ผู้เขียน หัวข้อ: #### รถหรู เครื่องดีเซล เครื่องไฮบริด มันคุ้มกว่าเครื่องเบนซินธรรมดา จริงหรือครับ ####  (อ่าน 10149 ครั้ง)

ออฟไลน์ Tig

  • Jr. Member
  • **
  • กระทู้: 88
สำหรับราคาค่าตัวเครื่องดีเซลในรุ่นท๊อป หรือเครื่องไฮบริด ที่แพงกว่าเครื่องเบนซินธรรมดา ถ้าเทียบแล้ว มันคุ้มกว่าไหม? ไม่ว่า ค่าน้ำมัน ความแรง อายุการใช้งาน ราคาขายต่อ บวกลบ คูณหารแล้ว เพื่อนๆว่า....มันคุ้มไหม๊ครับ?

ออฟไลน์ kez

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 2,591

 คำว่าคุ้มของแต่ละคนไม่เท่ากัน อยู่ที่จะมอง
 
 ต่อให้ brand รถญี่ปุ่น มีเครื่อง diesel ดีๆ มาขาย 

 ก็ไม่ได้แปลว่า มันจะเทียบเท่า ภาพลักษณได้กับ brand europe

ออฟไลน์ Slipknot`

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 21,866
  • *** HLM.COM ***
อยู่ที่ลักษณะการใช้งาน และ ความพึงพอใจของคนใช้ล้วนๆครับ

ส่วนตัวชอบดีเซล กับ ไฮบริด

แต่ถ้าให้เลือกซื้อ ผมคงเลือกเบนซินธรรมดา เพราะ ราคาถูกกว่าและใช้รถน้อยมาก

แต่ถ้าเป็นเงินคนอื่น ก็อีกเรื่องนึงครับ  ;D ;D ;D


ออฟไลน์ AkE

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 7,404
ผมพูดตรงๆถ้าเป็นเคส BMW ผมว่าไฮบริดสมควรเป็นตัวทอปคับ performance มันต่างกันเยอะอยู่ ถ้าผมคิดทั่วๆไปผมให้  Hybrid มาที่่ 1 รองมาคือเบนซินธรรมดา

แล้วค่อยมา diesel ถ้าเรื่องประหยัดผมว่าดีเซลมันคุ้มจิงแต่ผมว่าเทคโนโลยีใกล้ไปถึงจุดสูงสุดแล้วแต่ในขณะที่เบนซินไปได้อีกไกลส่วนไฮบริดไม่ต้องพูดถึงมัน

เป็นอนาคตอยู่ละคับ ผมใช้ 525d รถอะไรไม่รู้ยิ่งกดยิ่งรู้สึกไม่แรงแต่เหยียบเบาๆแรงดึงหลอกๆจะมา ขับแล้วไม่หนุกคับเครื่องยนต์ทำให้หน้าหนักด้วยแต่ถ้าเรื่อง

ประหยัดล่ะก้ไฮบริดหนาวได้

ออฟไลน์ Ruksadindan

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 12,041
เรื่องการใช้น้ำมันแต่ละหยด คุ้มกว่าอยู่แล้วครับ โดยเฉพาะดีเซลไฮบริด อย่าง MB 300H BLUTEC

ผมพูดตรงๆถ้าเป็นเคส BMW ผมว่าไฮบริดสมควรเป็นตัวทอปคับ performance มันต่างกันเยอะอยู่
ในตลาดบ้านเรา ActiveHybrid ก็ถูกวางไว้สูงสุดนะครับ คงจะยกเว้นแต่ 750i

ออฟไลน์ Nikle_pk

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 5,678
คุ้ม ของแต่ละคนไม่เหมือนกันครับ

ความคุ้ม = ความพอใจ ครับ

ถ้าตัวเรารู้สึกพึงพอใจในรถคันนั้นๆ
ไม่ว่ามันจะใช้เทคโนโลยีอะไร มันก็คุ้มทั้งนั้นครับ
My Review !!! New Vellfire 2.5ZG Edition !!!
http://community.headlightmag.com/index.php?topic=44242.0

ออฟไลน์ Dr.Jones

  • Sr. Member
  • ****
  • กระทู้: 424
 ::) ???

