เรื่องเกียร์ Selematic ผมว่านอกเหนือจากในเว็บนี้มันมีคนพูดกันไปเยอะละ แต่ผมก็จะพูดอีกจากมุมมองของตัวเองนะ
ว่าความคิดมันผิดตั้งแต่เลือกเกียร์คลัตช์แห้งมาใช้ในรถซิตี้คาร์แล้วเพราะเกียร์ระบบนี้ทำให้นุ่มลื่นได้ยาก มันเป็นข้อจำกัด
ทางวิศวกรรม รถเกียร์ AMT คลัตช์แห้งมันย่อมต้องมีอาการแบบเกียร์ธรรมดากะยึกกะยัก เพราะกลไกไม่ได้ทำงานด้วย
น้ำมันเกียร์แบบเกียร์ออโต้
ถ้าอยู่ในรถสปอร์ตกับซูเปอร์คาร์ เรารับได้เพราะมันต้องเน้นความสนุก กระชาก มันส์ แต่กับรถที่จะทำขาย
คนหมู่มาก หญิง/ชาย บ้ารถ/ไม่รู้เรื่องรถ เอาของอินดี้มาขายแล้วพยายามสอนลูกค้า (ซึ่งลูกค้าบางคนแม้แต่กระจกมองข้าง
ยังไม่เคยปรับ? หน้าปัดคืออะไรบ้างยังไม่รู้?) นอกจากสอนลูกค้าแล้วยังต้องสอนวิธีขับให้เซลส์ด้วยเพื่อที่จะได้ขับให้ลูกค้านั่ง
แล้วรู้สึกนุ่ม ถามจริงว่าในรถราคา 4-5-6 แสนบาทเราควรจะได้รถที่ขับได้โดยไม่ต้องเรียนรู้อะไรมากหรือเปล่า?
แล้วถ้าใครดันทะลึ่งบอกว่ามันเป็นส่วนที่ "คน" ต้องเข้าใจ "รถ" ผมก็จะถามว่าแล้วถ้า Swift เดินเบาสั่นบ้าบอ ผมต้อง "เข้าใจ"
มันมั้ยว่า "เป็นเพราะรถเน้นประหยัดเลยต้องตั้งรอบเดินเบาต่ำ"
?
แน่นอนครับ ที่พูดแบบนี้ไม่ใช่อะไร ที่บ้านผมก็มีไอ้ Swift ..ซื้อมาตั้งแต่ปี 2012 วิ่งมา 46,000 โล พอดีช่วงนี้พี่สาวผมไม่อยู่
ผมก็ขับมันทุกวันจนวันที่ MG3 มา เมื่อเทียบกันแบบนี้มันทำให้ผมได้เห็นจุดอ่อนจุดแข็งของแต่ละคันมากขึ้น ระหว่างอีโคคาร์
ราคา 559,000 (ตอนซื้อ) กับ B-Segment ราคาอีโคคาร์
ถ้าขับใช้งานในเมือง ผมให้ Swift ชนะครับ ผมไม่ต้องมานั่งทำความเข้าใจอะไรกับเกียร์ ผมอยากให้มันไป ก็เหยียบ ไปเร็วก็เหยียบลึก
ไปช้าก็เหยียบค่อยๆ อยากกระฉับกระเฉงหน่อยก็กด D (S) เวลารถเยอะๆ แล้วต้องเปลี่ยนเลนไป เร่งไป Swift ใส่ D(S) คุมการเร่งได้ง่ายกว่ามากครับ พวงมาลัยความเร็วต่ำเบามาก กลับรถและถอยจอดคล่อง อัตราทดไวจะมีด่า Swift ก็แค่รอบเดินเบาเวลาใส่เกียร์ D เหยียบเบรกที่มันต่ำมากจนรถสะท้านน่ารำคาญมาก
แต่..
