สวัสดีครับ ผมชื่อว่าแมวครับ วันนี้ผมจะมารีวิวรถส่วนตัวของผมเองครับ อาจจะไม่ใช่รถที่แพง อาจจะไม่ใช่รถที่พิเศษมีน้อยคันมากในประเทศ แต่ผมหวังว่าผู้อ่านจะมีความสุขกับการอ่านรีวิวนี้นะครับ เพราะผมมีความสุขกับการใช้รถคันนี้มาตลอด 2 เดือน และผมอยากจะถ่ายทอดประสบการณ์การใช้รถยนต์คันนี้ให้ทุกคนได้รับอ่านนะครับ
ถามว่าความเป็นมาของรถคันนี้ มีอะไรยังไงอย่างไร บอกเลยสั้นๆว่า ไม่มีครับ ผมแค่ตื่นเช้ามาวันหนึ่ง แล้วผมก็ตัดสินใจว่า ผมอยากเป็นเจ้าของรถเบนซ์ ก็เท่านั้นเอง แต่ในเมื่อเงินในบัญชีผมมันมีอยู่เท่าจิ๋มมด ผมก็คงไม่ซื้อ เอสคลาส เอส350 ดับเบิ้ลยู222 บลูเทคไฮบริด เอเอ็มจีสปอร์ตแพ็ค พร้อมกับอ็อปชั่นเมจิกบอดี้คอนโทรล ป้ายแดงใหม่เอี่ยม ผมเอาเงินเท่าจิ๋มมดนี้มาซื้อรถคันนี้แหละครับ เมอร์ซิเดส เบนซ์ อี200 ดับเบิ้ลยู124
เล่าประวัติรถรุ่นนี้กันนิดนึง รถเบนซ์ ดับเบิ้ลยู124 เปิดตัวครั้งแรกในตลาดโลก พ.ศ.2528 และเข้ามาทำตลาดในไทยไม่นานหลังจากนั้น โดยในช่วงแรกใช้เครื่องยนต์แคมเดี่ยวจับคู่กับหัวฉีดเจ็ตโทรนิคเก๋ๆ แต่ใช้ไดอาแฟรมตัวจ่ายน้ำมันที่ถ้าเอาแก๊สโซฮอลแช่ไว้นานๆทะลุแน่นอน รถเหล่านี้มีชื่อในวงการจริงๆว่า Code A และ Code B แต่ผมชอบเรียกว่า เบนซ์โลงจำปาแห่งการกดขี่ เพราะช่วงปี 1985-1992 เป็นช่วงเวลาที่ภาษีนำเข้ารถยนต์สูงทะลุเพดาน และคนจำพวกเดียวที่เหลือเงินไว้ซื้อเบนซ์ก็คือนักการเมืองที่ตั้งภาษีพวกนั้นมาแหละ และเป็นสิ่งที่น่าอัศจรรย์มาก เพราะถึงแม้ภาษีจะสูงลิ่วขนาดไหน คนก็ยังเอาเงินเป็นล้านบาท มาซื้อรถเบนซ์กันรัวๆ
แต่เบนซ์ดับเบิ้ลยู124 ของผมนั้น ไม่ใช่เบนซ์แห่งการกดขี่ครับ เพราะมันคือ Code C 1993-1996 โลงจำปาของโลกเสรี หลังจากที่เกิดเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ ในเดือนพฤษภาคมปี 1992 ไปได้ 3 เดือน ภาษีนำเข้ารถยนต์ก็ถูกลดลงจากมโหฬาร เหลือเพียงแค่ 100กว่าเปอร์เซ็นเท่านั้น และนั่นทำให้ยอดขายรถเบนซ์ที่จากเดิมสูงมากอยู่แล้ว พุ่งสูงทะลุเพดาน ซึ่งทุกคนคงจะได้ทราบเรื่องราวนี้กันไปแล้ว เหตุการณ์ที่ เบนซ์ 190อี ตกรุ่นจากยุโรปถูกส่งเข้ามาขายในประเทศไทย แล้วขายดีรัวๆจนชาวเยอรมันถึงกับงงว่า "เกิดอะไรขึ้นที่ประเทศไทยวะ"
เพียงแค่ชั่วข้ามคืน การกระจายความเป็นเจ้าของรถเบนซ์ก็ได้มาสู่สังคมประเทศไทย ก่อนหน้านี้ที่คนรวยมากเท่านั้นถึงจะเป็นเจ้าของรถเบนซ์ได้ ณ ตอนนี้ คนรวยเฉยๆ ก็เป็นเจ้าของรถเบนซ์ได้แล้ว และรถเบนซ์ของผม ก็เป็นตัวอย่างของประเทศไทยช่วงยุคสมัยปี 1992-1997 ได้เป็นอย่างดี เนื่องจากว่าเบนซ์ อี200 คันนี้เป็นรถนำเข้าทั้งคัน อันเป็นผลมาจากสถานการณ์ของยุคสมัยนั่นเอง