เครื่องดีเซลมันทนกว่าไงครับ เพราะมันไม่มีคอยล์จุดระเบิด
(แต่มันก็มีเรื่องเสียของมันอีกล่ะครับ เช่นปั็มเชื้อเพลิง ฯลฯ))

เครื่องรถยุโรปต่างกับญปเยอะครับ ขนาดดีเซลด้วยกันยังเอามาเทียบกันยาก
ไม่สนับสนุนรถญี่ปุ่นเจ้าตลาดและรถเยอรมันมวยรอง
--ทุกรุ่น,ทุกคัน,ทุกโปรโมชั่น,ทุกกรณี--

ออฟไลน์ AkE

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 7,404
เรื่องการใช้น้ำมันแต่ละหยด คุ้มกว่าอยู่แล้วครับ โดยเฉพาะดีเซลไฮบริด อย่าง MB 300H BLUTEC

ผมพูดตรงๆถ้าเป็นเคส BMW ผมว่าไฮบริดสมควรเป็นตัวทอปคับ performance มันต่างกันเยอะอยู่
ในตลาดบ้านเรา ActiveHybrid ก็ถูกวางไว้สูงสุดนะครับ คงจะยกเว้นแต่ 750i
ช่ายแล้ววววคับ

ออฟไลน์ Equcha

  • Sr. Member
  • ****
  • กระทู้: 763
เอ...ผมว่าผมยังไม่เห็นจขกท พูดถึงญี่ปุ่นหรือยุโรปเลยนะครับ  ::)

ออฟไลน์ balliblue

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 1,385
ผมว่าถ้าดีเซลถ้าราคาน้ำมันไม่ถูก ผมคงไม่เอา เสียงเครื่องก็ดัง เรื่องความแรงหรือการบำรุงรักษานี้ไม่รู้ข้อมูลจริงๆว่ามันต่างกันแค่ไหน

ออฟไลน์ Elextons

  • Full Member
  • ***
  • กระทู้: 180
มุมมองส่วนตัวของผมละกัน จากคนที่ยังไม่ถึงกับรวยมาก และเพิ่งมีรถยุโรปเป็นคันแรกของตัวเอง

ตอนแรก ผมก็เคยคิดจะซื้อ ตัว F30 เครื่องดีเซล เพราะด้วยความที่ว่าให้ Torque ที่ดีกว่า ตีนต้นจัด และประหยัดน้ำมัน

พอไปลองเทสต์ ของจริงเข้า เปลี่ยนใจกลับมาเป็นเบนซินทันที ด้วยเหตุผล

ข้อเสียเครื่องดีเซล

1. เวลาสตาร์ทเครื่อง รถยนต์ดีเซลจะสั่นมากกว่าเบนซินอย่างชัดเจน  โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เวลาฟังก์ชั่น Idle Stop ทำงาน  เวลารถติดๆ

หรือเวลาเบรคจะกลับรถ มันสั่น สะท้านบ่อยอย่างเห็นได้ชัด (และมันจะสั่นมากขึ้นกว่าเดิม หลังจากใช้ไปซักระยะ อันนี้จากที่ถามๆ มา)

2. คุณสมบัติของเครื่องดีเซลคือ Compression Ratio สูง ทำให้จังหวะออกตัวดี แต่ถ้าขับๆ ไปจะรู้สึกได้เลยว่ากำลังมันมาไม่ต่อเนื่อง

เหมือนเครื่องเบนซิน ซึ่งมันจะไหลต่อไปได้อีกเรื่อยๆ ไม่รู้สึกว่าแผ่วลงเหมือนดีเซล

3. เสียงเครื่องยนต์ อันนี้ปัจจัยสำคัญเลยที่ผมตัดสินใจ เพราะไม่อยากใช้ๆ Premium Compact แล้ว นานไปกลายเป็นเหมือนขับกระบะดีเซลเข้าบ้าน
จริงอยู่เครื่องดีเซล ในกลุ่ม Premium มันไม่เสียงเหมือนรถกระบะ แต่ถ้าใช้นานไป เรื่อยๆ เสียงมันจะยิ่งดังขึ้น (อันนี้จากที่ถามมาเหมือนกัน)
โดยเฉพาะเวลาเร่งทำความเร็ว รถเครื่องเบนซินเสียงเร้าใจกว่า ในขณะดีเซลเสียงมันจะทุ้มๆ บอกไม่ถูก

ข้อดี

1. เวลาเติมน้ำมัน แล้วรู้สึกดีประหยัดเงิน (แต่ผมมองว่า ถ้าคุณจะคิดซื้อรถระดับนี้แล้ว เรื่องน้ำมันไม่น่าจะเป็นปัญหาเท่าไหร่ ยกเว้นว่าคุณจะใช้รถเยอะจริงๆ)
    ส่วนต่างๆ ราวๆ 2 แสนบาท จากเครื่องเบนซินเพิ่มเป็น ดีเซล ของ F30 ผม บวกกับส่วนลดที่ได้อีกราว 2แสน รวมเป็นเงิน 4 แสนบาท
    ผมเอาไปซื้อ Yaris Eco ไว้ขับเล่นๆ อีกคันนึงเรียบร้อยแล้ว เพราะบางกรณี บางสถานที่เราอาจไม่สะดวก หรือไม่มั่นใจที่จะนำรถคันหรูไปจอด ซึ่งบอกเลยว่า
   ผมแฮปปี้มาก อยากประหยัด บางวันผมก็ขับ Yaris Eco อยากหรูหน่อย ก็เปลี่ยนไปขับ F30 ได้รถสำรองมาให้ที่บ้านใช้อีก

