นิสสันชิงเปิดอีโคคาร์มี.ค.53 ตัดหน้า"โตโยต้า-ฮอนด้า"รับเก๋งเล็กบูม" นิสสัน" กำหนดยุทธศาสตร์ ดีเดย์อีโคคาร์คันแรกของโลกในอีกสามเดือนข้างหน้า ตัดหน้า โตโยต้า-ฮอนด้า ยันเปิดตัวแน่ มอเตอร์โชว์ มีนาคม 2553 ชูจุดขายเด่นทั้งสมรรถนะและความสะดวกสบาย กางแผนหยิบกลยุทธ์ "4P" ปลุกตลาด มั่นใจปีแรกโรงงานผลิตป้อนลูกค้าได้เฉียดแสนคัน แย้มไต่ราคาเอื้อมถึง ซุ่มพาดีลเลอร์ทดสอบแล้ว ติงนโยบายภาษียังไม่เป็นธรรม วงการชี้กระแสรถเล็กฉิว ค่ายรถแห่จับเทรนด์ใหม่ตอบโจทย์ลูกค้านาย โทรุ ฮาเซกาวา กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท นิสสัน มอเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผย "ประชาชาติธุรกิจ" ถึงความพร้อมในโครงการรถประหยัดพลังงานมาตรฐานสากล หรือ "อีโคคาร์" ว่า ขณะนี้นิสสันมีความพร้อมที่สุดโดยจะสามารถส่งรถออกสู่ตลาดได้ภายใน 3 เดือนข้างหน้าหรือราวต้นเดือนมีนาคม ซึ่งอีโคคาร์ของ นิสสันจะถูกเปิดตัวเป็นครั้งแรกของโลกที่เมืองไทยในงานมอเตอร์โชว์ที่ไบเทค ช่วงแรกจะทำตลาดแบบแฮตช์แบ็ก (5 ประตู) ก่อน
หมายความว่าช่วงหลังจะมีซีดานงั้นสิ คริๆนายฮาเซกาวากล่าวว่า อีโคคาร์นิสสันจะสามารถตอบโจทย์ความต้องการลูกค้าได้อย่างครบถ้วน โดยเฉพาะเรื่องความ ประหยัด และความสะดวกสบาย ซึ่งตรงนี้จะเป็นจุดขายหลัก
ซึ่งนิสสันจะพยายามชี้ให้ผู้บริโภคเห็นว่ารถคันนี้มีขนาดใหญ่และกว้างขวาง ที่จะนำพาผู้ขับขี่และผู้โดยสารสามารถเดินทางระยะไกลได้แบบสบาย ๆ อีโคคาร์นิสสันให้ทั้งคุณสมบัติและสมรรถนะเทียบเท่ารถยนต์ขนาด 1.5 ลิตร จริงอ่ะ?นอก จากนี้บริษัทเตรียมแผนที่จะสร้างกระแสให้คนไทยได้รับรู้ว่าอีโคคาร์เป็นรถ ประหยัดน้ำมัน และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม กลายเป็นรถแฟชั่นและเป็นรถยนต์ของผู้นำเทรนด์ ซึ่งถือเป็นกุญแจสำคัญการรุกตลาดอีโคคาร์ รวมทั้งรถรุ่นอื่น ๆ ของนิสสันด้วย
สำหรับรูปแบบการทำตลาด ขณะนี้ได้สั่งให้ทีมงานใช้กลยุทธ์การตลาดทุกรูปแบบ และยึดหลัก "4 P" เริ่มตั้งแต่ตัวโปรดักต์ ซึ่งขณะนี้ยังไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดได้มากนักนอกจากภาพสเกตช์ที่เคยนำ เสนอออกสู่สายตาประชาชน
ส่วน การกำหนดราคา ต้องการใช้คำว่า "reasonably affordable" เพราะนิสสันไม่เคยทำให้ลูกค้าผิดหวัง เนื่องจากมีการทำสำรวจความต้องการของลูกค้าและตลาดมาเป็นอย่างดี ทั้งนี้บริษัทยืนยันว่าอีโคคาร์ไม่ใช่รถยนต์ราคาถูก แต่เป็นรถที่มีความคุ้มค่า
