการให้ล้อหลังเลี้ยวตามที่กำหนด การทำงานนี้จะแยกเป็นส่วนของตัวเอง ไม่รวมกับระบบ ATTESA E-TS นะครับ แต่ถ้าเป็น Super Hi-CAS มันจะประมวลผลร่วมกับ ATTESA E-TS PRO ตอนนี้มันก็จะรู้หมดเลย ว่ารถอาการเป็นยังไง ล้อหลังจะเลี้ยวไปทางไหน ซึ่งจะให้ความ “ละเอียด” สูงกว่ามาก ด้วยระบบอัจฉริยะนี้เอง จึงเป็นจุดเด่นที่ทำให้ SKYLINE GT-R เป็นรถที่ยึดเกาะถนนได้ดีมาก ขับง่าย ปลอดภัย จนได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางทั่วโลก

ออฟไลน์ Copperprince

  • Newbie
  • *
  • กระทู้: 32
    • อีเมล์
ในส่วนของระบบเบรคนั้น เป็นดิสท์เบรค4ล้อ ของ Brembo สีดำ พร้อมระบบ ABS แบบ 4 chanel
ดิสท์เบรค ด้านหน้า4 Pot แบบมีช่องระบายความร้อน ขนาดจานหน้ากว้าง 324 มิล
ดิสท์เบรค ด้านหลัง 2 Pot แบบมีช่องระบายความร้อน ขนาดจานหลังกว้าง 300 มิล
 

ระบบพวงมาลัยเป็นระบบ Rack & pinion พร้อมพาวเว่อร์ช่วยผ่อนแรง รัศมีวงเลี้ยว 5.7 เมตร
ระบบกันสะเทือนหน้า เป็นแบบ แม็คเฟอร์สันสตรัท พร้อมคอยล์สปริง พร้อมเหล็กกันโคลง
ระบบกันสะเทือนหลัง เป็นแบบ มัลติลิงค์แบบจุดยึดหลายจุด พร้อมคอยล์สปริง พร้อมเหล็กกันโคลง

ล้อแม็กซ์จากโรรงงาน เป็นอลูมิเนียมอัลลอยด์ขอบ 17 นิ้ว กว้าง 9 นิ้ว เท่ากันทั้ง 4 ล้อ
สวมทับไว้ด้วยยางขนาด 245/45 R17 ทั้งสี่ล้อ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กรกฎาคม 22, 2013, 09:27:34 โดย CopperRich »

ออฟไลน์ Copperprince

  • Newbie
  • *
  • กระทู้: 32
    • อีเมล์
ภายในห้องโดยสาร

เปิดประตูเข้าสู่ห้องโดยสารจะพบกับ พวงมาลัยสี่ก้านขนาดกำลังกระชับมือ หุ้มด้วยหนังแท้ และตรงกลางเป็นที่อยู่ของถุงลมนิรภัย (SRS)
คอนโซลหน้าเป็นโฟมอัดขึ้นรูปสีดำ และที่ฝั่งผู้โดยสารก็ยังมีถุงลมนิรภัยสำหรับผู้โดยสารอีก1ลูก
มองทะลุพวงมาลัยเข้าไปจะพบกับหน้าปัด ตัวเรือนไมล์และมาตรวัดเป็นทรงกลม วงกลมใหญ่ 2 วง วงแรกด้านซ้ายบอกความเร็ว ตัวเลขสูงสุดอยู่ที่ 180 km/h
อีกวงด้านขวาบอกความเร็วรอบเครื่องยนต์ตัวเลขสูงสุดอยู่ที่ 1000 rpm โดยจะมีขีดแดงเริ่มต้นที่ 8000 rpm และในแผงหน้าปัดยังมีมาตรวัดทรงกลมยังวงเล็กๆอีก3วง
ซึ่งจะแจ้งค่าดังนี้ ระดับน้ำมันเชื้อเพลิง,อุณหภูมิความร้อนเครื่องยนต์,แรงดันน้ำมันเครื่อง อยู่ในแผงหน้าปัดเดียวกันอีกด้วย
 