2.  เครื่องยนต์ดีเซล ความทนทานและการบำรุงรักษาในระยะยาวจะดีกว่าเบนซิน (แต่พอมาอยู่ใน รถกลุ่ม Premium มีคนเถียงว่าข้อนี้ไม่จริง ผมเองก็ไม่ทราบเหมือนกัน)

ผิดถูกประการใดแก้ไขให้ด้วยนะครับ จากมุมมองคนที่ได้ลองสัมผัสเครื่องดีเซลใน Premium Compact มาเล็กน้อย จนกลับมาตกลงปลงใจกับเบนซินเหมือนเดิม
2007 Honda Civic FD 1.8E AT/AS
2014 BMW F30 320i

ออฟไลน์ rokrok

  • Sr. Member
  • ****
  • กระทู้: 380
เคยมีคนคำนวนว่า ถ้าเป็น 320i กะ 320d นั้น (optionเหมือนกัน)

ราคาค่ารถที่ต่างกันอยู่ ถ้าซื้อ320i ที่ถูกกว่า...ส่วนต่างราคานั้น เอามาเติมน้ำมันเบนซิน(ที่กินกว่าและแพงกว่า) ยังเติมได้เป็น5-6ปีเลยครับ

แปลว่าถ้ามองด้านเงินอย่างเดียว ใช้รถสัก5ปี 320i ยังประหยัดเงินเราเองมากกว่าเลยครับ

ออฟไลน์ Pat.Lee

  • Sr. Member
  • ****
  • กระทู้: 964
มองแค่ Bmw ระหว่างดีเซลกับเบนซินก่อนนะครับ พอดีผมเพิ่งทำการคำนวณมาก่อนะจซื้อ F10 LCI เปรียบเทียบระหว่าง 528i กับ 525d ซึ่งมีค่าตัวต่างกัน 2 แสนบาท
สรุปโดยคร่าวว่า ถ้าส่วนต่างราคาน้ำมัน ณ ปัจจุบัน ต้องใช้รถรุ่นดีเซลถึง 1 แสนกิโลเมตรถึงจะคุ้มกับราคาค่าตัว แต่ถ้าเกิดราคาน้ำมันเบนซินกับดีเซลเท่ากันรุ่นดีเซลจะเริ่มคุ้มที่ประมาณ 170,000 กิโลเมตร ซึ่งโจทย์ของผมใช้ 10 ปีขึ้นไปและวิ่งเกิน 2 แสนกิโลเมตรแน่นอน ผมเลยเลือก 525d ครับ บางท่านอาจจะมองว่าซื้อรถราคาขนาดนี้ไม่สนเรื่องอัตราสิ้นเปลือง ผมขอบอกเลยว่าบ้านผมสนมาก

เคสต่อไป MB บ้าง เรามาดูกันที่ E200 กับ E300 ละกันครับ ต้องท้าวความกลับไปเมื่อปีก่อนคนไม่ซื้อ E200 น่าจะเพราะไฟ DRL มันจัดว่าอนาจมาก Option โล้นเมื่อเทีบบกับ E300 คนเลยซื้อกันแต่ E300 อย่างบ้านผมชอบ Option ยอมซื้อ E300 AMG ทั้งๆ ไม่ได้ต้องการความสปอร์ตแต่อยากได้ Option กับอัตราสิ้นเปลืองระดับอีโค่คาร์ แต่ตอนนี้มีการปรับ Option ผมเชื่อว่าจะมีคนใช้ E200 มากขึ้นแน่นอน

BMW กับ MB ดีเซลมีข้อดีอีกอย่างคือเวลาออกต่างจังหวัดน้ำมัน 1 ถังคุณวิ่งได้ 1,000 กิโลเมตรไม่ต้องคอยพะวงวิ่งหาปั๊มบ่อยๆ และราคาน้ำมันต่างจังหวัดราคาจะสูงกว่าใน กทม เล็กน้อย

