ผู้เขียน หัวข้อ: Review Toyota Vios TRD Sportivo 2014(รุ่นแรก)  (อ่าน 46982 ครั้ง)

ออฟไลน์ Tan Int

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 2,665
    • อีเมล์
Review Toyota Vios TRD Sportivo 2014(รุ่นแรก)
« เมื่อ: กุมภาพันธ์ 15, 2016, 17:36:55 »
ก่อนอื่นต้องขอสวัสดีทุกคนก่อนนะครับ ผมกลับมาอีกครั้งพร้อมกับรถ Vios TRD Sportivo (ที่ไม่ใช่รถผม) 


เพราะผมเช่ารถ Vios ไว้กะจะใช้ขับไปเที่ยว(ไม่บอกว่าไปไหน 5555) ตอนแรกก็เดาว่าคงได้รุ่น 1.5J ทั่วๆไปตามประสารถเช่านั่นแหละ ถึงแม้บริษัทที่ผมเช่ามันจะมี Vios 1.5G และผมก็แอบหวังเล็กๆว่าจะได้คันนั้น
แต่พอไปถึงที่รับรถแล้วก็เจอไอ้เทาๆนี่จอดรออยู่ ตอนแรกผมก็ไม่นึกว่านี่จะมาเป็นรถเช่าแต่พอมองรอบๆแถวนั้น All new vios รุ่นที่ผมสั่งมันก็มีคันเดียว และคันที่ผมได้ขับมันก็เป็นคันนี้จริงๆคือเฮ้ย เงิบไปสามตลบ บริษัทรถเช่าอะไรเอารุ่น TRD มาทำรถเช่าฟะเนี่ย แพงรึก็แพง
แต่พอมาดูหมวดทะเบียนมันอีกที อืม ให้เดาคงรถค้างสต็อกจากปีก่อนๆสินะ รถเพิ่งจดทะเบียนเมื่อพฤศจิกายน 2558 แต่ TRD รุ่นนี้มันไม่มีขายมานานแล้วนี่นา สงสัยได้ส่วนลดเยอะเลยคว้ามาทำรถเช่าเท่ๆแหละมั้ง


Vios รุ่นนี้เปิดตัวครั้งแรกเมื่อปลายเดือนมีนาคม 2013 กระแสตอบรับจะว่าดีก็ดีแต่มันก็ยังไม่ถึงกับที่คาดไว้ แถมช่วงนั้น Honda City รุ่นที่ 3 ที่แก่จะลงโลงอยู่แล้วกลับแทบไม่ได้รับผลกระทบอะไร Toyota เองก็รู้ว่าปล่อยไว้ไม่ได้เลยจัดการ Re-Launch เปิดตัวใหม่อีกรอบพร้อมพรีเซนเตอร์ใหม่อย่างเจมส์จิ ครั้งนั้นผู้คนเริ่มรู้จัก Vios ใหม่มากขึ้น แถมเวลาต่อมาก็ไปเอาวง One Direction มาเป็นพรีเซ็นเตอร์อีก ไม่ดังก็ให้มันรู้ไป

จะว่าไปเหตุผลหนึ่งที่ช่วงแรกๆ Vios ยังฉีกหนี City ในด้านยอดขายไม่ได้ส่วนหนึ่งคงเพราะการใช้เครื่องยนต์กับเกียร์ลูกเดิมๆที่ใช้กันมานานร่วมทศวรรษหนึ่งแล้ว ตั้งแต่ลูกยังเล็กจนตอนนี้ลูกเข้ามหาลัยก็ว่าได้ แถมประกอบกับราคาขายที่ถือว่าแพงเกินกว่าสิ่งที่ได้มาในตอนนั้น(สมัยนั้น Vios รุ่นท็อปแพงกว่าชาวบ้านประมาณ 30,000 บาท) และออปชั่นที่ก็ยังงกเหมือนเดิม Vios เลยลำบาก แต่ด้วยชื่อ Toyota บวกกับโปรโมชั่นกระหน่ำยิ่งกว่าซัมเมอร์เซลล์ก็ทำให้ Vios ประคับประคองตัวเองรอดมาได้เป็นเดือนๆ แต่พอหลังจากที่ Honda เปิดตัว New City เมื่อต้นปี 2014 ปุ๊บ Vios ยิ่งลำบากไปกันใหญ่ เพราะพูดกันตามตรงระบบความปลอดภัยและลูกเล่นทั้งหลาย Vios เทียบ City ไม่ติดเลย(แต่ในเรื่องสมรรถนะก็ไม่แน่นะ)

จนบางเดือนยอดขายก็แพ้ City และต่อให้ชนะก็ชนะมาได้แค่ปลายเล็บ ไม่ค่อยมีที่จะนำโด่งแบบทิ้งห่าง แต่ City ก็ชนะได้แค่ปลายเล็บเหมือนกัน ทั้งคู่ก็ยังคงต่อสู้กันต่อไปอย่างสูสีผลัดกันแพ้ผลัดกันชนะอยู่อย่างนั้น

มาถึงรุ่น TRD บ้าง กระแส TRD เท่าที่ผมจำได้มันเริ่มประมาณปี 2009 ที่ Toyota เอา Yaris 1.5J มาแต่งและใช้ชื่อ Yaris TRD Sportivo รู้สึกว่าครั้งนั้นลงทุนใส่โช้ค TRD มาให้ด้วย เป็นรถ Toyota TRD Sportivo รุ่นแรกๆของบ้านเราก็ว่าได้ หลังจากนั้นก็ยกโขยงมากันหมดทั้ง Vios Altis Fortuner และ Vigo นี่ยังดีที่ Commuter ไม่เอากับเขาด้วยไม่งั้นเราคงได้เห็นวินรถตู้สไตล์สปอร์ต

Vios TRD Sportivo รุ่นที่ยกมาทำรีวิวนี้เป็นรุ่นปี 2014 ก็คือเป็น TRD ตัวแรกของเจเนอเรชั่นนี้ ส่วนตัวที่สองเพิ่งออกปีที่แล้ว อันนั้นจะได้ไฟโปรเจกเตอร์ กระจังแถบดำและอะไรก็ไม่รู้ที่ผมก็จำไม่ได้ 5555 เอาเป็นว่าเราเอาแค่ตัวแรกนี่ก่อนดีกว่า