Mercedes Benz E200 W124 ปี 1995 จดทะเบียนเมื่อต้นปี 1996 คันนี้ เจ้าของเดิมนั้นซื้อมันมาเมื่อตอนที่เขาอายุ 56 ปี จึงสันนิฐานได้ว่า มันคงเป็นรางวัลชีวิตของเขา รถยนต์หรูที่พากเพียรเก็บเงินมา มันคือรถเบนซ์ เป้าหมายสูงสุดในชีวิตของใครหลายๆคน ผมไม่รู้ว่าเจ้าของเดิมเป็นใคร ผมไม่รู้ว่าทำไมเขาจึงเลือกรถคันนี้ เพราะผมไม่เคยมีโอกาสได้เจอเขา เขาเสียชีวิตไปเมื่อต้นปี 2016 นี่ และเขาเก็บรถคันนี้เอาไว้จนกระทั่งวันสุดท้ายในชีวิตของเขาเอง
และในทันทีที่ลูกสาวของเขาได้รับรถคันนี้มาเป็นมรดก เธอก็ได้ประกาศขายในทันที
ซึ่งเป็นช่วงเวลาเดียวกับที่ผมกำลังตามหารถเบนซ์มาเติมเต็มความฝันของผม ในช่วงเวลานั้น ผมได้สืบเสาะตามหารถเบนซ์ ดับเบิ้ลยู124 ในทุกๆแหล่งที่ตามหาได้ เว็บตลาดรถ วันทูคาร์ ขายดี รวมไปถึงคลับรถเบนซ์ต่างๆและญาติซึ่งเป็นมืออาชีพในการตามหารถมือสอง ผมตามหามันไปทุกที ผมนัดเจอกับเจ้าของรถ อี280 ที่น่าสนใจคันหนึ่ง แต่ผมก็โดนเท และรถคันนั้นตอนนี้ก็ยังขายไม่ได้อยู่ดี ผมเกือบจะถอดใจแล้วตอนที่รถ อี200 ของผมปรากฎขึ้นในคลับรถเบนซ์แห่งหนึ่ง
มีหลายๆเหตุผลที่ผมไม่ควรจะไปสนใจรถคันนี้ อย่างแรกคือ เจ้าของไม่ได้ลงเบอร์โทรไว้ อย่างที่สองคือ รายละเอียดมีน้อยมาก และที่สำคัญที่สุดคือ มันเป็น อี200 ถ้าผมซื้อรถคันนี้มา ผมต้องยอมรับว่าอัตราเร่งจะต้องอยู่ในระดับภูเขาน้ำแข็งขั้วโลกแน่นอน แต่มีหลายๆสิ่งที่ทำให้ผมสนใจรถคันนี้ เช่น มันเป็นรถที่มีความเดิมเป็นอย่างมาก รถที่ไม่ได้มีใครไปทำอะไรกับมันมาก เป็นเหมือนกับกระดาษขาวที่ว่างเปล่า ไม่จำเป็นต้องใช้ยางลบไปลบให้ยับ ก็สวยงามและบริสุทธิ์ อีกอย่างคือราคาที่เจ้าของตั้งมานั้นน่าสนใจเป็นอย่างมาก
ผมนัดเจอกับเจ้าของรถคันนี้ ซึ่งพาคุณแม่มาด้วย ที่ปั้มน้ำมันแห่งหนึ่งในแถบชานเมือง ในขณะที่ผมพาคนไปเต็มคันรถ เพื่อที่จะตรวจดูรถคันเดียว เมื่อดูผิวเผิน รถคันนี้ก็ไม่ได้มีอะไรพิเศษ สภาพนั้นนับว่าโอเค แต่ก็ไม่ได้ดีเลิศ สีคงถูกทำมาแล้ว มีร่องรอยน้ำมันและคูลแลนท์รั่ว แต่ตัวถังนั้นตรงแหน่ว จุดเชื่อมท้ายรถยังอยู่ครบ คานหน้าสภาพดี