ถัดมาที่คอนโซลกลาง จะเป็นที่อยู่ของช่องแอร์ ต่ำลงมาจะพบกับ ปุ่มไล่ฝ้ากระจกหลัง,ปุ่มไฟฉุกเฉิน,และนาฬิกาดิจิทัล
ต่ำลงมาอีกจะพบกับมารตวัดทรงกลมอีก3ตัว (ไล่จากซ้ายไปขวา) วัดแรงบิดที่ล้อหน้า,วัดอุณหภูมิน้ำมันเครื่องยนต์,วัดแรงดันเทอร์โบ
ต่ำลงมาอีกจะเป็นที่อยู่ของปุ่มควบคุมระบบระบายอากาศแบบดิจิทัล
ต่ำลงมาจะเป็นที่อยู่ของ เครื่องเล่นเทป-คลาสเซ็ท ช่องเก็บของ และที่จุดบุหรี่
หัวเกียร์และด้ามเบรคมือหุ้มหนังแท้
เบาะคู่หน้าทรง บัคเก็ทซีท โอบกระชับร่างกาย นั่งสบายกำลังดี หุ้มไว้ด้วยผ้ากำมะหยี่ สีออกเทาฟ้า ทั้งเบาะ,แผงข้าง,และเบาะหลัง
ทุกอย่างในห้องโดยสารยังคงถูกรักษาให้อยู่ในสภาพเดิมๆ

ออฟไลน์ Copperprince

  • Newbie
  • *
  • กระทู้: 32
    • อีเมล์
ต้องขอจบการรีวิว ในภาคแรกนี้ก่อน แต่เพียงแค่นี้นะครับ เพราะว่า หลังจากได้สัมผัสและได้ใช้รถคันนี้ในสภาพเดิมๆมาซักพักหนึ่ง จึงตัดสินใจที่ส่งรถคันนี้เข้าไป อัพเกรดในระบบต่างๆทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็น เครื่องยนต์,ช่วงล่าง,ระบบขับเคลื่อน รวมไปถึงการเปลี่ยนแปลงอุปกรณ์ทั้งภายนอกและภายในที่อยู่ในสภาพไม่ดีหรือไม่สมบูรณ์ ใหม่ทั้งหมด รวมถึงขั้นตอนสุดท้ายคือ การทำสีเก็บรายฃะเอียดทั้งคันใหม่หมด ซึ่งได้ใช้เวลาสั่งของทั้งหมดมาพักใหญ่ๆแล้ว ซึ่งตัวรถตอนนี้ก็ได้ถูกส่งไปดำเนินการอยู่ ได้ประมาณ 60-70 % ซึ่ง ถ้าทำทุกอย่างเสร็จสิ้น100%  ก็จะขอกลับมารีวิวเพิ่มเติมให้ดูกันอีกครั้งหนึ่งครับ

ออฟไลน์ Copperprince

  • Newbie
  • *
  • กระทู้: 32
    • อีเมล์
ปล. ทางผู้เขียนเองมีความชื่นชอบและฝังใจรถในบอดี้ R33 และเครื่อง RB26 จึงไม่ได้มองรุ่นอื่นเลยไม่ว่าจะเป็น R32 หรือ R34 ที่ก็ใช้เครื่อง RB26 เช่นกัน
และหากมีข้อมูลอะไรที่ผิดพลาดก็ต้องขออภัยมาไว้ในที่นี้ครับ ส่วนรูปทั้งหมดถ่ายจากกล้อง i-phone คุณภาพจึงไม่ดีนักเอาเป็นว่าดูเพลินๆอย่าถามหาความสวยงามแล้วกันครับ ^^!
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: สิงหาคม 22, 2016, 15:24:24 โดย Copperprince »