ปล. มุมมองของบ้านผมอาจจะไม่ค่อยเหมือนท่านอื่นๆ นะครับ

ออฟไลน์ cloud

  • Sr. Member
  • ****
  • กระทู้: 668
    • อีเมล์
ผมใช้ c250 cdi ตอนนั้นออกมา3.2ล้าน ในใจก็คิดแค่ว่าแรงกับประหยัด  พอออกมาจริงๆบ้านเราใช้รถน้อยนี่2ปีครึ่ง วิ่งไปแค่16,000โล
เลยมาคิดๆ ทำไมไม่เอาเบนซินแต่แรก  มันก็แรงแหละแต่แค่ต้นๆพอกลางๆก็แผ่วลง   งวดหน้าเอาเบนซินแน่นอน

jomyoot

  • บุคคลทั่วไป
ผมใช้ c250 cdi ตอนนั้นออกมา3.2ล้าน ในใจก็คิดแค่ว่าแรงกับประหยัด  พอออกมาจริงๆบ้านเราใช้รถน้อยนี่2ปีครึ่ง วิ่งไปแค่16,000โล
เลยมาคิดๆ ทำไมไม่เอาเบนซินแต่แรก  มันก็แรงแหละแต่แค่ต้นๆพอกลางๆก็แผ่วลง   งวดหน้าเอาเบนซินแน่นอน

ตรงประเด็นเลยครับ จากการใช้งานจริงๆของเรามากกว่า เครื่องเบนซิน ดูแลรักษาดีๆก็วิ่งเป็นล้านกิโลได้ครับ

ชอบตรงคำพูดของ จขกท. เหมือนซื้อพวกรถบิ๊กไบค์ ราคา5แสน-ล้านบาท ปีหนึ่งออกวิ่งออกทริปกี่ครั้ง

ขับปีหนึ่ง ได้เวลาเปลี่ยนยางรถไหม การใช้งานของแต่ละคนไม่เหมือนกัน บางคนเดือนหนึ่งวิ่งไม่ต่ำกว่าหมื่นโล

บางคนใช้รถเดือนหนึ่งไม่ถึงพันโล บางคนก็ใช้ขับทุกวัน บางคนเดือนหนึ่งยังไม่เคยสตาร์ทก็มี  ;D ;D ;D

ออฟไลน์ Angthong

  • Newbie
  • *
  • กระทู้: 13
ใช้ f30 320d อยู่ครับ ตอนจะซื้อทดลองตัวเบนซินก่อนเพราะคิดว่าคุ้มกว่า
แต่พอได้ลองดีเซล ตัดสินใจง่ายมาก ดึงกว่าเห็นๆ พอใจจนนิยามคำว่า"คุ้ม"ใหม่
เรื่องเติมน้ำมันถูกกว่าก็อย่าง แต่มันไม่ต้องเติมบ่อยนี่สิ ถังนึงอยู่ ตจว วิ่งได้ 8-900 กม
ทอร์คสูงสุดหยิบใช้ได้ทันใจ ไม่ต้องเค้น  สรุปคันต่อไปดีเซลชัวร์ แบบไม่ต้องฟังราคาน้ำมัน


ออฟไลน์ AkE

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 7,404
มุมมองส่วนตัวของผมละกัน จากคนที่ยังไม่ถึงกับรวยมาก และเพิ่งมีรถยุโรปเป็นคันแรกของตัวเอง

ตอนแรก ผมก็เคยคิดจะซื้อ ตัว F30 เครื่องดีเซล เพราะด้วยความที่ว่าให้ Torque ที่ดีกว่า ตีนต้นจัด และประหยัดน้ำมัน

พอไปลองเทสต์ ของจริงเข้า เปลี่ยนใจกลับมาเป็นเบนซินทันที ด้วยเหตุผล

ข้อเสียเครื่องดีเซล

1. เวลาสตาร์ทเครื่อง รถยนต์ดีเซลจะสั่นมากกว่าเบนซินอย่างชัดเจน  โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เวลาฟังก์ชั่น Idle Stop ทำงาน  เวลารถติดๆ

หรือเวลาเบรคจะกลับรถ มันสั่น สะท้านบ่อยอย่างเห็นได้ชัด (และมันจะสั่นมากขึ้นกว่าเดิม หลังจากใช้ไปซักระยะ อันนี้จากที่ถามๆ มา)

2. คุณสมบัติของเครื่องดีเซลคือ Compression Ratio สูง ทำให้จังหวะออกตัวดี แต่ถ้าขับๆ ไปจะรู้สึกได้เลยว่ากำลังมันมาไม่ต่อเนื่อง

เหมือนเครื่องเบนซิน ซึ่งมันจะไหลต่อไปได้อีกเรื่อยๆ ไม่รู้สึกว่าแผ่วลงเหมือนดีเซล

3. เสียงเครื่องยนต์ อันนี้ปัจจัยสำคัญเลยที่ผมตัดสินใจ เพราะไม่อยากใช้ๆ Premium Compact แล้ว นานไปกลายเป็นเหมือนขับกระบะดีเซลเข้าบ้าน
จริงอยู่เครื่องดีเซล ในกลุ่ม Premium มันไม่เสียงเหมือนรถกระบะ แต่ถ้าใช้นานไป เรื่อยๆ เสียงมันจะยิ่งดังขึ้น (อันนี้จากที่ถามมาเหมือนกัน)
โดยเฉพาะเวลาเร่งทำความเร็ว รถเครื่องเบนซินเสียงเร้าใจกว่า ในขณะดีเซลเสียงมันจะทุ้มๆ บอกไม่ถูก