รุ่นนี้ราคาตอนมือหนึ่งอยู่ที่ 679,000 บาท เพิ่มอีก 20,000 บาทก็ไปหา 1.5G รองท็อปได้ทันที และส่วนต่างจาก 1.5J AT อันเป็นพื้นฐานของตัวนี้คือ 90,000 บาท! ราคาที่เพิ่มกับสิ่งที่ได้มาส่วนตัวแล้วผมว่าแพงมากเกินกว่าจะยอมรับได้ ส่วนรุ่นใหม่ปี 2015 ราคาประมาณ 694,000 บาท ก็ย่อมไปกว่ารุ่น G แค่ห้าพันแต่ก็ได้ของเยอะขึ้น ผมก็ไม่รู้ว่าคุ้มดีรึเปล่านะ แต่มันก็มีวิ่งให้เห็นประปราย แสดงว่ามันก็พอขายได้นั่นแหละ มันคงต้องมีอะไรซักอย่างที่ถูกใจบ้างแหละน่า
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กุมภาพันธ์ 15, 2016, 18:55:55 โดย Tan Int »
1994 Civic EH9 (4dr) VTi (Made in Japan)
1998 Civic EK 1.6VTi-E Special Edition
2011 Corolla Altis E CNG (Come back)

ออฟไลน์ Tan Int

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 2,665
    • อีเมล์
Re: Review Toyota Vios TRD Sportivo 2014(รุ่นแรก)
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 15, 2016, 17:54:29 »


TRD สร้างขึ้นบนพื้นฐานรุ่น J AT รูปร่างหน้าตาแตกต่างจาก Vios ธรรมดาอยู่พอควร ด้านหน้าก็มีกันชนกับไฟตัดหมอกที่เพิ่มเข้ามา(แต่กันชนลายนี้ของแต่งนอกศูนย์ก็มีเยอะแยะ) อ้อ TRD รุ่นแรกมี 2 สีคือขาวกับเทา
ส่วนตัวไม่ชอบไฟหน้าตัวธรรมดาเท่าไหร่ เหมือนออกแบบให้ดูไม่สวยเพื่อให้คนไปซื้อรุ่นที่เป็นไฟโปรเจกเตอร์ยังไงไม่รู้


ด้านหลังมีสปอยเลอร์แบบตูดเป็ดและกันชนหลัง(ไม่อยากจะพูดว่ากันชนเพราะอันที่จริงก็คือชุดแต่งเอามาแปะ) และปลายท่อสแตนเลส และถ้าสังเกตดีๆ ชุดแต่งทุกชิ้นทั้งกันชนหน้า ข้าง หลัง สปอยเล่อร์ ปลายท่อ จะมีโลโก้ TRD Sportivo ติดอยู่


ด้านข้างเห็นได้ชัดกับสติกเกอร์ TRD สีแดง สเกิร์ตข้าง และล้อแม็ก 15 นิ้วที่ไม่รู้ว่าใครออกแบบ ถ้าดูแล้วบางก้านมันจะเหมือนโค้งๆนิดๆ แต่บางก้านก็ตรง ดูไม่ค่อยสมดุลเท่าไหร่ แต่ที่จริงเป็นเพราะการทำสี
ตัวรถยาว 4410 mm กว้าง 1700 mm สูง 1475 mm ฐานล้อ 2550 mmเทียบกับคู่แข่งหลักอย่าง Honda City ที่ยาว 4440 mm กว้าง 1695 mm สูง 1477 mm(เพราะเสาอากาศแบบครีบฉลาม) ฐานล้อ 2600 mm  แล้ว Vios สั้นกว่า กว้างกว่านิดเดียว ความสูงพอกัน ฐานล้อสั้นกว่า แต่ดูรถคันจริงแล้วอาจจะรู้สึกว่า Vios ยาวกว่าเพราะเส้นสายตัวรถของมันเป็นลิ่มเป็นแนวตรงมากกว่า City


เปิดประตูเข้ามากันบ้าง รุ่นนี้จะเห็นได้ว่าถูกตกแต่งมาอย่างดีมากกกกกกกก จน Vios S อาจจะต้องยอมเพราะมันมีเบาะหนัง(S ยังเป็นผ้ากำมะหยี่สีน้ำเงิน) ส่วนตัวชอบมากกับดีไซน์และการตกแต่งของมันแต่ไม่ชอบวัสดุ
ถ้าเปิดประตูตอนกลางคืนจะเห็นไฟส่องสว่างในห้องโดยสารที่มีจุดเดียวถ้วนคือตรงด้านหน้า มันจะค่อยๆสว่างขึ้นมาอย่างมีระดับ(?) และพอล็อกประตูหรือบิดกุญแจไป on แล้วมันก็จะค่อยๆดับไปอย่างสมูท อันนี้ก็ถือว่าเอาใจใส่ดีเพราะมันมีมาตั้งแต่รุ่นที่แล้วแล้ว ลองตัดออกอีกอันคงโดนด่าแย่ 55555


แผงประตูตะเข็บในตำนาน อันที่จริงถ้ามองข้ามเรื่องวัสดุที่แข็งและความกลวงนิดๆของประตูไปมันก็ใช้ได้อยู่นะ(รุ่นที่แล้วกลวงหนักมาก) เสียงปิดประตูแน่นและปึ้กกว่ารุ่นที่แล้วชัดเจนและเริ่มเข้าใกล้ C-segment ยุคซัก 5 ปีก่อนมากขึ้น แต่ก็ยังรับรู้ถึงความบางและกลวงอยู่หน่อยนึง  และรุ่น TRD ตรงแผงควบคุมกระจกไฟฟ้าจะเป็นสีเงินๆ ซึ่งรุ่น J จะไม่มี


เบาะมีปั๊มตัวหนังสือ TRD Sportivo ให้ตรงส่วนรองรับหลัง เบาะ Vios ตัวนี้แน่นกำลังดีละ ให้ความรู้สึกกระชับดี(ผมสูง 168 หนักประมาณ 60 นะ) ส่วนรองรับขาดีขึ้นแต่ก็สั้นไป ถึงผมจะเตี้ยแต่ก็ขายาวเลยรู้สึกได้  เบาะติดแข็งนิดนึงแต่ดีขึ้นกว่าตัวที่แล้วที่ไม่รู้จะแข็งแข่งเบาะรถเมล์หรือเปล่า

การปรับเบาะขึ้นหน้าหลัง รุ่นนี้ปรับถอยได้เยอะมากๆ แต่ดันปรับพวงมาลัยให้ใกล้ไกลตามไม่ได้ ตำแหน่งนั่งขับในตอนแรกอาจจะแปลกๆขัดๆนิดนึงแต่ก็สามารถทำความคุ้นเคยกับมันได้ แต่ในส่วนตัวก็ไม่ชอบตำแหน่งนั่งขับแบบนี้เท่าไหร่ ส่วนเรื่องความสูงของเบาะ ปรับต่ำสุดแล้วก็ยังมีความรู้สึกว่าสูงนิดๆ เหมือน Toyota รุ่นอื่นๆจะเป็นกัน