ออฟไลน์ Automotive Innovations

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 3,695
  • เตรียมสร้างอนาคต
    • อีเมล์
ขอบคุณสำหรับรีวิวมากมายครับ ชอบเลยรุ่นนี้ กล้องชัดนะครับ อันนี้พูดจริงๆ ฮ่าๆๆๆๆ
Toyota Camry 2.0G ACV41 2012 MC Black Interior
Mitsubishi Pajero Sport GT-Premium 2WD MY 2017
Ssangyong Stavic SV270  2006
Honda HR-V EL 2016 My Own
Toyota Fortuner 2.4V 2WD Big MC 2020
Haval H6 PHEV 2022
Mercedes-Benz E220CDI W210 2001

ออฟไลน์ Po2213

  • Newbie
  • *
  • กระทู้: 37
ต้องขอจบการรีวิว ในภาคแรกนี้ก่อน แต่เพียงแค่นี้นะครับ เพราะว่า หลังจากได้สัมผัสและได้ใช้รถคันนี้ในสภาพเดิมๆมาซักพักหนึ่ง จึงตัดสินใจที่ส่งรถคันนี้เข้าไป อัพเกรดในระบบต่างๆทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็น เครื่องยนต์,ช่วงล่าง,ระบบขับเคลื่อน รวมไปถึงการเปลี่ยนแปลงอุปกรณ์ทั้งภายนอกและภายในที่อยู่ในสภาพไม่ดีหรือไม่สมบูรณ์ ใหม่ทั้งหมด รวมถึงขั้นตอนสุดท้ายคือ การทำสีเก็บรายฃะเอียดทั้งคันใหม่หมด ซึ่งได้ใช้เวลาสั่งของทั้งหมดมาพักใหญ่ๆแล้ว ซึ่งตัวรถตอนนี้ก็ได้ถูกส่งไปดำเนินการอยู่ ได้ประมาณ 60-70 % ซึ่ง ถ้าทำทุกอย่างเสร็จสิ้น100%  ก็จะขอกลับมารีวิวเพิ่มเติมให้ดูกันอีกครั้งหนึ่งครับ

จะรอดูนะครับ รถในฝันเลยครับ จำได้ตอนมหาวิทยาลัย สิงห์คะนองนา โหดมาก ทำรถเสร็จมารีวิว ต่อให้ดูนะครับ

ออฟไลน์ Alcatraz

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 3,567
    • อีเมล์
สงสัยมาสักพักละ อะไรทำให้ r33 แป๊กครับ

ใน initial d ภาค4 ตาลุงที่ขับ r34 ยังบ่นเลยว่าไม่ได้เรื่องต้องขาย r33 ทิ้งกลับมาใช้  r32 แล้วค่อยเล่น r34

ออฟไลน์ Copperprince

  • Newbie
  • *
  • กระทู้: 32
    • อีเมล์
ต้องขอจบการรีวิว ในภาคแรกนี้ก่อน แต่เพียงแค่นี้นะครับ เพราะว่า หลังจากได้สัมผัสและได้ใช้รถคันนี้ในสภาพเดิมๆมาซักพักหนึ่ง จึงตัดสินใจที่ส่งรถคันนี้เข้าไป อัพเกรดในระบบต่างๆทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็น เครื่องยนต์,ช่วงล่าง,ระบบขับเคลื่อน รวมไปถึงการเปลี่ยนแปลงอุปกรณ์ทั้งภายนอกและภายในที่อยู่ในสภาพไม่ดีหรือไม่สมบูรณ์ ใหม่ทั้งหมด รวมถึงขั้นตอนสุดท้ายคือ การทำสีเก็บรายฃะเอียดทั้งคันใหม่หมด ซึ่งได้ใช้เวลาสั่งของทั้งหมดมาพักใหญ่ๆแล้ว ซึ่งตัวรถตอนนี้ก็ได้ถูกส่งไปดำเนินการอยู่ ได้ประมาณ 60-70 % ซึ่ง ถ้าทำทุกอย่างเสร็จสิ้น100%  ก็จะขอกลับมารีวิวเพิ่มเติมให้ดูกันอีกครั้งหนึ่งครับ

