ส่วนใหญ่เขาไม่ไ่ด้บอกว่ามันดี เพียงแต่ที่บริษัทรถยนต์เขาเลือกใช้กันก็เพราะ เหตุผลหลักคือ
1. ลดต้นทุน CVT ต้นทุนลดลงเยอะมาก
2.ขนาดเล็ก น้ำหนักเบา
3.ประหยัดพื้นที่ ในการติดตั้งเพราะสามารถออกแบบให้มีขนาดเล็กได้
4.เกียร์มีความราบเรียบมาก แทบไม่มีการกระตุกเลย
5.กลายเป็นเกียร์สหกรณ์ไป ไม่รู้ดีหรือเสีย
แต่มันก็ต้องแลกมาด้วยข้อเสีย เกียร์ไม่ได้ทนทานแบบทอร์คคนอเวอร์เตอร์ คนที่บอกว่าทนทานนะใช้เกิน 3-4 แสนโลกันหรือยัง ถ้าแบบเก่า ๆ ใช้เกินกว่านี้ดูแลดีก็ไม่พังแต่ CVT อายุยาวขนาดนั้นไมไ่ด้ด้วยข้อจำกัดของมัน และตัวเกียร์ออกแบบมาไม่สามารถรองรับกับงานบรรทุกหนักหรือลากจูงได้ คือมันเอามาลงกับรถปิคอัพรถ PPV ที่ต้องการพละกำลังแรงบิดสูง ๆ ไม่ได้ ความทนทานก็ไม่ให้ไปได้ระดับนั้น กำลังไม่มีในการฉุดลากขึ้นเขาหนัก ๆ ใช้ตะบี้ตะบัน
ทุกวันนี้ มีหลายคันทะลุ 300,000 โลแล้ว เช่น Jazz รุนเริ่มต้นครับ แต่ รู้สึกเครื่องจะพังไปพอๆกับเกียร์
Lancer EX ที่ผมใช้ก็ เกือบ 200,000 โลแล้ว แลไม่พบปัญหา ในรถที่ เปลี่ยนน้ำมันเกียร์ตามระยะ
ไม่ได้มีใคร บอกว่า CVT มันทนกว่า AT ธรรมดา
แต่มันก็ไม่ได้ เปราะบาง จนขนาดเรียกว่าห่วยก็เลยก็ไม่ได้
และผมเชื่อว่า รถบ้านหลายๆ คันที่เป็น CVT จะผ่าน 300,000 โล จนเราลืม AT ไปได้เลย ในอีกไม่กี่ปีครับ
โดยส่วนตัวสำหรับผม หากจะเอา 200,000 หรือ 300,000 โลมาวัดว่าเกียร์ทนหรือไม่
ณ เวลา นั้น ไม่เครื่อง ก็ เกียร์ มันคงพังไปแล้ว 300,000 โลนี่มัน 10 ปี ผมคงไม่ขับแล้วรถคันนั้น เพราะ เครื่องคงหลวมไปแล้ว
ให้ เวลา พิสูจน์ ความทนดีกว่าครับ ซึ่งผมว่า
CVT มันพิสูจย์ตัวมันเองได้แล้วนะครับ