ผิวสัมผัสหนัง ออกลื่นๆแต่ไม่ได้ลื่นนรกแตกแบบ Camry Hybrid ตัวที่แล้ว ลื่นในระดับที่พอให้นั่งสบาย หนังยืดหยุ่นในระดับหนึ่งๆ ถือว่าทำเลียนหนังจริงได้ดีแต่มันก็ยังดูรู้อยู่


คอนโซลหน้าออกแบบมาฉีกแนวไปจาก Vios เดิมๆ ตรงที่เอามาตรวัดกลับมาอยู่ในที่เดิมอย่างที่รถยนต์ทั่วไปจะกระทำ และแปลกตานิดหน่อยตรงที่เอาชุดเครื่องเสียงไปไว้บนสุด แต่นั่นก็ทำให้มันใช้งานง่าย อันนี้ชอบ ดีไซน์ภาพรวมดูออกไปทางรถหรูมากขึ้น


มาตรวัด 3 วง วงใหญ่สะใจดี อ่านง่ายและมีความรู้สึกว่ารถมันเร่งเร็วเพราะเข็มมันยาวเวลามันกวาดขึ้นทีดูเหมือนจะขึ้นไปเยอะ 5555
จอตรงกลางถึงจะมีเหมือนกันทุกคันแต่การแสดงผลแตกต่างกัน รุ่น G กับ S จะมีฟังก์ชั่นอื่นๆเพิ่มเข้ามา J กับ E อดไปตามระเบียบ
เข็มน้ำมันวงใหญ่และรู้สึกว่ามันดูแปลกๆ คือมันใหญ่เกินกว่าจะเป็นมาตรวัดน้ำมันแล้ว(แบ่งพื้นที่ใส่มาตรวัดอุณหภูมิบ้างก็ได้นะ) คล้ายๆ City กับ Jazz สมัยก่อนเลย ไม่มีมาตรวัดอุณหภูมิห้องเครื่องให้เหมือนอย่างที่ผ่านๆมา เป็นสัญลักษณ์ปรอทสีฟ้ากับสีแดงแทน เวลาสตาร์ทเช้าๆอากาศเย็นๆไอ้ปรอทฟ้าก็อาจจะติดสักแป๊บนึงถึงจะหายไป
จริงๆผมแอบเห็นเงาสัญลักษณ์ 120 km/h ตรงข้างๆจอ MID ด้วย ไม่รู้ว่าเป็นระบบอะไรแต่ที่แน่ๆไทยคงไม่ได้ใช้


ตอนกลางคืนก็ประมาณนี้ มีไฟ ECO ให้ด้วยนะ และไฟไม่ได้ติดพร่ำเพรื่อไร้สาระมากนัก 


พวงมาลัยหุ้มยูรีเธนและนั่นหมายความว่ารอยตะเข็บเป็นของปลอม แต่ดันมีด้ายจริงอยู่? เพราะไอ้คันนี้ด้ายเริ่มหลุดนิดๆแล้ว
เอาใหม่ ผมหาข้อมูลมา พวงมาลัยและหัวเกียร์ Vios TRD หุ้มหนังนะครับ 5555 อันนี้ยอมรับว่าผมเข้าใจว่ามันคือยูรีเธนมาตลอดจนมาหาข้อมูลอีกทีนี่แหละถึงได้รู้ว่ามันคือหนัง เพราะสัมผัสอะไรต่างๆมันออกแนวยูรีเธนมาก ก็ว่าอยู่ยูรีเธนอะไรมีด้ายจริงหลุดออกมา
ดีไซน์น่าจะลอกเลียนแบบ Yaris เวอร์ชั่นสากล แต่คงขี้เกียจออกแบบไปหน่อยมันเลยดูแบนๆแปลกๆ จริงๆมันสวยนะถ้าเพิ่มมิตินูนหรือเว้าอะไรซักหน่อย อันนี้พื้นผิวมันดู Flat เรียบไปด้วยกันหมดมันเลยดูลดต้นทุนไปหน่อย ให้อารมณ์เดียวกับ MG6 นั่นแหละ
ก้านไฟเลี้ยว อันนี้ผมชอบ ความแน่นและสัมผัสต่างๆดีขึ้นมาก ตัวที่แล้วก้านไฟเลี้ยวคือ look cheap แต่ตัวนี้คล้ายๆ altis รุ่นก่อน เสียงไฟเลี้ยวดัง ปิ๊ก-ป่อก แบบที่ฟังดูแล้วเหมือนรถหรูมากกว่าจะดังแต๊กๆๆ แบบรุ่นก่อน
 

ตรงกลางนี่ไล่ทีละชิ้นเลย เครื่องเสียง รุ่นปกติตั้งแต่ J E G S เป็นปุ่มเหมือนกันหมด แต่พวกรุ่นตกแต่งพิเศษของ Toyota ไม่รู้เป็นธรรมเนียมอะไรต้องให้หน้าจอสัมผัสมาตลอด แต่ก็ดีแล้วจะได้ไม่ต้องไปเปลี่ยนเอง

แต่การประกอบตรงกลางผมว่าคันนี้มีปัญหานิดนึง เวลาขับจะได้ยินเสียงแปลกๆตรงไอ้ฟรอนต์เครื่องเสียงนี่แหละ เหมือนมีชิ้นส่วนไหนซักส่วนที่ประกอบมาไม่ดี แต่ถ้าไม่นับตรงนี้ ในส่วนอื่นๆก็ทำได้ดีพอสมควร

เครื่องเล่นหน้าจอ Touch Screen ที่ไม่ชอบการทำอะไรเหยาะแหยะ เวลากดต้องเน้นนิดนึง จะแตะเบาๆแบบสมาร์ตโฟนนี่มันไม่ทำงานให้ ฟังก์ชั่นการใช้งานต่างๆคล้ายจอ Camry 2.5G ที่ผมเคยขับ รองรับ Smart G-Book(ตอนนี้เปลี่ยนเป็น T-Connect รึเปล่า)การเชื่อมต่อมีมันหมดแทบทุกอย่างทั้ง AUX USB SD Mic มีบลูทูธแต่ดันไม่มีปุ่มบนพวงมาลัยมาให้ ก็ไม่รู้ว่าระหว่างเชื่อมบลูทูธกับใช้โทรศัพท์ไปเลยอะไรจะสะดวกกว่ากัน

