ผู้เขียน หัวข้อ: ข่าวสัมภาษณ์ผู้บริหาร BMW และ Mercedes-Benz บอกว่า ปีหน้าราคารถยนต์ brand ตนเองจะราคาแพงขึ้น  (อ่าน 7856 ครั้ง)

ออฟไลน์ (ノ ´ ▽ ` )ノ

  • Jr. Member
  • **
  • กระทู้: 79
จากข่าว http://www.prachachat.net/news_detail.php?newsid=1434689143

"นายกฤษฎา อุตตโมทย์ ผู้อำนวยการฝ่ายสื่อสารกิจการองค์กร บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย เปิดเผย "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า จากที่กระทรวงการคลังมีนโยบายปรับเปลี่ยนแนวทางการจัดเก็บภาษีสรรพสามิตอีก ครั้งหนึ่ง โดยคำนวณอัตราภาษีจากการจัดเก็บจากราคาซีไอเอฟ (ราคาหน้าท่า+อากรนำเข้า) มาเป็นการคำนวณจากราคาขายปลีก ซึ่งจะมีผลทำให้ต้นทุนรถต่อคันแพงขึ้นแน่นอน โดยมีรายงานข่าวออกมาต่อเนื่องว่า แนวคิดนี้จะใช้หลังปรับโครงสร้างภาษีสรรพสามิตในต้นปีหน้า ซึ่งคำนวณอัตราภาษีจากการปล่อยมลพิษ เท่ากับว่าโครงสร้างภาษีสรรพ สามิตรถยนต์จะถูกปรับ 2 ครั้งภายในปีเดียว ซึ่งบริษัทเกรงว่าอาจจะส่งผลกระทบต่อการวางแผนผลิตภัณฑ์ เพราะก่อนหน้านี้ค่ายรถได้เตรียมผลิตภัณฑ์เพื่อให้สามารถรองรับโครงสร้าง ภาษีสรรพสามิตใหม่ไปแล้ว และหากมีการประกาศใช้ภาษีใหม่อีกรอบนั้น จะส่งผลให้ผู้ประกอบการวางแผนดำเนินธุรกิจค่อนข้างลำบาก และแน่นอนย่อมส่งผลต่อต้นทุนการผลิตที่จะต้องเพิ่มขึ้น

เช่นเดียวกับนายไมเคิล เกรเว่ ประธานบริหาร บริษัท เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย)จำกัด กล่าวกับ "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า การจัดเก็บภาษีตามโครงสร้างภาษีสรรพสามิตใหม่ที่คิดตามมาตรฐานการปล่อย Co2 นั้น บริษัทวางแผนมาเป็นอย่างดี แต่ส่วนการเปลี่ยนแปลงการจัดเก็บภาษีหน้าโรงงานเป็นการจัดเก็บตามราคาขาย ปลีกนั้นยังไม่มีรายละเอียด แต่สิ่งที่แน่นอนจากการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวจะทำให้ราคาขายรถยนต์นั้นสูงขึ้น อย่างแน่นอน และคงจะต้องรอดูความชัดเจนจากภาครัฐอีกครั้งหนึ่ง"
====================

สรุปว่าผิดไปจากที่คาด ว่าปีหน้ารถยนต์ยุโรปหลายรุ่นหลาย brand จะราคาถูกลง กลับน่าจะราคาแพงขึ้นแทน ผมยังไม่เข้าใจเรื่องอัตราภาษีรถยนต์ซ้ำซ้อนตามข่าว ท่านใดพอมีความรู้ช่วยอธิบายให้เห็นภาพได้ไหมครับ

ออฟไลน์ Siamtech

  • Full Member
  • ***
  • กระทู้: 292
    • อีเมล์

ออฟไลน์ H3T

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 2,721
    • อีเมล์
 CIF = cost + insurance + freight
 ซึ่งการคำนวณภาษีจะนำมาจากค่าเริ่มต้นคือ ราคา CIF