ถ้าขึ้นทางด่วนหรือออกแรดทางไกลเมื่อไหร่ ผมจอด Swift คลุมผ้าแล้วเอา MG ออกเลยครับ เพราะนั่นคือที่ที่ผมสามารถ
เล่นกับเกียร์ได้ ใช้โหมด Manual โยกบวกลบเล่นได้สนุก ไม่ต้องทนอาการกระเย่อที่ความเร็วต่ำ พวงมาลัยของ MG3 ที่ว่าหนัก
ผมว่าถ้าใครขับรถพวงมาลัยไฮดรอลิกยุค 90s ยาง 185 มม.ได้ คุณก็ขับ MG3 ได้ น้ำหนักหน่วงที่ความเร็วสูงดีกว่า Swift
ความตึงมือกำลังสวยจบ การตอบสนองสื่ออาการจากถนนสวยจบ ช่วงล่างคนละเรื่องกับ Swift ครับ ผมว่า MG3 ข้ามคลาส
ไปแข่งกับ C-Segment บางคันยังได้ แต่ถ้าเทียบกับ B-Seg ผมว่าคงมีแต่ Sonic ที่นุ่มกว่าและหนึบเท่ากัน เกาะพอๆกัน
ส่วน Mazda ถ้าเป็นตัวเบนซินหน้าจะเบากว่า MG ที่ความเร็วสูง แต่การเปลี่ยนทิศทางแรงๆที่ความเร็วต่ำ Mazda เซ็ตมาดีกว่า
สมมติว่าให้งบประมาณ 600,000 บาท และไม่นับ Sonic ที่เลิกผลิตไปแล้ว ผมว่ามีรถขนาดเล็กน้อยคันมากที่สามารถ
Eat hundreds of mile at high speed in comfort ได้แบบ MG3 อย่าว่าแต่ 120-130 เลยครับ 170 ถ้าไม่มีลมตียังนิ่งนิ้งๆ
เกียร์ที่ขะลึกขะลักในเมือง เวลาได้ยืดเส้นยืดสายสับเอง มันส์กว่า CVT มีโมชั่นกระชากเหมือนเกียร์ธรรมดา และขับลงเขาได้
โดยมี Engine Brake หน่วงเหมือนเกียร์ธรรมดาจริงๆ
ผมว่า MG3 เป็นรถที่เหมาะกับคนที่ไม่ซีเรียสเรื่องอัตราเร่งกับอัตราสิ้นเปลือง กำเงินอยู่ไม่เกิน 600,000 บาท แต่อยากได้
รถเล็กที่สามารถขับทางไกลได้อย่างผ่อนคลายโดยไม่ต้องไปโมดิฟายช่วงล่างเพิ่ม และชอบขับรถที่หักเลี้ยวมั่นๆวิ่ง 140 นิ่งๆ
ซึ่งในราคาระดับนี้ผมว่ามันก็มีแต่ MG3 ที่ตอบได้ และสำหรับคนอื่นชอบตัวเลข ชอบอัตราเร่งดี ประหยัดเมื่อไม่กด โมดิฟาย
แต่งต่อง่าย ของแต่งเยอะๆ ผมว่าไปหารถญี่ปุ่นดีกว่าครับ
สำหรับคนที่กำลังจะซื้อ MG3 แต่กำลังคิดว่าจะปรับตัวเข้ากับ Selematic ได้มั้ย ผมแนะนำว่าไปลองขับเอง
แต่ก่อนไปขับ คุณเข้าใจบางเรื่องเอาไว้ก่อน มันก็จะประหยัดเวลาเซลส์ ประหยัดเวลาคุณ และมีเวลาให้กับการลองรถ
จริงจังมากขึ้น
1. ถ้ารถคันก่อนของคุณเป็นเกียร์ธรรมดา หรือคุณชินกับการโดยสารรถเกียร์ธรรมดาแล้วจำอาการ
หน้าทิ่มหลังดึงเวลาเปลี่ยนเกียร์ได้ Selematic ก็ไม่ได้ต่างจากอาการเหล่านั้นมากนักแต่จะเกิดขึ้นไวเสร็จไวกว่า
2. เปลี่ยนเกียร์จาก N ไป D (ตำแหน่งกลาง) หรือ N ไป R เหยียบเบรกด้วยทุกครั้ง รถญี่ปุ่นบางรุ่นจะลั่นจาก
N ไป D ได้โดยไม่ต้องเหยียบเบรก ซึ่งที่จริงไม่ปลอดภัยครับ ผมโดนปัญหาเคสนี้มาแล้ว ใน MG3 ถ้า
คุณเข้า N ไป D หรือ R โดยไม่เหยียบเบรก รถจะไม่เข้าเกียร์ให้ครับ เป็นระบบ Safety ไม่ใช่เกียร์ไม่ดี
3. ดูจอแดงบนหน้าปัด ถ้าจะเข้าออโต้โหมด ผลักคันเกียร์ไปซ้ายสุด 1 วิแล้วปล่อยกลับ ให้ตัว A ขึ้น
นั่นคือออโต้โหมด ถ้าจะเล่นเกียร์เองให้ผลักซ้ายสุด 1 วิแล้วปล่อย ตัว A หายไป นั่นคือเราพร้อมใช้ +/-
เล่นเกียร์เอง ไม่ว่ารถคุณจะเลือก Auto หรือ Manual ไว้ ถ้าดับเครื่องแล้วมาสตาร์ทใหม่ มันจะจำได้
ว่าคุณเคยเลือกโหมดอะไรไว้ ส่วนปุ่ม MODE ข้างขวาบนของฐานเกียร์ เอาไว้ปรับการตอบสนองครับ