จะรอดูนะครับ รถในฝันเลยครับ จำได้ตอนมหาวิทยาลัย สิงห์คะนองนา โหดมาก ทำรถเสร็จมารีวิว ต่อให้ดูนะครับ


ยินดีครับ ถ้ารถเสร็จแล้วจะนำมาทำการรีวิวให้ดูอีกครั้งแน่นอนครับ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กรกฎาคม 22, 2013, 09:04:21 โดย CopperRich »

ออฟไลน์ Copperprince

  • Newbie
  • *
  • กระทู้: 32
    • อีเมล์
สงสัยมาสักพักละ อะไรทำให้ r33 แป๊กครับ

ใน initial d ภาค4 ตาลุงที่ขับ r34 ยังบ่นเลยว่าไม่ได้เรื่องต้องขาย r33 ทิ้งกลับมาใช้  r32 แล้วค่อยเล่น r34

จุดอ่อนที่สำคัญ ในรุ่น R33 นี้ก็คือ ในเรื่องของน้ำหนักรถครับ ซึ่ง ถ้าเปรียบเทียบทั้ง สามรุ่น (R32,R33,R34) ที่เป็นในรุ่น GT-R ด้วยกัน น้ำหนักในแต่ละรุ่นจะเป็นดังนี้ครับ R32=1,430kg,R33=1,530kg,R34=1,536kg
จะเห็นได้ว่า R33 หนักกว่า R32 ถึง 100kg !!! แต่เครื่องยนต์ที่ใช้ก็คือ RB26 DETT ตัวเดียวกัน ซึ่งถึงแม้จะมีการปรับปรุงในส่วนของเครื่องยนต์ให้ดีขึ้นกว่าใน R32 แต่ค่าเฉลี่ยแรงม้าต่อน้ำหนักกลับ แย่กว่า ทำให้อัตราเร่งและความเร็วสูงสุดไม่ต่างไปจาก R32
ส่วน R34 ถึงแม้จะมีน้ำหนักใกล้เคียงกับ R33 และก็ยังมีน้ำหนักมากกว่า R32 แต่ R34 เป็นรถที่มีความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีสูงมาก ซึ่งมีส่วนช่วยในการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น ใน R33 ไม่ว่าจะเป็น  โครงรถที่ผสมกันระหว่างคาร์บอนไฟเบอร์อลูมิเนียมเพื่อลดน้ำหนักตัวรถ เครื่องยนต์ที่มีการปรับปรุงให้แรงขึ้น ทนทานขึ้น และมีการนำเกียร์แมนนวล 6 สปีดมาใช้ เป็นต้น ซึ่งเทคโนโลยีต่างๆเหล่านี้ ทำให้ R34 มีสมรรถนะที่สูงกว่าทั้ง R32และR33 นั่นเองครับ

ออฟไลน์ Maxboost

  • Jr. Member
  • **
  • กระทู้: 54
    • อีเมล์
ไม่ทราบ จขกท วางแผนว่าจะ Upgrade ด้านไหนบ้างหรอครับ?
พอดีเห็นความ 'เดิม' ของรถแล้วมีตลึงเล็กน้อยว่าหาเจอได้ยังไงกับ R33 ที่เดิมซะขนาดนี้

ลึกๆ หวังว่าผลลัพท์จะออกมาทาง 400R นะครับ
Upgrade แบบเดิมๆ เสปคโรงงานส่วนตัวแล้วสวย Classic ที่สุดครับ

ออฟไลน์ gorilla

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 1,411
สวยมากครับ เดิมๆเนียนๆ งามจริงๆครับ

คันนี้คุ้นๆเหมือนเคยเห็นขายใน Siamspeed มาพักใหญ่ๆ ราคาแรงพอตัวทีเดียว

รอชมความงามครับผม  ;D ;D

ออฟไลน์ Copperprince

  • Newbie
  • *
  • กระทู้: 32
    • อีเมล์
ไม่ทราบ จขกท วางแผนว่าจะ Upgrade ด้านไหนบ้างหรอครับ?
พอดีเห็นความ 'เดิม' ของรถแล้วมีตลึงเล็กน้อยว่าหาเจอได้ยังไงกับ R33 ที่เดิมซะขนาดนี้