การใช้งานเข้าใจง่าย แต่ลองสังเกตหน้าตรงนี้ดีๆ มันไม่มีแถบเพิ่มลดระดับเสียงให้ ถ้าจะปรับระดับเสียงต้องกดปุ่มตรงขวามือก่อนแล้วแถบปรับระดับเสียงเล็กๆจะขึ้นมาให้ทางซ้าย อันนี้ไม่สะดวกและแก้เหอะ ตอนมันอยู่ใน Camry ไม่ว่าอะไรเพราะมันมีปุ่มบนพวงมาลัยไง

คุณภาพเสียงพอตัว จัดว่าดี การแยกรายละเอียดเสียงใสเสียงเบสดี คือถ้าตั้งใจฟังจะรู้เลยว่ามันมีการแยกเสียงเกิดขึ้น เสียงแหลมถ้าปรับสุดก็พอไปได้ เสียงเบสถ้าปรับสุดก็หนักอยู่เหมือนกัน มีระบบ Auto sound leveling ให้เหมือนเดิม การทำงานชัดเจนมากๆ ถ้าสมมติขับ 100 แล้วเบรกกะทันหันคุณจะรู้เลยว่าเครื่องเสียงมันเบาลงชัดเจน (อันนี้ไม่แน่ใจว่ามันมีปรับว่าจะเพิ่มเสียงมากหรือน้อยได้เหมือน Altis รุ่นที่แล้วรึเปล่า)


สวิตช์แอร์ฝากระบอกยาที่หนากว่าเดิม การปรับอะไรต่างๆคล้ายรุ่นเดิมยกเว้นการปรับรับอากาศภายนอกเข้ารถที่ย้อนกลับไปเป็นสมัยยี่สิบปีที่แล้วที่ยังใช้รางเลื่อนอยู่ (รุ่นที่แล้วเป็นแหวนบิด) แต่ถึงอย่างนั้น BR-V ใหม่แอร์ดิจิตอลอย่างดีอย่างสวยแต่ปรับรับอากาศเข้าแบบรางเลื่อนเหมือนกัน มีสวิตช์ไล่ฝ้ากระจกหลังแอบซ่อนตัวอยู่ตรงขวามือ

แอร์เย็นเร็วเย็นแรงตามสไตล์ Toyota ตลอดการขับผมปรับน้ำยาแอร์แค่เท่านั้นจริงๆมากกว่านั้นคือหนาว
และพื้นผิวสีดำๆตรงเครื่องเสียง ช่องแอร์กับแผงควบคุมแอร์ ในรูปอาจจะเห็นว่าก็แค่สีดำเงาแต่ของจริงมันจะเป็นพื้นผิวแบบแปลกๆไม่ได้เรียบๆ อย่างที่เห็น ทำให้ดูมีอะไรมากยิ่งขึ้น มองไกลๆจะคล้ายคาร์บอนไฟเบอร์แต่ไม่ใช่ มันเป็นจุดๆต่อกันเป็นแนวเส้น


กล่องคอนโซลกลางอันเป็นมิติพิศวงเพราะของที่วางไว้อาจจะลงไปกองกับพื้นได้อย่างไม่รู้ตัว ถ้าไม่อยากให้ของหล่นต้องขับแบบเรียบร้อยอย่าเหวี่ยงอย่าเล่นโค้งใดๆให้รถเอียง หรือมันคือความจงใจของคนออกแบบเพื่อให้คนขับรถเรียบร้อยกันแน่?

เกียร์อัตโนมัติ 4 สปีดขั้นบันไดหน้าตาคล้ายๆ Camry พร้อมเบรกมือที่น้ำหนักการดึงและประสิทธิภาพการเหนี่ยวรั้งล้อห่วยเหมือนเดิม น้ำหนักการดึงเหมือน Almera คือดึงแล้วมันวืดมาตามมือเลย ไม่มีการหน่วงน้ำหนักเหมือนพวกรถใหญ่ ดึงแล้วมีความรู้สึกว่ามันไม่น่ารั้งล้อไว้อยู่เลย


อ้อ วัสดุสีเงินตรงฐานเกียร์รวมไปถึงบนคอนโซลกับประตูข้าง เวลาโดนแดดในมุมที่เหมาะมันจะออกเป็นสีเข้มๆคล้ายๆไททาเนียม อันนี้ชอบ มันดูดีและดูไม่ไก่กาเหมือนสีเงินใน Altis รุ่นที่แล้ว ด่ารถเก่าตัวเองเลยเอ้า(อันนั้นคือสีเงินธรรมดาไม่มีเงาใดๆ)


ด้านหลังพื้นที่เยอะใช้ได้ เทียบกับ Altis เก่าผมแล้วผมว่าไล่ๆกัน แต่ความกว้างอาจจะน้อยกว่านิดหน่อย นิดเดียวจริงๆไม่จับผิดก็ไม่รู้ เผลอๆผมว่ากว้างเท่ากันด้วยซ้ำ Leg room ถ้าสมมติคนขับปรับเบาะมาสุดเลยจริงๆ ก็จะแคบหน่อย แต่พอโดยสารไปได้ แต่คงไม่มีใครขับ Vios รุ่นนี้แล้วปรับเบาะสุดหรอกมั้งเพราะเบาะมันลึกมาก
สังเกตว่าเบาะคู่หน้ามีซองใส่เอกสารครบสองฝั่ง อันนี้ก็หนึ่งในออปชั่นที่ Toyota หวงได้ก็หวง อย่าง Altis เก่าผมรุ่น E มีช่องเก็บเอกสารแค่ฝั่งคนนั่ง แต่รุ่น G มีครบ คือก็ขยันแยกเนาะ ให้มาจบๆสองฝั่งง่ายกว่ามั้ย
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กุมภาพันธ์ 16, 2016, 12:43:28 โดย Tan Int »
1994 Civic EH9 (4dr) VTi (Made in Japan)
1998 Civic EK 1.6VTi-E Special Edition
2011 Corolla Altis E CNG (Come back)

ออฟไลน์ Tan Int

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 2,665
    • อีเมล์
Re: Review Toyota Vios TRD Sportivo 2014(รุ่นแรก)
« ตอบกลับ #2 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 15, 2016, 18:07:17 »

เครื่องยนต์ อย่างที่เราคุ้นหน้าค่าตากันดี 1NZ-FE 1.5L 109 แรงม้า แรงบิด 141 นิวตันเมตร ในรุ่นนี้มีสิ่งเดียวที่เปลี่ยนไปจากรุ่นก่อนหน้าคือยางรองแท่นเครื่อง =.=