 1. อากรขาเข้า 80% ของ CIF
 2. สรรพสามิต ก็ต้องใช้ CIF ในสูตรคำนวณตามพิกัด
 3. มหาดไทย 10%
 4. มูลค่าเพิ่ม 7%
 
 1 ม.ค. 2559 เปลี่ยนพิกัดสรรพสามิตใหม่ ใช้ Co2 เป็นตัวแยกพิกัด ซึ่งไม่มีเพดานแรงม้า 220 อีกแล้ว ส่งผลให้รถรุ่นที่แรงม้าสูงแต่มลพิษต่ำจะเสียสรรพสามิตในพิกัดที่ต่ำลง

 คราวนี้กำลังเสนอเข้า สนช. ให้เปลี่ยนค่าเริ่มต้นในการคำนวณภาษีเป็น คำนวณจากราคาขายปลีก ( ตัวเลข % เท่าไหร่ยังไม่ชัดเจน )

 ถ้ามาดูเท่าที่มีข้อมูลยังไม่ชัดเจน
 1. ต้องมีการปรับสูตรคำนวณ
 2. เงื่อนไขจะเป็นอย่างไร ใช้ตัวเลขร้อยละตายตัวทุกราคาหรือไม่
 3. จะมีราคากลางไว้อ้างอิงอย่างไร เอามาจากไหน

 สรุปว่า จุดประสงค์ของการเปลี่ยนวิธีคำนวณภาษีก็เพื่อจะได้ภาษีเพิ่มขึ้นเข้าคลัง รถประกอบในประเทศและกลุ่มอาเซียน AFTA คงจะกระทบบ้างเรื่องต้นทุนที่สูงขึ้นเรื่องภาษีสรรพสามิตจากสูตรใหม่ แต่ความตั้งใจจริงๆคือจัดเก็บให้เต็มเม็ดเต็มหน่วยจากกลุ่มรถนำเข้ามากกว่าครับ

 รอดูระเบียบเป็นทางการอีกทีครับ แล้วค่อยมาวิเคราะห์เปรียบเทียบอีกครั้ง รายละเอียดตอนนี้ยังไม่ชัดเจนครับ
 

MacH1

  • บุคคลทั่วไป

ออฟไลน์ ไทบ้าน

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 1,668
ว่าจะเลิกใช้ Simca ไปถอย BMW สักคันแบบนี้ก็หมดหวังอีกอะจิ
1990 Yamaha Mate-100
1992 Yamaha Bell-100
2000 Yamaha Tiara-R
2017 Yamaha MT-03

ออฟไลน์ localgame

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 1,592
แพงมากก็ไม่ต้องซื้อครับ เดวผู้ผลิตก็หาทางลดราคากันเอง ทุกปัญหามีทางออก

ออฟไลน์ a601970

  • Sr. Member
  • ****
  • กระทู้: 802
  • ประชาธิปไตย หัวใจคือประชาชน
ราคาขายปลีกรถยนต์ควรปรับราคาให้ถูกลง
แต่ควรปรับเพิ่มในส่วนของการต่อภาษีประจำปี-เบี้ยประกันรายปีแทนนะครับ

เมื่อรถยนต์ราคาถูกก็จะเกิดแรงจูงใจในการซื้อมากขึ้น
ทีนี้รัฐก็จะมีรายได้จากการต่อภาษีรถยนต์รายปีที่ประชาชนจะต้องจ่ายรายปีต่อปีในระยะยาวไปอีกนานจนกว่าจะเลิกใช้รถนั่นล่ะครับ

บริษัทรถขายได้มากเท่าไหร่ ซัพพลายเออร์ก็มีรายได้มากขึ้นเท่านั้น รัฐก็จะมีรายได้เพิ่มจากการเก็บภาษีโรงงานมากขึ้นอีกในระยะยาวนะครับ
รวมถึงในส่วนของภาษีน้ำมันเชื้อเพลิงและอื่นๆจิปาถะที่ผู้ซื้อรถจะต้องจ่าย ฯลฯ

ถ้าทำได้ก็เป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจในหลายภาคส่วนนะครับ ตั้งแต่ผู้ผลิตถึงผู้บริโภค
ภาครัฐก็จะมีรายได้จากการเก็บภาษีระยะยาว