ลึกๆ หวังว่าผลลัพท์จะออกมาทาง 400R นะครับ
Upgrade แบบเดิมๆ เสปคโรงงานส่วนตัวแล้วสวย Classic ที่สุดครับ

ในส่วนของแนวทางการปรับปรุงรถคันนี้ที่วางเอาไว้ก็ คือ ภายนอก/ในเดิมๆ เครื่องยนต์ตอบสนองได้ดีขึ้น ขับสนุกขึ้น ช่วงล่างรองรับความเเรงได้อย่างเพียงพอ โดยมีรายละเอียดดังนี้
-ในส่วนของภายนอก แอโร่พาร์ท ยังคงเดิมครับ แต่ได้สั่งเบิกคิ้วยางกระจกทุกตัวรอบคันมาเปลี่ยนใหม่ รวมถึงไฟหน้าและไฟท้ายที่สั่งเบิกของใหม่เข้ามา และรวมสัญลักษณ์ GT-R ที่ถูกเปลี่ยนใหม่ในจุดต่างๆ
-ในส่วนของเครื่องยนต์ ได้ทำการยกเครื่องออกมาและทำการปรับปรุงเพิ่มเติมและแก้ไขจุดอ่อนของเครื่อง RB โดยมีจุดประสงค์เน้นให้เครื่องยนต์ทนทานขึ้นและมีกำลังมากกว่าเดิม โดยเน้นไปที่อัตราการตอบสนองของเครื่องยนต์เป็นหลัก มากกว่าที่จะเน้นความแรงในแบบสุดๆ ตัวเครื่องยนต์ถูกปรับปรุงในสไตลส์ของเครื่อง RB26 N1ไม่ว่าจะเป็นการเปลี่ยนลูกสูบมาเป็นแบบฟอร์จ,เปลี่ยนแคมชารฟ์ทั้งด้านไอดีและไอเสีย,เปลี่ยนปั้มน้ำมันเครื่อง,เปลี่ยนแครงค์น้ำมันเครื่อง เปลี่ยนจากเทอร์โบคู่มาเป็นเทอร์โบเดี่ยว,เวสต์เกทแยก,หัวฉีดใหญ่ขึ้น,เปลี่ยนอินเตอร์คูลเล่อร์,เปลี่ยนหม้อน้ำ,เพิ่มออยคูลเล่อร์น้ำมันเครื่องเปลี่ยนระบบระบายไอเสียใหม่ทั้งระบบ รวมไปถึงส่วนประกอบอื่นๆที่ควบคู่กัน ไม่ว่าจะเป็นยางแท่นเครื่อง,แท่นเกียร์ถูกเปลี่ยนใหม่มาใช้ของ NISMO ใหม่ทั้งหมด ท่อทางทุกอย่างที่หมดอายุถูกเปลี่ยนใหม่ และได้เลือกใช้กล่อง F-con-V Pro มาใช้ในการปรับจูนเครื่องยนต์ คาดหวังว่าจะได้แรงม้าประมาณ500-600แรงม้าและแรงบิดประมาณ 50 kg-m จากอัตราบูสท์ ประมาณ1.4-1.5 bar  