เสียงเครื่องตอนสตาร์ทติดฟังดูแปลกๆ เสียงเหมือนตัวอะไรครางไม่รู้ ไม่น่าฟังเท่าไหร่ แต่ไม่แย่เท่า Mirage อันนั้นได้ยินเสียงเครื่องครั้งแรกแล้วตกใจ ใส่เกียร์ D กดคันเร่งปุ๊บ อืม วีออสรุ่นที่แล้วเป็นยังไงรุ่นนี้ก็ตามนั้นแหละครับ เหมือนเครื่องจะหน่วงนิดนึงแต่มันก็พุ่งไปเรื่อยๆ การตอบสนองถือว่าดีเกินกว่าที่คาดหวังไว้นิดหน่อยกับเครื่องกับเกียร์ยุคโบราณกาลแบบนี้

ตัวนี้มีระบบที่เพิ่มคือ Brake Override เพราะช่วงนั้น Toyota มีชื่อเสียเรื่องคันเร่งค้างเยอะ เขาเลยคิดระบบนี้มา
ในกรณีที่มีการเหยียบคันเร่งและเบรกพร้อมกัน รถจะหน่วงความเร็วลงทันทีจนหยุด เพราะรถจะคิดว่าคันเร่งค้าง
อันนี้ระบบที่แอบมีเงียบๆใน Toyota แทบทุกรุ่นตั้งแต่ปี 2012 เป็นต้นมา


ถึงแม้จะเป็นเกียร์อัตโนมัติ 4 สปีดโบราณกาลไปหน่อยแต่ในแง่การใช้งานมันก็ใช้ได้ ผมจำรอบเครื่องที่เกียร์ 4 ไม่ได้ รู้แต่ว่ามันก็สูงหน่อยถ้าเทียบกับพวกรถ CVT แต่ยังไม่น่าเกลียดมาก ถ้าขับทางไกลนิ่งๆ ใช้แค่เกียร์ 4 อย่างเดียวคงทำอัตราสิ้นเปลืองโอเคอยู่ การทำงานถือว่าฉลาดดี เวลาเจอทางชันหรือเนินก็ปรับเกียร์ได้เหมาะสม เวลาเร่งแซงก็ปรับตามน้ำหนักเท้าได้ดี การเปลี่ยนจังหวะถือว่าดี ไม่กระชาก และไม่กระตุกบ้าบอแบบรุ่นที่แล้ว รายนั้นวิ่งเกียร์ 4 แล้วมีอาการสั่นๆอะไรไม่รู้ รุ่นนี้ก็มีแต่น้อยลงแล้ว สรุปคือโอเค ไม่เลวร้ายเลย


พวงมาลัย ตัวนี้ถือว่าดีขึ้นมากกกกกกกก เรื่องความนิ่งดีขึ้นแต่ก็ยังไม่ได้ดีมากนัก ความเร็วต่ำน้ำหนักมันเบากำลังดีและความเร็วสูงมันไม่ได้เบาจนน่ากลัวเท่าไหร่ ผมขับเร็วสุดถึงแค่ 130 ยังไม่เครียดมาก (ส่วนหนึ่งอาจจะเพราะผมคุ้นเคยกับพวงมาลัย Toyota ด้วย เพราะส่วนมากชีวิตก็วนเวียนกับ Altis Vigo อยู่ละ) ความแม่นยำใช้ได้ มีความรู้สึกว่าต้องหักเยอะกว่าปกตินิดๆเหมือนเดิมแต่ก็ไม่ได้เป็นปัญหาใหญ่ สรุปคือพวงมาลัยผ่าน ดีขึ้นกว่ารุ่นที่แล้ว แต่ถ้าสำหรับคนที่ชอบขับรถเร็วๆและต้องการความมั่นใจด้วยแล้วคงอยากให้มันมีน้ำหนักที่ดีกว่านี้ มีความนิ่งที่มากกว่านี้

เบรก ดีขึ้นกว่าตัวที่แล้วที่ต้องกดลึกหน่อย แถมตัวที่แล้วชอบจิก ตัวใหม่ก็ยังต้องกดลึกนิดๆ แต่ก็นิดๆไม่ได้แย่ และเบรกไม่จิกมากแบบรุ่นก่อน เบรกให้ความรู้สึกว่าเอาอยู่ถ้าไม่ขับเร็วเกิน 120 แต่ข้อระวังคือล้อล็อก เพราะมันไม่มี ABS อย่างเช่นที่ผมเจอมา กำลังขับตาม Swift ลงเขามา เขาเบรกแล้วผมเหม่ออยู่ คือเหม่อในที่นี้ไม่ใช่ไม่เบรกนะ เบรกแต่กะน้ำหนักน้อยกว่าที่ควรเพราะไม่คิดว่าเขาจะเบรกแรง ทีนี้พอใกล้โค้งหักศอกและเห็นแล้วว่าเขาเบรกแรงผมก็กดเพิ่ม ไม่ได้กดมิดนะ กดไปซัก 70% เสียงยางบดถนนเอี๊ยดดดดดดดดดด พร้อมกับอาการล้อหน้าตาย ยังดีที่รถไม่ไถลออกนอกเลนไม่งั้นคงไมได้มานั่งพิมพ์อยู่ตรงนี้ 5555 สรุปคือระวังล้อล็อกไว้หน่อยนั่นเอง


ช่วงล่าง ที่เขาโฆษณามาคือระบบ V-control ที่ผมก็ไม่รู้ว่ามีอะไรบ้าง รู้แค่ว่ามันดีขึ้นชัดเจนพอสมควร ความนุ่มและนิ่งในการเดินทางไกลดีมากจนผมแทบไม่เชื่อว่ามันคือเก๋งเล็กจาก Toyota มันนุ่มในแบบกำลังดี ถึงจะมียวบๆบ้างและผมก็อยากให้มันกระชับขึ้นกว่านี้ แต่สำหรับคนทั่วไปที่ไม่ได้ใส่ใจเรื่องนี้มากเท่าไหร่ มันก็จัดว่าดีแล้ว พอมีความสบายในการเดินทางหลงเหลือ เวลาผ่านถนนไม่เรียบหรือลูกระนาดทั้งหลายการซับแรงทำได้ดีพอสมควร
การบังคับควบคุมภาพรวมถือว่าโอเค แต่ว่าเวลาเลี้ยวแบบเล่นโค้งเยอะๆ หรือโค้งมุมหักมากๆ มันจะออกอาการหน้าดื้อให้เห็นง่าย และรถไม่ค่อยเหมาะที่จะเล่นโค้งต่อเนื่องไม่ว่าเหตุผลใดๆจนกว่าคุณจะไปโมดิฟายช่วงล่างมาก่อน ยิ่งประกอบกับรถไม่มี ABS EBD BA แล้วยิ่งไม่สมควร