การขึ้นราคาขายปลีกรถยนต์เพียงอย่างเดียวจึงยังไม่น่าจะเป็นคำตอบ
แต่กลับจะฉุดรั้งให้กำลังซื้อลดต่ำลงนะครับ


ออฟไลน์ Alcatraz

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 3,608
    • อีเมล์
พวกตัวประกอบในอย่าง bmw 320i 520i อาจมีราคาแพงขึ้น ซึ่งพวกนี้เป็นตัวทำตลาดตัวหลัก แต่ถ้ามองในตลาด niche ที่เป็นพวกนำเข้าอย่าง 420d z4 อาจมีราคาถูกลงและอาจเปิดตลาดเครื่องที่แรงกว่าเดิมได้มากขึ้นอย่าง 435i c400amg หรือแม้แต่พวกตัวไฮบริดทั้งหลาย อาจจะมีมีราคาถูกลงแยอะขึ้นกว่าเดิม

ออฟไลน์ Ty ESC

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 1,784
แพงก็อย่าซื้อมันครับ


ที่แพงน่ะค่าจ้างฝรั่งมานั่งหลอกคนไทยมาหลอกกันเอง

ถึงเวลาฟันหัวได้เค้าฟันเราทั้งนั้นครับ


ออฟไลน์ famicom

  • Jr. Member
  • **
  • กระทู้: 74
ราคาขายปลีกรถยนต์ควรปรับราคาให้ถูกลง
แต่ควรปรับเพิ่มในส่วนของการต่อภาษีประจำปี-เบี้ยประกันรายปีแทนนะครับ

เห็นด้วยเป็นอย่างยิ่ง รถเก่าๆจะได้หมดไป รถเสีย/ชนไม่ต้องซ่อมทิ้งไปเลย คนซื้อไม่ต้องกังวลกับราคาขายต่ออีกต่อไป เทคโนโลยี่เปลี่ยนได้เร็ว นโยบายพลังงาน พวก E20, E85, EV เกิดได้ในทันที ตลาดจะโตกว่านี้มาก

ออฟไลน์ zahabriel

  • Newbie
  • *
  • กระทู้: 30
พอมีใครแนะนำผมได้บ้างครับ สืบเนื่องจากข่าวนี้เลยผมไม่แน่ใจว่าจะส่งผลกระทบต่อราคา รถนำเข้าขนาดไหน คือจริงๆผมจะเปลี่ยนรถปีนี้เร็วๆนี้เป็นรถนำเข้าเครื่อง hybrid ซึ่งราคาตอนนี้ได้สิทธิพิเศษ ราคาอยู่ที่3.6-3.8MB แต่ต้นปีหน้า จะมีตัว2000turboออกมาผมก็ว่าจะรอ แต่พอมีข่าวแบบนี้มาเลยเกรงว่ามันจะเกินงบ

ตอนนี้ตัว ไฮบริด ราคา เงินYen 6,250,000 yen ในไทยขาย 3.6-3.8 MB

ตัวเครื่องใหม่ 2000 turbo ราคาเงิน Yen 5,650,000 yen ปล่อย co2 150-200 ตอนแรกคำนวนไว้ว่าราคาเต็มที่ไม่น่าเกิน 4.5MB แต่ตอนนี้ไม่แน่ใจแล้วข่าวถ้าเปลี่ยนจริงๆจะทำให้ราคาพุ่งไปหลัก5ล้านเลยไหมซึ่งมันเกินงบไปมากครับเพราะถ้าเกอนงบอาจจะต้องทำใจยอมเอาตัวhybridไป

ยังไงขอบคุณมากนะครับถ้ามีคำตอบ

ออฟไลน์ Fong

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 3,992
  • Make a Choice and Don't Look Back
    • อีเมล์
ราคาขายปลีกรถยนต์ควรปรับราคาให้ถูกลง
แต่ควรปรับเพิ่มในส่วนของการต่อภาษีประจำปี-เบี้ยประกันรายปีแทนนะครับ