-ในส่วนของช่วงล่างและระบบขับเคลื่อน ได้ทำการสั่งชุดช่วงล่าง ปีกนก และแขนลิ้งค์ต่างๆของ NISMO เข้ามาสับเปลี่ยนในทุกตำแหน่ง เปลี่ยนลูกยางช่วงล่างทุกจุด และทำการเปลี่ยน เหล็กกันโคลงเป็นของ NISMO เช่นเดียวกัน ในส่วนของโช๊คและสปริง รถคันนี้ได้ทำการอัพเกรดช่วงล่างมาแล้วรอบหนึ่งซึ่งคราวก่อนได้เลือกใช้ของ NISMO S-Tune แต่มีความไม่ประทับใจในอาการของรถในช่วงความเร็วสูงซักเท่าไหร่ จึงทำการสั่ง ชุดโช๊คและสปริงของ TEIN ตัว Super Street เข้ามาลองใช้แทนชุดเก่า ในส่วนของระบบขับเคลื่อนการส่งต่อกำลัง ได้เลือกใช้ชุดคลัทซ์ของ OS twin plate ก็เพียงพอและไม่หนักเท้าซ้ายจนเกินไป ในส่วนของเฟืองท้ายและลิมิเต็ดสลิป และ เกียร์ ยังคงไว้เหมือนเดิมไม่ได้เปลี่ยนแปลง
-ระบบเบรคและล้อ เนื่องจากต้องการให้ตัวรถรวมไปถึงล้อแม็กซ์ให้อยู่ในสภาพเดิมๆที่สุด ล้อแม็กซ์จึงยังต้องใช้ของเดิมซึ่งมีขนาดเพียง  17x9" ดังนั้นในส่วนของระบบเบรคจึงทำการขยายจานเบรคหรือปรับเปลี่ยนคาลิปเปอร์ให้ใหญ่ขึ้นกว่าเก่าได้ไม่มากนัก จึงทำเพียงอัพเกรดผ้าเบรคหน้าและหลังมาใช้ของ Project Mu เท่านั้นและเปลี่ยนสายน้ำมันเบรคเป็นของ NISMO ทั้งหมด
-ในส่วนของภายในห้องโดยสาร ยังคงพยายามรักษาให้อยู่ในสภาพเดิมมากที่สุด อุปกรณ์ชิ้นไหนที่ชำรุดหรือเสียหายก็จะถูกสั่งเบิกใหม่มาสับเปลี่ยน ในส่วนของหน้าปัดและเกจ์สามตัวที่คอนโซลกลางได้ถูกเปลี่ยนมาใช้ของ NISMO เช่นเดียวกัน โดยจะสามารถแจ้งค่าสูงสุดได้มากกว่าเดิม
หลายๆอย่างที่เลือกใช้ของ NISMO นั้นไม่ใช่ว่าเป็นเพราะบ้าแบรนด์นี้ แต่เป็นเพราะ มีของที่ตรงรุ่นและยังสามารถเบิกใหม่ได้อยู่ ไม่เหมือนบางแบรนด์มีสินค้าไม่ครบ อันเนื่องมาจากรถรุ่นนี้ไม่ได้ทำตลาดมานานมากแล้วสต๊อกที่มีก็หมดไปหรือไม่ผลิตแล้ว ครั้นจะเอายี่ห้อนู้นมาผสมกับยี่ห้อนี้ก็กระไรอยู่ ก็เลยเป็นเหตุเลือกใช้ของ NISMO ซะส่วนใหญ่
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กรกฎาคม 22, 2013, 17:44:24 โดย Copperprince »