ด้านเครือข่ายผู้จำหน่าย ซึ่งที่ผ่านมาอาจจะดูไม่แข็งแรงมากนัก แต่หลังจากมีการประชุมผู้จำหน่ายล่าสุด บริษัทได้ให้กำลังใจและกระตุ้นผู้แทนจำหน่ายให้เข้มข้นกับอีโคคาร์มากเป็น พิเศษ และร้องขอให้ดีลเลอร์มีการลงทุนอย่างเหมาะสม สำหรับการตอบรับรถรุ่นใหม่ครั้งนี้ รวมทั้งการเพิ่มทักษะ ฝึกอบรมพนักงาน รวมถึงการปรับปรุง บริการหลังการขาย โดยนิสสันเร่งมือเปลี่ยนจุดอ่อนตรงนี้ให้กลายเป็นจุดแข็งในอนาคต
" นิสสันต้องการทำให้ผู้จำหน่ายมีความสุข และถ้าเขามีความสุข เขาก็จะทำให้ลูกค้ามีความสุข และเมื่อลูกค้ามีความสุข นิสสันก็จะมีความสุขไปด้วย แม้อันนี้จะเป็นหลักทำงานง่าย ๆ แต่นิสสันจะต้องให้ความสำคัญ ส่วนรายละเอียดต่าง ๆ เพื่อนำไปสู่ความสำเร็จตอนนี้ยังเป็นความลับ หากไปดูโชว์รูมบางแห่งของนิสสันจะเห็นความเปลี่ยนแปลง" นายฮาเซกาวากล่าว
ส่วนโปรโมชั่น เนื่องจากเป็นครั้งแรกของประเทศไทยและของโลกคงจะต้องมีใช้ความละเอียดอ่อนพอสมควร
นาย ฮาเซกาวากล่าวอีกว่า นอกจากการทำให้ผู้แทนจำหน่ายแข็งแกร่งแล้ว บริษัทจะต้องมีวิสัยทัศน์และทิศทางที่ชัดเจน นิสสันได้วางเป้าหมายว่า ภายในปี 2555 นิสสันประเทศไทยจะต้องมีส่วนแบ่งตลาดมากกว่า 10%
ขณะ ที่กำลังการผลิตนั้นนิสสันจะผลิตอีโคคาร์ให้ได้ 85,000-90,000 คันในปี งบประมาณแรก โดยแบ่งกำลังผลิต 1 ใน 3 รองรับตลาดในประเทศ และ 2 ใน 3 เป็นตลาดส่งออก
กรรมการผู้จัดการนิสสัน เปิดเผยถึงการจัดเก็บภาษีสรรพสามิตรถยนต์ว่า ยังมีบางจุดที่ไม่เป็นธรรมต่ออีโคคาร์ อยากให้กลับไปพิจารณาอีกครั้ง โดยเฉพาะเรื่องการรักษาระยะห่างหรือช่องว่างทางภาษีระหว่างอีโคคาร์กับรถ ยนต์นั่งทั่วไปซึ่งจะต้องห่างกัน 13% นั้น เนื่องจากหลังนิสสันตัดสินใจลงทุนไม่นานรัฐบาลได้ปรับโครงสร้างภาษีสำหรับรถ ยนต์ที่ใช้น้ำมันเบนซินผสมเอทานอล 20 เปอร์เซ็นต์หรืออี 20 ลงอีก 5% ซึ่งอีโคคาร์ก็ควรจะได้สิทธินั้นด้วย และภาษีที่ถูกต้องก็ควรเป็น 12% ไม่ใช่ 17% เหมือนที่เก็บอยู่ในปัจจุบัน
ขณะที่แหล่งข่าวจากตัวแทน จำหน่ายรถยนต์นิสสัน กล่าวกับ "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า เมื่อกลางสัปดาห์ที่ผ่านมาบริษัทแม่ได้เชิญ ดีลเลอร์ทั่วประเทศร่วมทำเวิร์กช็อป รวมทั้งนำอีโคคาร์มาให้สัมผัส หลังจากที่บริษัทแม่เริ่มทดสอบทั้งเครื่องยนต์และสมรรถนะกับสภาพถนนและการ จราจรในบ้านเรา
ซึ่งจากการทดสอบเบื้องต้น ผ่านการตอบรับที่ดีจากบรรดาดีลเลอร์ โดยเฉพาะจุดเด่นความกว้างขวาง คุณภาพวัสดุและอุปกรณ์ที่ใช้เทียบเท่ากับรถยนต์ในญี่ปุ่น รวมทั้งอัตรา ประหยัดน้ำมัน ที่ทดสอบในเมืองได้ถึง 20 ก.ม.ต่อลิตร และวิ่งนอกเมืองได้ถึง 26 ก.ม.ต่อลิตร ซึ่งตรงกับสเป็กของอีโคคาร์