เมื่อรถยนต์ราคาถูกก็จะเกิดแรงจูงใจในการซื้อมากขึ้น
ทีนี้รัฐก็จะมีรายได้จากการต่อภาษีรถยนต์รายปีที่ประชาชนจะต้องจ่ายรายปีต่อปีในระยะยาวไปอีกนานจนกว่าจะเลิกใช้รถนั่นล่ะครับ

บริษัทรถขายได้มากเท่าไหร่ ซัพพลายเออร์ก็มีรายได้มากขึ้นเท่านั้น รัฐก็จะมีรายได้เพิ่มจากการเก็บภาษีโรงงานมากขึ้นอีกในระยะยาวนะครับ
รวมถึงในส่วนของภาษีน้ำมันเชื้อเพลิงและอื่นๆจิปาถะที่ผู้ซื้อรถจะต้องจ่าย ฯลฯ

ถ้าทำได้ก็เป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจในหลายภาคส่วนนะครับ ตั้งแต่ผู้ผลิตถึงผู้บริโภค
ภาครัฐก็จะมีรายได้จากการเก็บภาษีระยะยาว

การขึ้นราคาขายปลีกรถยนต์เพียงอย่างเดียวจึงยังไม่น่าจะเป็นคำตอบ
แต่กลับจะฉุดรั้งให้กำลังซื้อลดต่ำลงนะครับ

เห็นด้วยเช่นกันครับ เพราะ Success มาแล้วในต่างประเทศ เขาไม่ใช้รถเก่ากันเลย
นอกจะจะเป็นรถคลาสสิกที่เขาต้องการเก็บจริง (ซึ่งภาษีแพงมากในปีหลังๆ)
Isuzu มังกรทอง, Accord G4, Colorado, Hilux Tiger, Lancer MK I, Triton, D-Max Cab4, TiiDA, Mazda2 MK I, Mazda2 MK II, D-Max Space, Fortuner, Sunny B14, Jazz GK, Accord G9, Mazda2 Sky, GLA200, Yaris, Alphard30, Lancer MK II, Lander MK III, Ranger MC, XL7, Forester SK

ออฟไลน์ rojsak2021

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 1,196
    • อีเมล์
คงไม่มีผลกระทบ เพราะกลุ่มคนใช้ BMW และ Mercedes-Benz ก็เป็นกลุ่มคนระดับบนๆอยู่แล้ว

ออฟไลน์ equinox

  • Jr. Member
  • **
  • กระทู้: 56
ราคาขายปลีกรถยนต์ควรปรับราคาให้ถูกลง
แต่ควรปรับเพิ่มในส่วนของการต่อภาษีประจำปี-เบี้ยประกันรายปีแทนนะครับ

เมื่อรถยนต์ราคาถูกก็จะเกิดแรงจูงใจในการซื้อมากขึ้น
ทีนี้รัฐก็จะมีรายได้จากการต่อภาษีรถยนต์รายปีที่ประชาชนจะต้องจ่ายรายปีต่อปีในระยะยาวไปอีกนานจนกว่าจะเลิกใช้รถนั่นล่ะครับ

บริษัทรถขายได้มากเท่าไหร่ ซัพพลายเออร์ก็มีรายได้มากขึ้นเท่านั้น รัฐก็จะมีรายได้เพิ่มจากการเก็บภาษีโรงงานมากขึ้นอีกในระยะยาวนะครับ
รวมถึงในส่วนของภาษีน้ำมันเชื้อเพลิงและอื่นๆจิปาถะที่ผู้ซื้อรถจะต้องจ่าย ฯลฯ

ถ้าทำได้ก็เป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจในหลายภาคส่วนนะครับ ตั้งแต่ผู้ผลิตถึงผู้บริโภค
ภาครัฐก็จะมีรายได้จากการเก็บภาษีระยะยาว

การขึ้นราคาขายปลีกรถยนต์เพียงอย่างเดียวจึงยังไม่น่าจะเป็นคำตอบ
แต่กลับจะฉุดรั้งให้กำลังซื้อลดต่ำลงนะครับ