อัตราสิ้นเปลือง อันนี้ผมก็ไม่รู้จะตัดสินยังไง เอาเป็นว่าผมจะเล่า Condition การเดินทางก่อน รถมีน้ำมันเต็มถังมาให้ตั้งแต่แรกแต่ผมไม่รู้ว่ามันคือน้ำมันอะไร ผมเริ่มเดินทางจาก จ.เชียงใหม่เวลาประมาณ 18.10 ฝ่ารถติดนิดหน่อยและไป อ.ปาย จ.แม่ฮ่องสอน ถึงปากทางตรง อ.แม่ริมประมาณ 19.10 น. (คิดดูว่าฝ่ารถติดแค่ไหน) หลังจากนั้นก็เดินทางต่อจนถึงตัว อ.ปาย ประมาณ 21.20 แน่นอนว่าสภาพการเดินทางคือตอนกลางคืนและเป็นทางขึ้นเขาลงเขา ผมก็ไม่ได้ใช้ความเร็วมากอยู่แล้ว ตอนขึ้นเนินก็มีกดคันเร่งบ้างแต่กดแค่ให้รถไปรอดไมได้กดมิดอะไรขนาดนั้น

และผมก็ขับวนไปวนมาในตัวอำเภอปายอีกเยอะพอสมควร วนในเมืองนี่น่าจะเกือบสิบรอบแถมออกนอกตัวเมืองไปดูทะเลหมอก(ที่แทบไม่มีหมอก)อีก จนถึงเช้าวันต่อมาก็ไปเติมน้ำมัน


ระยะทางที่จับตั้งแต่ได้รถมาจนถึงปั๊มคือ 211.9 km เติมน้ำมัน E20 กลับไป 410 บาท ได้ 19.78 ลิตร ถ้าคิดอัตราสิ้นเปลืองสำหรับตอนนี้คือ 10.71 กิโลเมตร/ลิตร ดูเหมือนเปลืองแต่ก็ต้องไม่ลืมว่าผมเจอรถติดเยอะ และขับขึ้นเขาอีก รถแทบไม่มีโอกาสแตะเกียร์ 4 แถมดับเครื่องติดเครื่องใหม่บ่อยพอสมควรเพราะขับวนๆในตัวอำเภอแล้วก็จอด วนแล้วจอดๆ สลับกันเยอะอยู่ ได้เท่านี้ก็ว่าสมเหตุสมผลดีอยู่

และน้ำมันถังถัดไป ผมขับกลับจาก อ.ปาย ไป จ.เชียงใหม่บ้าง สภาพเส้นทางส่วนใหญ่เป็นทางลงเขาผมก็ดึงเกียร์ 2 มาใช้ Engine Brake บ่อยๆ และจอดดับเครื่องติดเครื่องบ่อยเหมือนเดิมเพราะแวะตามทางไปเรื่อยๆ พอก่อนถึงตัวเมืองเชียงใหม่ ช่วงนี้เป็นถนนตรงยาวผมก็อัดอย่างเดียว แต่ก็ไม่ได้เร็วกว่า 120 นะ แต่ประมาณว่าเร่งๆเบรกๆบ่อย มาถึงเชียงใหม่ก็เจอรถติดตรงหน้า รร.ปรินส์อีก ไม่พอ ยังขับวนเล่นแถวถนนซุปเปอร์ไฮเวย์อีก อันนี้รถไม่ติดและไม่รู้เหมือนกันว่าจะวนไปเพื่ออะไร 5555


ครั้งนี้วัดระยะทางได้ 199 กิโลเมตร เติมน้ำมัน E20 กลับไปจนเต็มเหมือนเดิม เติมไป 340 บาท ได้ 16.75 ลิตร หรือคิดแล้วเท่ากับ 11.88 กิโลเมตร/ลิตร......ก้ถ้าย้อนไปดูว่าผมขับยังไงและเติมน้ำมันอะไร มันก็เป็นอะไรที่ยอมรับได้

เกียร์อัตโนมัติ 4 สปีดคือปัจจัยหลักๆของอัตราสิ้นเปลืองเลยก็ว่าได้ เพราะถึงลักษณะการใช้งานจะโหดแค่ไหนแต่ในขากลับที่แทบไม่ได้เร่งมากเลยแบบนี้(มีเร่งแบบกดมิดบ้างแต่ก็นิดหน่อย) มันน่าจะทำตัวเลขซัก 13 กิโลเมตร/ลิตรได้แล้ว(คือถ้าทำได้จะเจ๋งมาก) แต่การมาเชื่อมกับเกียร์ที่มีแค่ 4 อัตราทดแบบนี้มันก็เลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องให้น้ำหนักค่อนไปทางใดทางหนึ่งระหว่างสมรรถนะกับอัตราสิ้นเปลือง ถ้า Toyota จะทำให้มันประหยัดกว่านี้ก็ทำได้แต่ก็ต้องแลกกับการปรับอัตราทดให้ต่ำลง และนั่นหมายความว่าสมรรถนะการเร่งก็ลดลงไปด้วย นั่นคือข้อเสียที่รถจำนวนอัตราทดเกียร์น้อยต้องเจอ ถ้าเกิดรถมีเกียร์ซักซัก 5-6 จังหวะความได้เปรียบก็จะมา เพราะมันมีความหลากหลายมากขึ้น อย่างน้อยก็ซอยอัตราทดได้ย่อยขึ้น เกียร์แรกอาจจะเซ็ตมาเหมือนเดิมหรือแรงกว่าเดิมได้ เกียร์กลางๆ ก็เซ็ตให้ใช้รอบน้อยลงได้ เกียร์สุดท้ายก็เป็นไปได้ที่จะทดได้ต่ำกว่าและแน่นอนว่ามันทำให้ประหยัดกว่า

***และอันนี้ผมสงสัยอย่างหนึ่ง คือใน Vios ผมไม่แน่ใจว่ามันมีเกียร์ Overdrive หรือเปล่า เพราะถ้าเป็นอัตโนมัติ 4 สปีดใน Altis รุ่นที่แล้วมันมี Overdrive ให้ มันจะคล้ายๆว่ารถมีเกียร์ 5 จังหวะ แต่ใน Vios เท่าที่ผมจำไม่ผิดรถมีการเปลี่ยนเกียร์แค่ 3 ครั้งเท่านั้นคือ 1>>2>>3>>4 ถึงเกียร์ 4 แล้วก็คือสุดเลย หรือว่าเป็นความเข้าใจผิดของผมเองก็ไม่รู้***