ตอนนั้นเอง ทุกคนรอบข้างผมก็ตะโกนใส่หูผมว่า "เดินออกมาเหอะ" "อย่าซื้อเลย" "ไปหาใหม่ได้" ซึ่งนั่นทำให้ผมตัดสินใจไม่ได้ลองขับรถคันนี้ เพียงแต่ลองนั่งไปโดนให้เจ้าของขับเท่านั้นเอง เมื่อเสร็จสิ้น ผมก็บอกกับเจ้าของว่า ขอไปตัดสินใจซักพักนะครับ ผมกลับมาที่บ้าน นั่งคิดดูว่า รถคันนี้มันเป็นรถที่เหมาะสำหรับผมหรือยัง ในตอนนั้นเอง เจ้าของรถได้โทรมาหาผมและสอบถามถึงราคาที่ผมมีในใจ ผมบอกราคานั้นไป ซึ่งเป็นราคาที่ค่อนข้างจะต่ำกว่าตลาดอยู่พอสมควร โดยที่ไม่ได้คาดหวังอะไรมากเสียเท่าไหร่ ถึงแม้ว่าลึกๆแล้วผมจะชอบรถคันนี้อยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว เบนซ์ ดับเบิ้ลยู124 สิ่งที่สำคัญที่สุดคือตัวถัง และตัวถังของรถคันนี้ก็โอเค
ผ่านไปไม่นาน เจ้าของก็โทรกลับมา และตกลงที่จะขายรถคันนี้ไปในราคาที่ผมเสนอไป จนถึงตอนนี้ผมก็ยังงงๆอยู่ว่าแล้วผมมาเป็นเจ้าของรถนี่ได้ยังไง
เอาละ เวิ่นเว้อมามากพอแล้ว พูดถึงตัวรถได้ละ เบนซ์ อี200 ดับเบิ้ลยู124 ปี 1995
รถคันนี้มาพร้อมกับเครื่องยนต์ เอ็ม111 ขนาด 2.0 ลิตร กระบอกสูบกว้าง ชักสั้น ให้พละกำลังสูงสุด 136 แรงม้า แบกตัวถังหนักประมาณ 1300 กิโล จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ 4 สปีด และระบบ ซีเมนส์ พีเอ็มเอส ฮึ่มมมม SIEMENS PMS ผมขอสารภาพตรงๆว่าตอนที่ผมซื้อรถคันนี้มา ผมไม่ทราบว่าอีรถนี่มันใช้หัวฉีด Siemens PMS ไม่ใช่ ECU Bosch เหมือนกับ อี220 ถามว่าอีระบบนี้มันดีไหม มันก็คือ Multi Point Fuel Injection พร้อมกับจุดระบบแบบไม่มีจานจ่ายปกตินี่แหละครับ แต่อีเจ้า Siemens PMS นี่เอง เป็นกล่อง ECU ที่ขึ้นชื่อว่า ซ่อมแพง หายาก ต้องขอขอบคุณพี่แพนนะครับที่เตือนผมให้ทราบในเรื่องนี้ ผมหวังว่าจะไม่ต้องไปยุ่งเกี่ยวกับกล่องนี้มากตลอดการใช้งาน
ถ้าถามว่าแล้วอัตราเร่งมันช้าเป็นสลอตอย่างที่คิดหรือไม่? ทำไมรถดับเบิ้ลยู124 แทบทุกคันบนท้องถนนถึงได้ขับช้ากันนัก? หลังจากที่ผมเป็นเจ้าของรถคันนี้ ผมก็ได้ข้อสรุปแล้วครับ ว่าตัวรถน่ะไม่ได้อืดหรอก อัตราเร่ง 0-100 นั้นผมไม่เคยจับ แต่ผมบอกได้ว่ามีเพียงพอ มีมากกว่า Mazda 2 Skyactiv เบนซินที่ขึ้นชื่อว่าเหยียบลึกๆนะคับไม่งั้นโดนคันหลังด่า เหตุผลที่ดับเบิ้ลยู124 ทุกคันมักจะขับช้า มีด้วยกัน 3 ข้อครับ
-คันเร่งมันหนัก ต้องใช้แรงเหยียบมากถึงจะออกตัวได้ แต่นั่นทำให้การขับขี่ระยะทางไกลมีความสบายมากกว่าคันเร่งที่เบา
-ผมได้ทำการทดสอบ ใช้งานรถคันนี้เหมือนกับใช้งานปกติ ซึ่งก็คือการเดินทางจากบ้านแถวพระรามสองไปสามย่านในช่วงเวลาเร่งด่วน ทุกๆวัน ไปกลับ โดยไม่ใช้รถไฟฟ้า ตัวเลขอัตราสิ้นเปลืองที่ผมได้รับกลับมานั้นคือ 6 กิโลเมตรต่อลิตร ถึงแม้จะเครื่อง 2 ลิตร และไม่ได้ตัวหนักมาก รถรุ่นนี้แม่มแดกน้ำมันเป็นตำรวจแดกส่วยเลยครับ แต่นั่นอาจจะเป็นเพราะสไตล์การขับรถของผมเอง ซึ่งในเส้นทางเดียวกัน Mazda 2 Skyactiv ผมทำตัวเลขได้ 14 กิโลเมตรต่อลิตร และ Toyota Altis ผมทำได้ 10 ครับ