Win Win Situation แท้ๆเลยแบบนี้

สถานการณ์ปัจจุบันมันเหมือน You Win I Lose อะไรแนวๆนี้ครับ

ออฟไลน์ FyGI

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 2,306
ราคาขายปลีกรถยนต์ควรปรับราคาให้ถูกลง
แต่ควรปรับเพิ่มในส่วนของการต่อภาษีประจำปี-เบี้ยประกันรายปีแทนนะครับ

เมื่อรถยนต์ราคาถูกก็จะเกิดแรงจูงใจในการซื้อมากขึ้น
ทีนี้รัฐก็จะมีรายได้จากการต่อภาษีรถยนต์รายปีที่ประชาชนจะต้องจ่ายรายปีต่อปีในระยะยาวไปอีกนานจนกว่าจะเลิกใช้รถนั่นล่ะครับ

บริษัทรถขายได้มากเท่าไหร่ ซัพพลายเออร์ก็มีรายได้มากขึ้นเท่านั้น รัฐก็จะมีรายได้เพิ่มจากการเก็บภาษีโรงงานมากขึ้นอีกในระยะยาวนะครับ
รวมถึงในส่วนของภาษีน้ำมันเชื้อเพลิงและอื่นๆจิปาถะที่ผู้ซื้อรถจะต้องจ่าย ฯลฯ

ถ้าทำได้ก็เป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจในหลายภาคส่วนนะครับ ตั้งแต่ผู้ผลิตถึงผู้บริโภค
ภาครัฐก็จะมีรายได้จากการเก็บภาษีระยะยาว

การขึ้นราคาขายปลีกรถยนต์เพียงอย่างเดียวจึงยังไม่น่าจะเป็นคำตอบ
แต่กลับจะฉุดรั้งให้กำลังซื้อลดต่ำลงนะครับ

เห็นด้วยครับ

แต่อาจจะต้องเพิ่มมาตรการกับรถเก่าที่อายุเกิน 5 ปี

เหมือนในบางประเทศ

ออฟไลน์ Slipknot`

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 21,866
  • *** HLM.COM ***
ยุโรปขึ้นแบบนี้ เดี๋ยวยุ่นจะยิ่งได้ใจนะครับ แหม่...

ออฟไลน์ localgame

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 1,592
ราคาขายปลีกรถยนต์ควรปรับราคาให้ถูกลง
แต่ควรปรับเพิ่มในส่วนของการต่อภาษีประจำปี-เบี้ยประกันรายปีแทนนะครับ

เมื่อรถยนต์ราคาถูกก็จะเกิดแรงจูงใจในการซื้อมากขึ้น
ทีนี้รัฐก็จะมีรายได้จากการต่อภาษีรถยนต์รายปีที่ประชาชนจะต้องจ่ายรายปีต่อปีในระยะยาวไปอีกนานจนกว่าจะเลิกใช้รถนั่นล่ะครับ

บริษัทรถขายได้มากเท่าไหร่ ซัพพลายเออร์ก็มีรายได้มากขึ้นเท่านั้น รัฐก็จะมีรายได้เพิ่มจากการเก็บภาษีโรงงานมากขึ้นอีกในระยะยาวนะครับ
รวมถึงในส่วนของภาษีน้ำมันเชื้อเพลิงและอื่นๆจิปาถะที่ผู้ซื้อรถจะต้องจ่าย ฯลฯ

ถ้าทำได้ก็เป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจในหลายภาคส่วนนะครับ ตั้งแต่ผู้ผลิตถึงผู้บริโภค
ภาครัฐก็จะมีรายได้จากการเก็บภาษีระยะยาว

การขึ้นราคาขายปลีกรถยนต์เพียงอย่างเดียวจึงยังไม่น่าจะเป็นคำตอบ
แต่กลับจะฉุดรั้งให้กำลังซื้อลดต่ำลงนะครับ

ปัจจัยอีกอย่างหนึ่งที่ทำให้เมืองนอกเค้าทิ้งรถไวเพราะค่าแรงมันแพงครับ เกิน5ปีก็ไม่อยากซ่อมกันแล้ว ยิ่งรถเกิน15ปีนี่แทบจะยกให้กันฟรีๆเลย