ข้อดี

1. เวลาเติมน้ำมัน แล้วรู้สึกดีประหยัดเงิน (แต่ผมมองว่า ถ้าคุณจะคิดซื้อรถระดับนี้แล้ว เรื่องน้ำมันไม่น่าจะเป็นปัญหาเท่าไหร่ ยกเว้นว่าคุณจะใช้รถเยอะจริงๆ)
    ส่วนต่างๆ ราวๆ 2 แสนบาท จากเครื่องเบนซินเพิ่มเป็น ดีเซล ของ F30 ผม บวกกับส่วนลดที่ได้อีกราว 2แสน รวมเป็นเงิน 4 แสนบาท
    ผมเอาไปซื้อ Yaris Eco ไว้ขับเล่นๆ อีกคันนึงเรียบร้อยแล้ว เพราะบางกรณี บางสถานที่เราอาจไม่สะดวก หรือไม่มั่นใจที่จะนำรถคันหรูไปจอด ซึ่งบอกเลยว่า
   ผมแฮปปี้มาก อยากประหยัด บางวันผมก็ขับ Yaris Eco อยากหรูหน่อย ก็เปลี่ยนไปขับ F30 ได้รถสำรองมาให้ที่บ้านใช้อีก

2.  เครื่องยนต์ดีเซล ความทนทานและการบำรุงรักษาในระยะยาวจะดีกว่าเบนซิน (แต่พอมาอยู่ใน รถกลุ่ม Premium มีคนเถียงว่าข้อนี้ไม่จริง ผมเองก็ไม่ทราบเหมือนกัน)

ผิดถูกประการใดแก้ไขให้ด้วยนะครับ จากมุมมองคนที่ได้ลองสัมผัสเครื่องดีเซลใน Premium Compact มาเล็กน้อย จนกลับมาตกลงปลงใจกับเบนซินเหมือนเดิม
ถูกกกกกกก

ออฟไลน์ shogun

  • Full Member
  • ***
  • กระทู้: 164
    • อีเมล์
ผมใช้ 520d อยู่ ส่วนตัวประทับใจมาก ตีนต้นมีแรงดึงชัดเจน ขับสนุก แม้ที่ความเร็วสูงๆ กำลังจะลดลงแต่ก็ถือว่าไม่ขี้เหร่อะไร เรื่องเสียงเครื่องอยู่ข้างนอกรถอาจดังไปหน่อย แต่พอนั่งในรถก็ไม่ได้ดังจนน่ารำคาญ ระหว่างการขับผมว่าเงียบกว่าเครื่องเบนซิน D-segment ญี่ปุ่นเยอะครับ

พูดถึงเรื่องค่าตัวที่ต่าง ตอนซื้อป้ายแดงอาจแพงกว่าไม่กี่แสนหลังหักส่วนลด (เทียบ 520d vs 520i) แต่เมื่อเวลาผ่านไปหลายปี พิจารณาราคาขายต่อ เครื่องดีเซลราคาขายต่อดีกว่าจนคุ้มค่าตัวที่ต่างนะครับ (พิจารณาจาก E60 ดีเซล vs เบนซินที่ขายกันอยู่ในปัจจุบัน) ยังไม่รวมค่าน้ำมันต่อกม. ที่ถูกกว่ากันอย่างเห็นได้ชัด แถมน้ำมันถังนึงวิ่งต่างจังหวัด ถ้าไม่กดมากมายได้เกินพันกิโลสบายๆ ผมเติมน้ำมันเดือนละครั้ง เวลาเข้ากทม. ถูกตังค์กว่าแถวบ้านอีก แม้จะไม่มากก็เถอะ ดังนั้นส่วนต่างยิ่งคุ้มใหญ่ครับ ลองคิดย้อนกลับไปถ้าซื้อเบนซินคงไม่ค่อยอยากขับเพราะเปลืองน้ำมัน หรือไม่ก็หาต้องหาทางติดแก๊สแน่ๆ 555

สำหรับผมถือว่าคุ้มค่าที่สุดครับ ดังนั้นคันต่อไปดีเซลแน่นอน!!

ออฟไลน์ KyOcHiR0

  • Full Member
  • ***
  • กระทู้: 196
    • อีเมล์
ผมว่าส่วนต่างดีเซล หรือไฮบริด กับเบนซินธรรมดาในรุ่นเดียวกัน ผมว่าไม่คุ้มนะ ส่วนต่างเอาไปเติมน้ำมันได้หลายปีเลยอ่ะ
HeLLo!!