-คนขับดับเบิ้ลยู124 มักจะเป็นคนแก่ครับ คนแก่สายตาไม่ดี ขับเร็วไม่ได้
ซึ่งนั่นทำให้ผมรู้สึกเสียใจอยู่เล็กน้อย เพราะในด้านของการขับขี่ ผมรักรถคันนี้มากๆครับ ช่วงล่างเบนซ์ที่ขึ้นชื่อในยุคสมัยนั้นนี่มันช่างอภิรมย์จริงๆ เข้าโค้งแฮร์พินสะพานตากสิน ที่ความเร็ว 70 Toyota Altis ยางจะร้องลั่นบอกว่า "กูไม่ไหวแล้วสาดดดด" ในขณะที่เบนซ์จะบอกว่า "แร้วงัยครัยแฆร์" และผ่านโค้งไปได้อย่างสบายๆ หลายๆคนอาจจะคิดว่า อุ้ยรถเบนซ์นี่คันใหญ่นะน่าจะไม่คล่องตัวอุ้ยน่าจะแฮนลิ่งไม่ดีไม่เป็นสปอร์ตซีดาน ผมขอบอกเลยครับว่า สำหรับรถเบนซ์ ดับเบิ้ลยู124 นี้ ตัวรถนั้นมีความคล่องตัวมากกว่าที่คิดเป็นอย่างมาก ช่วงล่างนั้นมีความเฟิร์ม ไม่ย้วยเป็นเรือ และพวงมาลัยนั้นคมมาก แม้ว่าจะเป็นเพียงระบบลูกปืนหมุนวนเท่านั้น พวงมาลัยกลับมีความคม และให้ความรู้สึกดีกว่ารถใหม่ที่ใช้ระบบแร็คแอนด์พิเนียนอย่าง Mitsubishi Mirage และ Toyota Altis ผมนี่อึ้งไปเลย
ผมสามารถที่จะพูดถึงรถคันนี้ได้เป็นวันๆ ไม่ว่าจะเรื่องการขับขี่ที่ดี ความสบายของการโดยสาร และอื่นๆอีกมากมายที่หลายๆคนคงจะทราบดีแล้ว เพราะว่ามันเป็นเบนซ์ ดับเบิ้ลยู124 เบนซ์รุ่นสุดท้ายที่การประกอบและวัสดุนั้นเทพระดับเบนซ์อย่างแท้จริง แต่มีเรื่องหนึ่งที่ผมอยากจะลองนำเสนอครับ เป็นเรื่องที่ทำให้หลายๆคนไม่กล้าที่จะมีรถแบบนี้ รถที่เก่าเสียหน่อย
ผมซื้อรถคันนี้มาในราคา 165,000 บาท
ค่ายาง Falken Ziex ZE912 7500บาท
ค่าของเหลวทุกอย่างที่มีอยู่ในรถคันนี้ 4000บาท
ค่าซ่อมแซมครั้งแรก 9500บาท (เปลี่ยนซีล คลัชพัดลม ซีลเฟืองท้าย อีกหลายอย่างเพื่อให้รถหยุดรั่ว)
ค่าซ่อมครั้งที่สอง 2200บาท (แท่นเครื่องและแท่นเกียร์ ให้หายสั่นเป็นเจ้าเข้า)
ค่าโอน 2000บาท
โอเอ็มจี! ตั้งแต่ผมซื้อรถคันนี้มา ผมโยนเงินทิ้งไปยังไม่ถึง 200,000 เลย! ผมขอตั้งชื่อรถคันนี้ว่า เบนซ์ อี200 โอเอ็มจีอิดิชั่นเลยครับ ด้วยเงินเพียงแค่ 190,000 บาท ไม่ถึง 10% ของมูลค่ารถคันนี้เมื่อตอนป้ายแดง และนั่นหมายความว่า 2000 กิโลเมตรที่ผมใช้มาตลอด 2 เดือนนั้น ผมแทบจะไม่เสียเงินเลยซักบาท ผมสามารถเป็นเจ้าของรถยนต์ที่สามารถบรรทุกคนจำนวน 5 คน ไปได้ในความสบาย แอร์เย็น เพลงเพราะ ซึ่งมีความทนทาน และเชื่อถือได้ สตาร์ทติดแชะแรกทุกครั้ง และจัมป์แบต Altis ผมซึ่งจอดลืมไม่ได้ใช้เป็นเดือนได้ ในราคาเพียงเท่านี้เอง!