 ในการขับทางไกลพยายามอย่าเร่งแซงบ่อย หรือถ้าแซงก็คือให้ไปแบบไหลเอา อย่าให้รถต้องลงเกียร์ 2 3 และคาเกียร์ 4 ให้ได้นานที่สุด ถ้าทำได้รถก็คงทำอัตราสิ้นเปลืองได้ดีกว่านี้แน่ๆ

สรุป: รถรุ่นนี้ก็มีคุณสมบัติที่ทั้งดี กลางๆและควรปรับปรุงปะปนกันไป แต่ส่วนใหญ่ก็อยู่ในระดับกลางๆ ไม่ดีเด่นแต่ก็ไม่แย่จนน่าเกลียด คุณภาพตัวรถดีขึ้นทั้งคันแต่ข้อเสียหลักๆคือการให้อุปกรณ์ความปลอดภัยและลูกเล่นต่างๆน้อยเกินไป และการใช้เครื่องกับเกียร์ที่ยังอยู่ในยุคสิบปีที่แล้วอยู่ ถึงการทำงานมันจะเป็นอะไรที่ยอมรับได้แต่ผมก็คิดว่ามันน่าจะได้ดีกว่านี้ได้แล้ว

แต่ก็ด้วยความที่มันยังใช้อะไรเดิมๆก็ดันไปเป็นผลดีในอนาคต เพราะตอนนี้เครื่อง 1NZ เริ่มกลายเป็นเครื่องพื้นฐานเหมือนเครื่อง A ของ Toyota ในอดีตเข้าไปทุกที มีรถที่ใช้เครื่องยนต์นี้วิ่งอยู่เยอะและหมายความว่าอะไหล่ การซ่อมก็ง่ายและถูกตามไปด้วย แถมระบบไฟฟ้าที่ไม่ซับซ้อนมากเพราะมันแทบไม่มีลูกเล่นแสนกลอะไรเลยก็ง่ายกว่าสำหรับการดูแลรักษา และเป็นไปได้ที่จะมีปัญหาจุกจิกน้อยกว่าด้วย



ข้อดีที่ผมมองเห็นก็คือที่พูดไปข้างบนนั่นแหละ อันนั้นคือดีแบบเด่นเลยใครก็ให้ไม่ได้เลยนะ ส่วนข้อเลียหลักๆก็คืออัตราสิ้นเปลืองที่ถ้าไม่ใช่การเดินทางไกลแบบแช่เกียร์ 4 ไว้ มันไม่น่าจะประหยัดเท่าไหร่ ยุคนี้สมัยนี้มันควรจะดีขึ้น และเรื่องอุปกรณ์ความปลอดภัย รุ่นล่างสุดยังไม่มี ABS ให้อีก ทั้งที่คู่แข่งบางคันเริ่มมีระบบควบคุมการทรงตัวทุกรุ่นแล้วด้วยซ้ำ

ก็คงไม่มีอะไรมากไปกว่านี้ อาจจะกลับมาเจอกันใหม่โอกาสหน้า โอกาสไหนก็ไม่รู้ 5555 ขอบคุณที่ทนอ่านจนจบและสวัสดีครับ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: เมษายน 02, 2016, 17:08:38 โดย Tan Int »
1994 Civic EH9 (4dr) VTi (Made in Japan)
1998 Civic EK 1.6VTi-E Special Edition
2011 Corolla Altis E CNG (Come back)

ออฟไลน์ NINENOI

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 5,702
  • Nine & Knight
Re: Review Toyota Vios TRD Sportivo 2014(รุ่นแรก)
« ตอบกลับ #3 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 15, 2016, 18:21:46 »
ขอบคุณครับ อ่านกันเพลินๆจบซะละ

รุ่นนี้ผมแปลกใจอย่างมากที่ราคาเกือบแจ็ดแสนแต่ไม่มี ABS อะไรจะขนาดนั้น
ถ้าเราซื้อของที่ไม่จำเป็น สุดท้ายเราต้องขายของที่จำเป็น

ออฟไลน์ yourturle

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 2,008
    • อีเมล์
Re: Review Toyota Vios TRD Sportivo 2014(รุ่นแรก)
« ตอบกลับ #4 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 16, 2016, 15:29:36 »
ยาวดีครับ แต่อยากให้ โตต้า เปลี่ยนชุด front ซะที เมื่อไรgen ใหม่จะมา เบื่ออย่างมาก
มันดูไม่ลงตัว คล้ายเปลี่ยนตามร้านนะ
One Day.

ออฟไลน์ Volta

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 1,696
    • อีเมล์
Re: Review Toyota Vios TRD Sportivo 2014(รุ่นแรก)
« ตอบกลับ #5 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 16, 2016, 19:22:48 »
เคยไปเช่ารุ่น j at ขับที่เชียงใหม่
อ็อพชั่นนี่โล้นได้ใจจริงๆครับ
- ก้านปรับกระจกมองข้าง เวลาจะปรับทีนี่ ต้องวานคนนั่งให้ปรับให้
- เครื่องเสียง 2 ลำโพง
- abs ไม่มี
- ภายในสีดำ ดูทึมๆ อึนๆ พวกพลาสติกสีเงินตบแต่งมีน้อย

แต่พอได้ลองขับแล้ว เออ...มันก็ดีขึ้นกว่ารุ่นเดิมเยอะนะครับ  ช่วงล่างดีขึ้น แน่นขึ้น น้ำหนักพวงมาลัยดีขึ้น
เครื่องถึงแม้จะเป็นตัวเดิม แต่ก็เดินเรียบ แรงสั่นสะเทือนจากเครื่องยนต์เข้ามาในห้องโดยสารน้อย 

เรื่องเกียร์ ถึงแม้จะเป็น 4 จังหวะ มันก็ตอบสนองดี ฉลาดใช้ได้ แต่ด้วยข้อจำเรื่อง 4 จังหวะ ทำให้บางช่วงเกียร์ต้องลากยาวเพื่อเพิ่มความเร็ว ทีนี้เสียงโหยหวนของเครื่องยนต์ก็ดังตามไปด้วย

หลังจากคืนรถ ผมว่าวีออสรุ่นนี้มันก็ยังคงความเรียบง่าย ขับง่าย ไม่ซับซ้อน บำรุงรักษาง่าย  ตามรุ่นก่อนหน้าของมัน และด้วยความที่ใช้เทคโนโลยีจากรุ่นเดิมทั้งเครื่องยนต์ เกียร์ และช่วงล่าง 
ไม่แปลกใจที่ยอดขายมันถึงไม่โดนซิตี้ที่สดใหม่กว่าทิ้งห่างมาก

หลายคนจึงยอมที่จะซื้อมันมาใช้โดยไม่ได้สนใจเรื่องของอ็อพชั่นที่น้อยนิด
เพื่อแลกกับคำว่า "วางใจได้" ครับ





..แต่ก็นะ 2016 แล้ว การมาของมาสด้า 2 คงเป็นตัวกระตุ้นสำคัญ ให้โตโยต้าต้องขยับตัวครั้งใหญ่
ไม่งั้นคงโดนซีติ้ทิ้งห่าง และมาสดาสอง ก็คงตีตื้นขึ้นมาอีกเยอะแน่ๆ
สวัสดีทุกๆคนครับ

ออฟไลน์ SM.