แต่บ้านเราค่าแรงมันถูกจะซ่อมรถทั้งทีใช้เงินไม่เท่าไหร่โดยเฉพาะรถเจ้าตลาด กลุ่มรากหญ้าก็สามารถซื้อรถมือสองมาซ่อมใช้กันต่อได้ แล้วรถตลาดบ้าน

เรามีอะไหล่ตั้งแต่ของก็อป ของเทียบ ยันของแท้ อะไหล่เจ้าตลาดก็ราคาไม่แพง

การเก็บภาษีแพงๆสำหรับรถเก่าอาจจะเป็นปัญหาสำหรับกลุ่มรากหญ้าที่ถึงแม้จะลดราคารถใหม่เพื่อเน้นให้ซื้อมากขึ้น แต่ก็ยังไม่สามารถที่จะซื้อไหว

อยู่ดี การลดราคาแบบนี้จึงดูเหมือนทำมาเพื่อกลุ่มคนชั้นกลางโดยเฉพาะ กลุ่มเศรษฐีคงไม่กระทบอะไรอยู่แล้ว ที่เมืองนอกมันมีความห่างชั้นของคนน้อย

กว่าบ้านเราครับ แค่เด็กเสริฟก็สามารถมีรายได้อย่างต่ำ100$ต่อวัน การลดราคาขายปลีกรถยนตร์แล้วไปเพิ่มการต่อภาษีประจำปีเลยสามารถทำได้ในต่าง

ประเทศ เอาง่ายๆลองมองรถกระบะsingle cab บ้านเรา ราคาขายแทบจะถูกที่สุดในโลกแล้วครับราคานี้ ภาษีนี่แทบจะไม่เก็บเลย ต่อภาษีประจำปีก็ถูก

กว่าเมืองนอก เกษตรกรบ้านเรายังจะซื้อไม่ค่อยไหวเลยครับ ตามต่างจังหวัดยังใช้รถกระบะเก่าๆกันอยู่เลย หรือถ้าจะซื้อก็ต้องผ่อนเอา แนวคิดที่คุณบอก

มามันทำได้ในต่างประเทศ เพราะปัจจัยหลายๆอย่างมันเอื้ออำนวยครับ แต่บ้านเราผมว่ายังไม่พร้อม

ออฟไลน์ Rukky36

  • Newbie
  • *
  • กระทู้: 1
    • อีเมล์
รอตามข่าว เหมือนกันครับผมจอง CLS ได้รถปลายปีพอดี ตอนแรกจะเลื่อนไปรับรถ 59 ถามทางMBTH ว่าถ้าจองปี 59 ราคาตอนปรับภาษีจะต่างจากจอง 58 ไหม

ก็อำๆอึ้งๆ โอนสายไปมา สุดท้ายบอกจะโทรกลับแล้วก็เงียบ... ต้องหาข้อมูลเองอีกแล้วสินะ แต่จากที่ จขกท ว่ามาคงต้องรอให้ข่าวนิ่งแ้ลวตัดสินใจอีกที

พึ่ง MBTH ไม่ได้ ปิดข่าว..
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มิถุนายน 20, 2015, 15:59:07 โดย Rukky36 »

ออฟไลน์ GoatGoat

  • Sr. Member
  • ****
  • กระทู้: 895
ถ้ายุโรปพร้อมใจดันราคาขึ้นไป ผมว่าเดี๋ยวได้เห็น D-Seg ตัวท็อปคันละ 2 ล้าน
แต่อย่างว่าครับ ถ้าราคามันแพงไปก็ไม่ต้องซื้อครับ ให้คนขายเค้าก็จัดการราคากันเอง

ออฟไลน์ SM.

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 27,363
ผมว่าปล่อยให้ Demand & Supply จัดการเองดีกว่า ใครพร้อมก็ซื้อ ใครไม่พร้อม ก็อย่าเพิ่งหาเรื่องเป็นหนี้