ออฟไลน์ TRcdi

  • Sr. Member
  • ****
  • กระทู้: 670
ความเห็นคล้ายๆ คุณ Pat.lee ครับ
สำหรับผมซื้อรถอะไรก็ตาม อัตราซดน้ำมัน สำคัญมาก
เพราะใช้รถเยอะ และสบายใจเวลาขับ เวลาเติมน้ำมัน

ส่วนความคุ้ม  ก็คงหมายถึงตัวเงินที่จ่าย เทียบความพอใจที่ได้รับ

-ราคาตัวรถที่ส่วนมาก ดีเซล/ไฮบริด แพงกว่าเบนซิน
แต่ออฟชั่นก็ต่างกันด้วย
เช่น E200 กับ E300 cdi hybrid   ก็ตัดสินใจง่ายขึ้น

-การซดน้ำมัน  คนที่ใช้รถเยอะๆ ก็ต้องให้ความสำคัญ
ผมก็เลือกดีเซล  ทั้งซดน้อยกว่า ทั้งน้ำมันถูกกว่า

-การขับขี่  ผมพอใจแรงเครื่องดีเซล เพราะใช้ขับขึ้นภาคเหนือประจำ  ได้ใช้แรงดึง มากกว่าแรงปลาย

สรุปแล้ว 
ขึ้นกับการใช้งาน ตอนนี้ใช้ 520d ,XC60 ,Hyundai H-1
ดีเซลล้วนๆ สลับกันวิ่งต่างจังหวัด พึงพอใจมาก

แต่ถ้ามีโจทย์ที่จะซื้อรถ Benz ซักคัน ใช้ใน กทม. ออกงานเรียบหรู   ผมจะออก E200  ไม่เอา E300 ครับ

ออฟไลน์ Napat14

  • Sr. Member
  • ****
  • กระทู้: 351
ดีเซล

ประหยัดกว่าด้านอัดตรา ใช้เชื้อเพลิงต่อระยะทาง เทียบกับเบนซิน
เครื่องทนทานกว่า
แรงบิดดีกว่า (โดยเฉพราะ ประเทศที่มีแต่ภูเขาเหมือนใน ยุโรป และญี่ปุ่นบางจังหวัด) ปินเขาดีมากๆกำลังไม่ตก
ถ้าเสียซ่อมแพงมาก ซ่อมยากกว่าเครื่องเบนซิน
รถเครื่องดีเซล เสียภาษีแพงกว่า เบนซิน มากอยู่ (ในประเทศไทย)
ในอนาคตอันใกล้ ทางรัฐบาล มีนโยบาย ว่า จะ ปรับให้ ราคาพลังงาน สมดุล กับตลาดโลก มากอยู่แล้ว
แต่เราต้องเข้าใจก่อนนะครับ ว่า ราคาหน้าโรงกลั่น ดีเซลกับเบนซินราคาพอๆกัน แต่ภาษีถูกว่าเยอะ แต่นำดีเซลมาขายถูกกว่าเพื่อ อุดหนุน หลายๆภาคส่วน โดยเฉพราะเกษตรกับขนส่ง

เบนซิน
อัดตราประหยัด ไม่เท่า ดีเซล
เครื่องซ่อมง่ายกว่า
ราคาเชื้อเพลิงแพงกว่า
เครื่องยนต์สามารถดัดแปลง ให้ใช้พลังงานทางเลือกได้มากกว่า เช่น ngv lpg E85 E100ในอนาคต
รถเครื่องเบนซินเสียภาษีถูกกว่า
ด้านกำลังเครื่องยนต์เหมือนกับภูมิประเทศไทยมากกว่า เพราะเป็น ที่ราบซะส่วยใหญ่ เส้นทางภูเขาน้อย มีเฉพราะบางภูมิภาถที่จำเป็นต้องใช้ เช่นทางเหนือแม่ฮฮงสอน

คุณลอง เอา รถดีเซล กับ ดีเซลhybrid มาเทียบระทางกันสิครับ ยกตัวอย่าง w212 เครื่องดีเซลกลับดีเซลHybrid ประหยัดกว่ากันแค่ ไม่ถึง สองกิโลต่อลิตร แล้ว คุณจะต้องเสียค่าบำรุงรักษา แบตhybrid ที่แพงกว่าทำไม แต่ก็อย่างว่าละครับ ผู้ผลิตรถในอนาคต ก็จะมีhybrid กันหมดแทบทุกรุ้น เพราะ ประหยัดน้ำมันกับค่าไอเสีย ผ่านมาตราฐานยูโร 6 7 8 อะไรของเขานั้นและ