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 22,823
Re: Review Toyota Vios TRD Sportivo 2014(รุ่นแรก)
« ตอบกลับ #6 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 17, 2016, 15:03:05 »
โดยรวม ผมชอบรถรุ่นนี้นะครับ แต่ไม่ชอบที่วัสดุภายในของมันมากๆ

ออฟไลน์ e:smart Hybrid

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 3,603
Re: Review Toyota Vios TRD Sportivo 2014(รุ่นแรก)
« ตอบกลับ #7 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 17, 2016, 18:51:35 »
รถพื้นฐาน ใช้ง่ายสบายๆ :D

ออฟไลน์ Integra Type R

  • Full Member
  • ***
  • กระทู้: 206
Re: Review Toyota Vios TRD Sportivo 2014(รุ่นแรก)
« ตอบกลับ #8 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 19, 2016, 10:15:24 »
ผมว่า vios ช่วงล่างโอเคเลย เท่าที่เคยลองของเพื่อน กับเห็นหลายๆ คันขับบนทางด่วน เห็นเดิมๆ แต่ดูขับแล้วท่าทางจะช่วงล่างจะมั่นใจได้มากๆ จนบางทีกลัวแทนเลยครับ ว่ากล้าขับได้ยังไง ขอบคุณที่แชร์ประสบการณ์ครับ  :)

ออนไลน์ Ponthakorn

  • Sr. Member
  • ****
  • กระทู้: 421
    • อีเมล์
Re: Review Toyota Vios TRD Sportivo 2014(รุ่นแรก)
« ตอบกลับ #9 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 19, 2016, 16:46:27 »
ถ้าผมจำผิดต้องขอโทษด้วยนะครับ Overdrive ของ vios มันจะทำงานแค่สามเกียร์นะครับมันจะไม่ไปสี่เด็ดขาด วิธีจะให้เข้าโหมด Overdrive ถ้าจำไม่ผิดพลักไปทางซ้ายหนึ่งจังหวะก็ได้ครับ เพื่อนผมหนักเลยครับขับโหมด Overdrive ของ fortuner มาปีหนึงผมถามทำไม่เข้าโหมด Overdrive มันคืออะไร ผมบอกพลักไปทางขวาซิ พอลองพลักดูรอบเครื่องตกลงมาเขาดีใจใจเหมือนไดรถใหม่เลย

ออฟไลน์ NONT4477

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 9,577
  • Let the SKYFALL
Re: Review Toyota Vios TRD Sportivo 2014(รุ่นแร
« ตอบกลับ #10 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 22, 2016, 01:53:07 »
ขอบคุณสำหรับรีวิวครับ
Altis รุ่นที่แล้วที่ไม่ใข่ CVT กับ Vios คันนี้การทำงานเกียร์เหมือนกันครับ
OD ที่เกียร์ 4 ถ้าต้องการปิด OD ให้ตบคันเกียร์มาทางขวา ตำแหน่ง 3
รถจะใช้เกียร์ 1-2-3 ไม่ไป 4 หรือ ตำแหน่ง OD

ทั้งนี้รุ่นนี้ชัดใจผมมากกับวัสดุภายในที่เป็นพลาสติกล้วยๆ
และมาตรวัดที่พิมพ์จากปริ้นเตอร์อิงค์เจ็ทราคาถูกหรือใช้ไฟล์รูปความละเอียดต่ำมาแปะให้
ขอบตัวเลขยังไม่คมเลย แย่มาก
แต่ภายนอกสวยดี ช่วงล่างดีกว่า Vios รุ่นที่ 2 และเบาะคู่หน้าโอบกระชับและสบายกว่า Camry ACV30
Top Gear's Biggest FAN!!! (IN MY House)
I'm NAC1701  ^ ^

ออฟไลน์ PM_SW

  • Full Member
  • ***
  • กระทู้: 286
  • Audi A4 B5
Re: Review Toyota Vios TRD Sportivo 2014(รุ่นแรก)
« ตอบกลับ #11 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 23, 2016, 20:57:05 »
รีวิวดีครับ
ผมเคยเช่า Vios J AT ขับ 3 วันที่เชียงใหม่ ภายในออปชั่นโล่งมากครับ
ขับแต่ในเมืองกับรอบนอกนิดหน่อย ช่วงล่างโอเคครับ แต่เกิน 140 แล้วต้องคุมรถมากกว่าเดิมหน่อย
แล้วก็อัตรากินน้ำมัน ช่วงเย็นรถติดๆ ผมได้ 8-10 Km/L ครับ หรือผมเท้าหนักก็ไม่รู้ อิอิ

promt

  • บุคคลทั่วไป
Re: Review Toyota Vios TRD Sportivo 2014(รุ่นแรก)
« ตอบกลับ #12 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 29, 2016, 01:09:05 »
เมียออก รุ่น G ไฟหน้าเป็นโปรเจคเตอร์ที่ห่วยมาก มันไม่สว่างเท่าโคมมัลติรีเฟลคเตอร์รุ่น E

ไฟเรือนไมล์ ที่ไม่สามารถหรี่ไฟได้ มันจะสว่างไปไหน สีของแสงเป็นสีน้ำเงินฟ้า ทำให้ตาล้าได้ง่าย

นี่แหละที่ผมติมัน

แต่ ข้อดีคือขับทางไกลประหยัดพอควร ส่วนขับในเมืองก็ซดเหมือนกันนะครับ

ออฟไลน์ Slipknot`

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 20,771
  • *** HLM.COM ***
Re: Review Toyota Vios TRD Sportivo 2014(รุ่นแรก)
« ตอบกลับ #13 เมื่อ: เมษายน 10, 2016, 15:10:32 »
ขอบคุณครับ