ออฟไลน์ Copperprince

  • Newbie
  • *
  • กระทู้: 32
    • อีเมล์
สวยมากครับ เดิมๆเนียนๆ งามจริงๆครับ

คันนี้คุ้นๆเหมือนเคยเห็นขายใน Siamspeed มาพักใหญ่ๆ ราคาแรงพอตัวทีเดียว

รอชมความงามครับผม  ;D ;D

ขอบคุณครับ....ไม่ใช่ครับ ^^
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: สิงหาคม 22, 2016, 15:25:53 โดย Copperprince »

ออฟไลน์ Ae3s-gte

  • Full Member
  • ***
  • กระทู้: 321
ขอบคุณครับที่นำมาแบ่งปัน รถพี่สวยมาก ผมก็ฝันว่าซักวัน
จะได้เป็นเจ้าของเหมือนกัน แต่ไม่รุ้เมื่อไหร่

billups

  • บุคคลทั่วไป
ไม่ทราบ จขกท วางแผนว่าจะ Upgrade ด้านไหนบ้างหรอครับ?
พอดีเห็นความ 'เดิม' ของรถแล้วมีตลึงเล็กน้อยว่าหาเจอได้ยังไงกับ R33 ที่เดิมซะขนาดนี้

ลึกๆ หวังว่าผลลัพท์จะออกมาทาง 400R นะครับ
Upgrade แบบเดิมๆ เสปคโรงงานส่วนตัวแล้วสวย Classic ที่สุดครับ

ในส่วนของแนวทางการปรับปรุงรถคันนี้ที่วางเอาไว้ก็ คือ ภายนอก/ในเดิมๆ เครื่องยนต์ตอบสนองได้ดีขึ้น ขับสนุกขึ้น ช่วงล่างรองรับความเเรงได้อย่างเพียงพอ โดยมีรายละเอียดดังนี้
-ในส่วนของภายนอก แอโร่พาร์ท ยังคงเดิมครับ แต่ได้สั่งเบิกคิ้วยางกระจกทุกตัวรอบคันมาเปลี่ยนใหม่ รวมถึงไฟหน้าและไฟท้ายที่สั่งเบิกของใหม่เข้ามา และรวมสัญลักษณ์ GT-R ที่ถูกเปลี่ยนใหม่ในจุดต่างๆ
-ในส่วนของเครื่องยนต์ ได้ทำการยกเครื่องออกมาและทำการปรับปรุงเพิ่มเติมและแก้ไขจุดอ่อนของเครื่อง RB โดยมีจุดประสงค์เน้นให้เครื่องยนต์ทนทานขึ้นและมีกำลังมากกว่าเดิม โดยเน้นไปที่อัตราการตอบสนองของเครื่องยนต์เป็นหลัก มากกว่าที่จะเน้นความแรงในแบบสุดๆ ตัวเครื่องยนต์ถูกปรับปรุงในสไตลส์ของเครื่อง RB26 N1ไม่ว่าจะเป็นการเปลี่ยนลูกสูบมาเป็นแบบฟอร์จ,เปลี่ยนแคมชารฟ์ทั้งด้านไอดีและไอเสีย,เปลี่ยนปั้มน้ำมันเครื่อง,เปลี่ยนแครงค์น้ำมันเครื่อง เปลี่ยนจากเทอร์โบคู่มาเป็นเทอร์โบเดี่ยว,เวสต์เกทแยก,หัวฉีดใหญ่ขึ้น,เปลี่ยนอินเตอร์คูลเล่อร์,เปลี่ยนหม้อน้ำ,เพิ่มออยคูลเล่อร์น้ำมันเครื่องเปลี่ยนระบบระบายไอเสียใหม่ทั้งระบบ รวมไปถึงส่วนประกอบอื่นๆที่ควบคู่กัน ไม่ว่าจะเป็นยางแท่นเครื่อง,แท่นเกียร์ถูกเปลี่ยนใหม่มาใช้ของ NISMO ใหม่ทั้งหมด ท่อทางทุกอย่างที่หมดอายุถูกเปลี่ยนใหม่ และได้เลือกใช้กล่อง F-con-V Pro มาใช้ในการปรับจูนเครื่องยนต์ คาดหวังว่าจะได้แรงม้าประมาณ500-600แรงม้าและแรงบิดประมาณ 50 kg-m จากอัตราบูสท์ ประมาณ1.4-1.5 bar  