แต่ผมว่า สิ่งที่สำคัญจริงๆ สิ่งที่ทำให้ผมรักรถคันนี้ ไม่ใช่ค่าใช้จ่ายที่น้อยเท่าหนวดกุ้งหรอกครับ
ในช่วงเร็วๆนี้ มีข่าวที่ซึ่งหลากหลายประเทศนั้นกำลังมีนโยบายจำกัดการใช้รถยนต์เก่าในเขตเมือง ด้วยเหตุผลด้านมลพิษหรืออะไรก็ตามแต่ ซึ่งก็คงจะมีเหตุผลที่ดีที่จะเป็นเช่นนั้นครับ เพราะคนหลายๆคนก็ยังคิดว่ารถยนต์เป็นแค่ยานพาหนะ เป็นกล่องเหล็กติดล้อที่เอาไว้ใช้ไปจากจุดเอ ไปจุดบี แค่นั้นเอง แต่สำหรับคนบางจำพวก อย่างเช่นผม ผมไม่ได้มองว่ารถยนต์เป็นเพียงแค่พาหนะ ไม่เลย รถคันนี้มันคือสะพาน สะพานที่เชื่อมโยงคนสองเจเนอเรชั่นเอาไว้
คุณตาเจ้าของรถคนก่อน เป็นคนที่เกิดมาในยุคที่คนเชื่อว่า ถ้าเกิดเรามีความตั้งใจ อะไรๆก็เป็นไปได้ ในขณะที่ตัวผมเองนั้นเกิดมาในยุคที่คนเริ่มตั้งคำถามกับความเชื่อของคนยุคก่อน ในเมื่อความสำเร็จที่พยายามทำมา อาจพังได้ในฉับพลัน ทำไมจึงต้องตั้งใจไปละ? สองเจเนอเรชั่นที่มีความคิดแตกต่างกันนั้น มันไม่สำคัญหรอกครับ ว่าแนวคิดจะเป็นอย่างไร จะเป็นคนจากยุคสมัยใด แต่สิ่งที่เหมือนกัน แม้จะไม่ได้เคยพบเจอกันมาก่อน คือความรักที่มีให้กับรถคันนี้ เจ้าของเดิมนั้นดูแลรถคันนี้มาเป็นอย่างดี และผมจะตั้งใจดูแลรถคันนี้ต่อไปตราบเท่าที่ผมยังคงใช้ชีวิตอยู่กับมัน
ผมไม่ทราบหรอกครับ ว่าอีก 21 ปี ผมจะไปอยู่ที่ใด รถเบนซ์ อี200 คันนี้จะไปอยู่ที่ใด แต่ผมหวังว่ามันจะยังคงโลดแล่นอยู่บนถนน มอบความสุขให้กับเจ้าของไปเรื่อยๆ ไม่มีวันสิ้นสุด
ไม่สำคัญหรอกครับว่ารถของคุณจะเป็นรถอะไร จะแพงหรือจะถูก ทั้งหมดล้วนแล้วมีความหมายทั้งสิ้น ผมรู้ว่ารถผมมี แล้วรถของคุณละครับ คุณผู้อ่าน?
ขอขอบคุณ
พี่แพนที่ให้คำแนะนำข้อมูลเกี่ยวกับการซื้อ W124
พี่นกผู้ช่วยไปดูรถ
คุณวันลูกสาวเจ้าของรถคนแรก
ช่างทวนอู่ช่างทวน
CH.TH ผู้เตือนให้ผมทำ User's Review นี้ขึ้นมาทั้งๆที่ผมลืมไปแล้ว
ร้านยางปากซอย
และที่สำคัญที่สุด ผู้อ่านทุกท่านที่ให้ความสนใจครับ
ปล.ตอนแรกก็ไม่ได้ตั้งใจจะทำครับ แต่วันนี้ว่างเลยลองเขียนรีวิวขึ้นมาเล่นๆ