ลองกดแล้วปล่อยมันจะเปลี่ยนจาก A ไป S กดอีกครั้งเป็น S กลับไป A ถ้าโหมด S รถจะคิกดาวน์
sensitive ขึ้น เช่นเดิมโหมด A กดคันเร่ง 70% รถไม่คิกดาวน์ แต่ในโหมด S จะคิกดาวน์ให้
และเวลากดคันเร่งเต็มๆออกตัวเกียร์จะจับเร็วส่งเร็วขึ้นทำให้ออกตัวได้เร็วขึ้น
ถ้าเป็นคุณผู้หญิง..ผมแนะว่าจำง่ายๆ มองหน้าปัด ให้มันมีตัว A ขึ้นไว้ ถ้าไม่ขึ้นก็ผลักซ้าย 1 วิแล้วปล่อย
แค่นั้น ที่เหลือก็ขับไปตามเรื่องตามราว พอใช้จนคุ้นแล้วค่อยมาเล่นกับ Manual กับ Mode ภายหลังได้
ผมว่าคนที่เคยชินกับเกียร์ธรรมดาจะเฉยมากครับกับ Selematic แต่คนที่ชินกับออโต้ PRND321 อาจต้อง
เรียนรู้สักพักแต่ไม่ได้ยากถ้าใจมันสั่งแล้วว่าชอบ
4. ถ้าคุณขับรถไม่เร็วมากนัก กดคันเร่งไม่ลึก เกียร์เปลี่ยนที่ 2,100-2,300 รอบต่อนาที แบบนี้ขับ
เหมือนเกียร์ออโต้ปกติได้เลยครับ การเปลี่ยนเกียร์ไม่ได้กระตุกอะไรมาก ไม่ต้องถอนคันเร่งคืนช่วยใดๆ
ผมลองมาแล้ว ทำซ้ำกี่สิบครั้ง ก็ได้การตอบสนองเหมือนเดิม
5. ถ้าคุณเท้าหนักปานกลาง เกียร์เปลี่ยน 2,500 รอบหรือมากกว่านั้น คราวนี้อาการหน้าทิ่มวูบก่อนกระตุก
จะมาให้เห็นครับ ซึ่งอันนี้ช่วยไม่ได้เพราะผมจะไปบังคับให้คนที่ชอบเท้าหนักปานกลางใกล้กลายเป็นคน
เท้าเบาผมว่าไม่เข้าท่า แต่วิธีบรรเทาอาการคือพอใกล้ถึงจุดที่คุณต้องการให้เกียร์ชิฟท์ขึ้น ก็ถอนคันเร่งกลับ
1-3 ซม. มันแล้วแต่จังหวะ คุณต้องลองถอนคันเร่งช้า/เร็ว มาก/น้อยดูหลายๆ combination ถ้าฝึกเท้าจนชิน
มันเป็นไปได้ที่จะเปลี่ยนเกียร์ที่ 2,500-3,000 รอบโดยแทบไม่มีอาการกระตุก..ผมกล้าพูดเพราะทำมาแล้ว
ลองมาแล้วเช่นกัน ต่อให้คุณถอนเท้าไม่แม่น อาการวูบกระตุกก็จะน้อยลงมากแล้ว ใกล้เคียงกับเกียร์
อัตโนมัติจริงๆมากกว่าเกียร์ธรรมดา
ผมไม่ได้บอกว่าการที่ต้องมานั่งถอนคันเร่งเป็นเรื่องที่ดี เป็นเรื่องปกตินะ แต่สำหรับคนที่ชอบตัวรถจริงๆ
และกังขาแค่เรื่องนี้ ผมก็นำเสนอว่าที่เขาบอกว่าให้ถอนคันเร่งนิดๆแล้วมันจะกระตุกน้อยลง อันนี้เป็นเรื่องจริง
ส่วนคุณจะทำได้หรือทำไม่ได้ คุณจะมองว่ายากหรือไม่ยาก มันแล้วแต่ความสามารถกับดีกรีการยอมปรับตัว
ของแต่ละคนที่ผมคงไม่ถือวิสาสะไปบอกว่าใครเก่งไม่เก่ง ขับรถเป็นหรือไม่เป็น
นั่นคือขั้นทั่วไป สำหรับคนทั่วไปใช้ Selematic
ส่วนคนที่ใช้ Selematic ได้ทุกท่าแล้ว ผมจะบอกแค่ว่ามันมีช่วงความเร็วบางช่วงที่ควรจำไว้ว่าเกียร์มันจะลงให้ไม่สุด
อย่างเช่นเรารู้กันว่าเกียร์ 1 สุดได้ 50 เกียร์ 2 สุดได้ 95-97 เกียร์ 3 ลากได้ 135-137 เราก็จะนึกว่าพอเล่น Manual
แล้วมันจะลงได้สุดๆ แต่เปล่า อย่างเกียร์ 1 ถ้าวิ่งเร็วเกิน 30 บางครั้งไม่ลงให้ บางครั้งลง
หรืออย่างเช่นวิ่งอยู่ 80 คุณตั้งใจจะตบลง 2 มันจะไม่ลงให้ หรือวิ่ง 120 คุณคิดว่าใช้เกียร์ 3 ได้ มันจะไม่ลงให้เหมือนกัน
แต่ถ้าคุณไม่ซีเรียส การลงเกียร์/ไม่ลงเกียร์ ผลต่างอัตราเร่งออกมาก็ราว 0.5 วิ ผมคิดว่าเยอะ แต่ถ้าคุณคิดว่าน้อย
ก็ไม่ว่ากันเพราะแต่ละคนให้ความสำคัญกับบางเรื่องไม่เท่ากันเสมอไป