-ในส่วนของช่วงล่างและระบบขับเคลื่อน ได้ทำการสั่งชุดช่วงล่าง ปีกนก และแขนลิ้งค์ต่างๆของ NISMO เข้ามาสับเปลี่ยนในทุกตำแหน่ง เปลี่ยนลูกยางช่วงล่างทุกจุด และทำการเปลี่ยน เหล็กกันโคลงเป็นของ NISMO เช่นเดียวกัน ในส่วนของโช๊คและสปริง รถคันนี้ได้ทำการอัพเกรดช่วงล่างมาแล้วรอบหนึ่งซึ่งคราวก่อนได้เลือกใช้ของ NISMO S-Tune แต่มีความไม่ประทับใจในอาการของรถในช่วงความเร็วสูงซักเท่าไหร่ จึงทำการสั่ง ชุดโช๊คและสปริงของ TEIN ตัว Super Street เข้ามาลองใช้แทนชุดเก่า ในส่วนของระบบขับเคลื่อนการส่งต่อกำลัง ได้เลือกใช้ชุดคลัทซ์ของ OS twin plate ก็เพียงพอและไม่หนักเท้าซ้ายจนเกินไป ในส่วนของเฟืองท้ายและลิมิเต็ดสลิป และ เกียร์ ยังคงไว้เหมือนเดิมไม่ได้เปลี่ยนแปลง
-ระบบเบรคและล้อ เนื่องจากต้องการให้ตัวรถรวมไปถึงล้อแม็กซ์ให้อยู่ในสภาพเดิมๆที่สุด ล้อแม็กซ์จึงยังต้องใช้ของเดิมซึ่งมีขนาดเพียง  17x9" ดังนั้นในส่วนของระบบเบรคจึงทำการขยายจานเบรคหรือปรับเปลี่ยนคาลิปเปอร์ให้ใหญ่ขึ้นกว่าเก่าได้ไม่มากนัก จึงทำเพียงอัพเกรดผ้าเบรคหน้าและหลังมาใช้ของ Project Mu เท่านั้นและเปลี่ยนสายน้ำมันเบรคเป็นของ NISMO ทั้งหมด
-ในส่วนของภายในห้องโดยสาร ยังคงพยายามรักษาให้อยู่ในสภาพเดิมมากที่สุด อุปกรณ์ชิ้นไหนที่ชำรุดหรือเสียหายก็จะถูกสั่งเบิกใหม่มาสับเปลี่ยน ในส่วนของหน้าปัดและเกจ์สามตัวที่คอนโซลกลางได้ถูกเปลี่ยนมาใช้ของ NISMO เช่นเดียวกัน โดยจะสามารถแจ้งค่าสูงสุดได้มากกว่าเดิม
หลายๆอย่างที่เลือกใช้ของ NISMO นั้นไม่ใช่ว่าเป็นเพราะบ้าแบรนด์นี้ แต่เป็นเพราะ มีของที่ตรงรุ่นและยังสามารถเบิกใหม่ได้อยู่ ไม่เหมือนบางแบรนด์มีสินค้าไม่ครบ อันเนื่องมาจากรถรุ่นนี้ไม่ได้ทำตลาดมานานมากแล้วสต๊อกที่มีก็หมดไปหรือไม่ผลิตแล้ว ครั้นจะเอายี่ห้อนู้นมาผสมกับยี่ห้อนี้ก็กระไรอยู่ ก็เลยเป็นเหตุเลือกใช้ของ NISMO ซะส่วนใหญ่

เจ๋งดีครับ

ออฟไลน์ Sykes

  • Full Member
  • ***
  • กระทู้: 283
สวยครับ ขอบคุณที่มารีวิวให้อ่านกัน

รถอายุ 16ปีแล้ว แต่ทรงยังสวย ดึงดูดสายตาไม่แพ้รถสมัยใหม่ๆ คนออกแบบนี่สุดยอดจริงๆครับ
อ่านแล้วรู้สึกได้เลยว่าเจ้าของรถ ดูแลรถละเอียดมาก
รอชมตอนทำเสร็จแล้วอีกรอบนึงนะครับ
"The things you own, end up owning you" - Tyler Durden

13ig

  • บุคคลทั่วไป
รถในฝันของผมอีกคัน
ติดตามครับ

ออฟไลน์ eamesBot

  • Full Member
  • ***
  • กระทู้: 223
    • อีเมล์
เป็นรุ่นที่ สวย และมีเสน่ห์ มากๆ เลยครับ เคยเห็นบนถนนไม่กี่ครั้ง ชอบมากกกก
ขอบคุณสำหรับ รีวิว และรอดู review ภาค 2 ครับ  ;D