คำนึงถึงคุณค่าที่จะได้รับจากการเสียเงินทองไปสิครับ ว่า คุ้มค่าคุ้มราคา หรือเปล่า เสียเงินตั้งเยอะ แต่ได้ของกลับมานิดเดี่ยว
เหมือนกับ กินข้าวมันไก่ประตูน้ำ จานเดี่ยว 40 บาทและอร่อย ไปกินเจ้าอื่น 40 บาทเหมือนกัน ไม่อร่อยแถมน้อย ความคุ้มค่า น่าจะเลือกกันได้นะครับ
รถยุโรป ขาดทุนเดือนเป็น แสนๆถึงขั้นล้าน ต่อปี รถ ญี่ปุ้น ขาดทุนหลักหมื่น ถึงหลักแสนต่อปี
Cls ซื้อมาปี 11 ราคาห้าล้านบาท ปีนี้ 14 ปลาปี เหลือ สามล้านต้นๆ หายไปสองล้านบาทเห้นๆ คบห้าปีเหมือนไหล่ คงเหลือ ล้านกว่าบาทเองมั้งครับ 
Bmw E30 coupe 1989
Volvo 940 estate 1997
Nissan Navara 2007
Toyota CHR 2019
Benz w212 2012
volvo v90 2018

ออฟไลน์ Monn

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 1,806
ตอนนั้น ผมเองก็คำนวนระหว่าง F30  ดีเซล กะเบนซิน  ตัดสินใจซื้อเบนซิน เพราะส่วนต่าง 2.2 แสน ผมคำนวนตอนนั้น ต้องใช้รถ 150000 กม. ถึงจะคุ้ม คำนวนน้ำมัน 32 กะ 36 บาทมั้ง ถ้าจำไม่ผิด แต่ตอนนี้ E20 ลงมา 33.59 ใกล้กับ v power diesel แล้วนะครับ แทบจะไม่ต่าง ยิ่งตอนนี้ ผมมี x1 diesel อีกคัน วิ่งเฉลี่ยได้ 14 โลลิตร ของผมเบนซิน 10 โลลิตร  ต่อกิโล คร่าวๆ ก็ ดีเซล 2.4 บาท เบนซิน ก็ 3.4 บาท ต่างกัน 1 บาทต่อโล แปลว่า ส่วนต่าง 200000 ก็ต้องวิ่ง 200000 โล ถึงจะคุ้มกัน ยิ่งไปกันใหญ่

ยิ่งเรื่องแรงดึง ยอมรับ ดีเซลดึงดีกว่า แต่มันเหมือนหลอกๆ เพราะมันมากระชาก แล้วจากไปอะคับ ส่วนเบนซิน จะดึงแบบเนือบๆ ไปได้ยาวววว ยิ่งเสียงเครื่อง เบนซินว่าดังละนะ ดีเซลนี่ กระหึ่มซอยมากๆ

รถคันต่อไป หากไม่ใช่ SUV ยังไงผมว่า เบนซิน ยังน่าใช้อยู่มากกว่านะ
S3 - F30
X1 - E84

ออฟไลน์ TheBestOrNothing

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 1,309
ขอตอบในฐานะที่เคยใช้รถยนต์ทั้ง 3 แบบ และมากกว่านั้นละกันนะครับ


1.Diesel (Porsche Cayenne 958 Diesel, W221 S320CDI ,W211 E220CDI AV minor, VW Caravelle T5 2.0BiTDI)

  +เรื่องประหยัดนั้นถือว่าขับยังไงๆก็ประหยัดครับ ค่อนข้างชัดเจนกว่าเบนซินเลยครับ ถ้ายิ่งเดินทางไกล คำนวณต่อ km ก็จะถูกลงไปอีกครับ
รู้สึกไม่ต้องกังวลเวลาไปต่างจังหวัดที่ต้องหาปั๊มตลอดเวลา
  -เครื่องยนต์สั่นค่อนข้างมาก สะเทือนมาถึงพวงมาลัยให้ได้รู้สึกชัดเจน เดินไม่เรียบ โดยเฉพาะ 4สูบเรียง ถ้าเป็นพวก V6 จะเนียนกว่าชัดเจน
แล้วก็มีโอกาสควันดำบ้าง รวมถึงเสียงภายนอกที่ไม่สุนทรีย์เท่าไหร่ (V6ของCayenneกับW221จะเบากว่านิดนึง ลองลงมาก็VW ส่วนOM651ของE220ละก็ดังถึงดังมากครับ) 
การขับขี่รอบจะตัดเร็วทำให้เสียอารมณ์และจังหวะบ้างเล็กน้อย
 

2.Benzine Downsizing (W212 E250CGI AV 2คัน)