แหล่ง ข่าวกล่าวว่า จากการดูจากข้อมูลต่าง ๆ สันนิษฐานว่า น่าจะใช้ชื่อ "นิสสัน มาร์ช" มาพร้อมกับเครื่องยนต์ 3 สูบ 1.2 ลิตร ระบบจ่ายน้ำมันแบบหัวฉีด multipoint injection กลไกควบคุมวาล์วเป็นโซ่ตอนเดียวแบบใหม่ ซึ่งจะให้แรงบิดสูงที่รอบเครื่องยนต์ต่ำ ทำให้ออกตัวได้เร็ว มี UN balancer 3 ตำแหน่ง คือ มู่เล่หน้า, ข้อเหวี่ยงหน้า, flywheel เครื่องยนต์มาตรฐานยูโร 4 ที่มีค่าไอเสียเพียง 120 กรัม/กิโลเมตร มีให้เลือกทั้งเกียร์ธรรมดาและเกียร์อัตโนมัติแบบ Xtronic CVT ซึ่งเป็นเทคโนโลยีล่าสุดที่มีอยู่ในนิสสัน เทียน่าโฉมใหม่ โครงสร้างตัวถังของอีโคคาร์ คือ V-platform สำหรับสเป็กข้างต้นนั้น ทางบริษัทแม่อาจจะมีการปรับเปลี่ยนสเป็กบางอย่าง เพื่อให้เกิดความเหมาะสมได้
แหล่งข่าวกล่าวอีกว่า แนวโน้มปีหน้ารถเก๋งขนาดเล็ก ไม่ว่าจะเป็นอีโคคาร์ ซิตี้คาร์ รวมถึงบีเซ็กเมนต์ จะมีบทบาทมากขึ้น เห็นได้จากตลอดช่วงระยะเวลา 2-3 ปีที่ผ่านมามีอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่อง และการก้าวเข้ามาทำตลาดของผู้ผลิตรถยนต์หลายค่าย ไม่ว่าจะเป็นโตโยต้า ยาริส-วีออส, ฮอนด้าแจ๊ซ-ซิตี้, เชฟโรเลต อาวีโอ, มาสด้า 2 ที่เพิ่งเปิดตัวไปในงานมอเตอร์เอ็กซ์โป ที่ผ่านมา รวมถึงในปีหน้าจะมีฟอร์ด เฟียสต้า ซึ่งจะเปิดตัวในงานมอเตอร์เอ็กซ์โป พร้อมกับรถยนต์อีโคคาร์จากค่ายนิสสันด้วย นอกจากนี้ยังมีค่ายรถจากจีน อาทิ เฌอรี่ คิวคิว, โปรตอน แซฟวี่จากมาเลเซีย รวมทั้งนาซ่าและปิคันโต้ ในเครือยนตรกิจ
"บีเซ็กเมนต์ มีแนวโน้มการเติบโตดีมากตอนนี้ และมีส่วนแบ่งตลาดมากกว่า 20% ของตลาดรวม หรือ 47% ของตลาดรถยนต์นั่งทั้งหมด ส่วนอนาคตมีแนวโน้มจะเพิ่มมากขึ้น ยิ่งสถานการณ์ราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้น ขนาดของรถที่เหมาะกับวิถีชีวิตคนในเมือง รวมทั้งราคาที่จูงใจ ทำให้ ผู้บริโภคหันมานิยมรถขนาดเล็กอย่างจริงจัง ซึ่งจะทำให้รถยนต์บีเซ็กเมนต์จะมีจำนวนสูงขึ้น และกลายเป็นตลาดที่ใหญ่ที่สุดในอนาคตด้วย โดยจะส่งผลให้สัดส่วนตลาดรถยนต์ในเมืองไทยเปลี่ยน เชื่อว่าอนาคตปิกอัพจะมีสัดส่วนตกลง จากที่เคยมีจำนวน 50-60% ของตลาดรวม จะลดลงเหลือประมาณ 40% ที่เหลือเป็นรถยนต์นั่ง
ทั้งนี้ สถิติการขายสะสม 11 เดือนของ ปี 2552 มีปริมาณทั้งสิ้น 476,786 คัน ลดลง 14.3% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา โดยแบ่งออกเป็นรถยนต์นั่ง 199,606 คัน ลดลงแค่ 1.7% ขณะที่รถปิกอัพขนาด 1 ตันทำได้เพียง 240,262 คัน ลดลงมากถึง 20.7%
http://www.prachachat.net/view_news.php?newsid=02p0101211252§ionid=0201&day=2009-12-21