   +ความประหยัดถือว่าดีขึ้นมากกว่าสมัยก่อนมากครับ ได้Turboมาช่วยการขับขี่จะรู้สึกกระฉับกระเฉงขึ้นมาก รอบเดินเบานิ่งมาก พวงมาลัยไม่สั่นมาก ขับในเมืองก็ไม่กินน้ำมันมากมาย
ถ้าขับรถน้อยแทบไม่ต่างกับรถดีเซลมากมายนัก  การขับขี่มีแรงดึงค่อนข้างต่อเนื่อง ไม่อืดที่ความเร็วสูงเหมือนกลุ่มของ Diesel 
   -ต้องรอรอบบ้าง การแซงมีติดๆบ้างในบางอารมณ์ รวมถึงถ้าขับเร็วมากๆอัตราสิ้นเปลืองยิ่งต่างกับDieselพอสมควรครับ  ราคาน้ำมันที่แพงมีผลรู้สึกว่าจ่ายเงินมากกว่าดีเซลทุกๆครั้ง


3.Benzine eco car (Nissan March)

   +ไม่มีอาการรอรอบเหมือน Downsizing  ขับประหยัดก็ไม่ได้ยากมากนัก ขับในเมืองเครื่องตอบสนองได้ดีเต็มที่ ความComplicateของรถน้อยค่าบำรุงรักษาไม่สูงมากนัก
   -อืดไปบ้าง ขับออกถนนใหญ่มีอาการกังวลบ้าง ขับเร็วมากเท่าไหร่ก็ยิ่งกินน้ำมันมากแบบชัดเจน อาการเครื่องยนต์สั่น เกียร์กระตุก ค่อนข้างบ่อย


4.PHEV-PlugIn Hybrid Electric Vehicle (Porsche Panamera S E-hybrid)

   +เรื่องความแรงอันนี้ชัดเจนเลยครับโดยเฉพาะเมื่อใช้2พลังงานร่วมกัน(416แรงม้า) ขับขี่แบบประหยัดก็ทำได้ง่าย ไม่ต้องกังวลว่าBatteryหมดแล้วจะต้องเรียกรถยกเหมือนพวก Tesla Model S
(รวมถึงถ้า Battery น้อยก็ทำการ Charge ผ่าน On Board Charging ทำงานลักษณะคล้ายไดนาโมเก็บไฟไว้ใช้ต่อได้เช่นกัน)
แต่จะยิ่งประหยัดกว่านั้นถ้าใช้EVmodeบ่อยหน่อย เสียบปลั๊กบ่อยหน่อย  เหมาะสำหรับเดินทางระยะ30-40km ที่ความเร็วปกติตามกฎหมายก็จะสามารถใช้Motorไฟฟ้าได้ตลอด
กล่าวคือ ถ้าเดินทางไปกลับบ้านบริษัทเที่ยวละ30kmมีที่ชาร์จทั้ง2ที่ ขับเช่นนี้ตั้งแต่จันทร์-ศุกร์ มีขับไปที่อื่นบ้างเล็กน้อย <เติมน้ำมัน 1 ถัง สามารถใช้นานได้ถึง 1เดือนได้อยู่ครับ>
   -ถ้าBatteryอ่อนเมื่อใดใช้เครื่องยนต์ Benzine Supercharge เมื่อใด ก็จะเริ่มกินน้ำมันพอสมควรครับ อาจจะตกไปอยู่ที่ 9km/l ได้ปกติเลยครับ  การขับขี่ต้องปรับตัวเล็กน้อยเพราะอารมณ์แป้นเบรคจะรู้สึกแปลกๆเป็น Regenerative Brake ที่หน่วงรถยนต์จากการกลับขั้วแม่เหล็กในMotor และปัจจุบันประเทศไทยยังหาจุดชาร์จไฟรถได้ยาก รวมถึงห้างดังๆก็ยังไม่มีบริการเช่นนี้
ทำให้ชาร์จได้แค่ที่บ้าน ที่บริษัท หรือบ้านที่ปลั๊กอยู่ที่โรงจอดรถเท่านั้น รวมถึงขับขี่ต่างจังหวัดแม้จะขับสนุกและแรงมากๆแต่ก็ไม่ค่อยประหยัดมากนัก

 
5.Benzine Big Engine (2014 Bentley Flying Spur W12 6ลิตร)

   +แรงไม่มีสิ้นสุด ไม่มีอาการเหนื่อยเหมือนเครื่องยนต์ชนิดอื่น  เดินได้เรียบและนิ่งมากๆ
    -กินน้ำมันมากๆ แม้จะขับที่ความเร็ว 80-100km/h ก็ตาม บำรุงรักษาและRunning Cost สูงมากครับ