ผู้เขียน หัวข้อ: รถไฟฟ้าน่าจะซ่อมง่ายกว่ารถเครื่องยนต์สันดาปมั้ยครับ  (อ่าน 12682 ครั้ง)

ออฟไลน์ ซิ่งเข้าส้วม

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 3,150
ผมมานั่งคิดดู ระบบเครื่องยนต์สันดาปมันมีพาร์ตเยอะมาก บางทีอ่านโค้ดแล้วซ่อมไม่จบ แต่ถ้าเป็นรถยนต์ไฟฟ้าพาร์ตไม่เยอะ เช่นรถวิ่งไม่ได้ สันนิษฐานก่อนเลยว่าต้องเปลี่ยนมอเตอร์หรือแบตเตอรี่ แนวๆ นี้ จะทำให้เราลด Overhead ในเรื่องที่ว่ารถยี่ห้อ X ช่างไม่คุ้นเคย หรืออะไรงี้มั้ย เพราะระบบมันก็เหมือนๆ กัน

ออฟไลน์ Ex_machina

  • Sr. Member
  • ****
  • กระทู้: 721
ซ่อมน่าจะง่ายกว่าเยอะ เพราะไม่ค่อยมีชิ้นส่วนซับซ้อนเท่าไร
แต่ถ้าเปลี่ยนอะไหล่ที ก็น่าจะแพงกว่าเครื่องยนต์สันดาปเยอะเช่นกัน  :P

ออฟไลน์ ps000000

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 7,772
ดูภาพรวมน่าจะง่ายกว่าครับ

แต่ผมก็ไม่แน่ใจในทางเทคนิค 8)

ออฟไลน์ mamaman

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 6,423
    • อีเมล์

ถ้ามันมา
หายนะ วงการ ช่างเครื่องยนต์เลยละครับ
รวมถึง ระบบ supply chain ขงเครื่องยนต์
คงมี ปิดบริบัท คนตกงาน มหาศาล

ออฟไลน์ warez

  • Sr. Member
  • ****
  • กระทู้: 702
ง่ายกว่าเยอะมากครับ

ออฟไลน์ DiKiBoyZ

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 7,226
    • อีเมล์
ต้องแยกส่วนครับ
- ส่วนของ ตัวมอเตอร์ ที่กำเนิดพลังงาน น่าจะไม่ซับซ้อนมาก เคยดู youtube ของ Tesla ก็ไม่ได้ซับซ้อนอะไร
- แต่ถ้าส่วนของ ระบบไฟฟ้าภายในรถ อันนี้ผมว่า ซ่อมยาก ซับซ้อน กว่ารถเครื่องยนต์น่ะ แต่ถ้าเป็น brand ทั่วไป ที่ไม่ใช่ Tesla ที่มีระบบช่วย โน่น นี่ นั้น รวมไปถึงขับอัตโนมัติ

ออฟไลน์ h0661036

  • Sr. Member
  • ****
  • กระทู้: 927
ปัญหาคือราคาของ batt  ราคาแพง และไม่ขายให้คนนอกด้วย จากประสบการณ์เพื่อนผมที่เป็นอาจารย์อยู่ญี่ปุ่น และเคยทำรถไฟฟ้ากับลูกศิษย์ครับ
   
   เรื่องค่าใช้จ่ายในการซ่อม ผมว่าแพงครับ เพราะคงต้องเปลี่ยนยกชุด

ออฟไลน์ tnp_super

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 2,927
    • อีเมล์
ที่จริงน่าจะทำแบบมอเตอร์ส่งกำลังโดยตรงที่ล้อเลยน่าจะซ่อมง่าย มอเตอร์พังก็ถอดเปลี่ยน

ออฟไลน์ bravo

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 2,469
    • อีเมล์
ซ่อมง่ายกว่าครับ
วงการช่างซ่อม ศูนย์เปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่อง กำลังเจอระเบิดเวลาลูกใหญ่
ช่างโมดิฟาย จูนรถ ก็คงตกในสภาพเดียวกัน

ถ้าจะโมดิฟายให้แรงขึ้น ผมนึกภาพไปถึงรถกระป๋อง ที่ฮิตกันเมื่อสิบกว่าปีก่อนครับ

ออฟไลน์ 2k

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 4,755
น่าจะซ่อมง่ายกว่ามาก แต่ผมล่ะกลัวจริงๆว่าเวลารถมีปัญหาศูนย์มันจะพูดแต่ว่าต้องรอแก้เฟิร์มแวร์2.0ก่อนนะคะถึงจะหายค่าาาา  :(
หมาเฝ้าบ้านแจกฟรีจ้า www.dogfindhome.com


ออฟไลน์ NONT4477

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 9,851
  • Let the SKYFALL
ผมเคยเล่น Kyosho Mini Z มี Servo, Speed control ขับได้เหมือนรถจริง
ใช้มอเตอร์เดียวกับรถกระป๋อง ผมว่าถ้ามันไม่มี defects มาตั้งแต่แรก
โคตรทน+ซ่อมง่ายกว่าเครื่องยนต์สันดาปแน่ๆ เกียร์ก็มีสปีดเดียว (Tesla Model S)
Top Gear's Biggest FAN!!! (IN MY House)
I'm NAC1701  ^ ^

ออฟไลน์ Sacrifice

  • Sr. Member
  • ****
  • กระทู้: 591
ซ่อมง่ายครับ เปลี่ยน อย่างเดียวเลย 

ถ้า nissan หรือ ใครก็ตามทำ รถไฟฟ้า วิ่งได้ 300 กม./ชาร์จ   ได้ราคา 3-4 แสน จริง

รถเครื่องสันดาป จะกลายเป็นรถพรีเมี่ยม ราคาแพงแล้วค่อยๆ หายไป เหมือนกล้องฟิลม์ ที่มีคนรักจริงถึงซื้อมาใช้

ออฟไลน์ Stp

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 3,537
ซ่อมง่าย นี่รวมถึงเปลี่ยนอย่างเดียวด้วยรึเปล่าครับ เกรงว่าจะมาแบบนั้น
:D ;D ร่วมรณรงค์รักการอ่านหนังสือ แทนการถามตลอดเวลา ;D :D

ออฟไลน์ O_o"

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 12,379
ไม่เน้นซ่อม เน้นเปลี่ยนใหม่นะสิครับ

คงเหมือนอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ เปลี่ยนแบตมือถือ ถอดออกเปลี่ยนใหม่ 

Nonlamer

  • บุคคลทั่วไป
คิดว่าซ่อมง่ายกว่าครับ แต่ถ้าเข้าศูนย์ก็จะเน้นเปลี่ยนอะไหล่เหมือนเดิมซึ่งแพงกว่า ต่างประเทศมีหลายเคสที่แบตพังเปลี่ยนแพงมากเลยเอากลับมาถอดซ่อมเองแล้วซ่อมได้เยอะแยะคับ

ออฟไลน์ XyteBlaster

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 1,292
    • อีเมล์
ค่าซ่อมถูก  แต่ค่าอะไหล่ แพงสิครับ ... คงไม่ทำแยกชิ้นส่วน ๆ เล็ก ๆ มา แต่มันจะมาแบบ ยกเซต
เหมือนอุปกรณ์ไฮบริต ในปัจจุบัน .. เสียยก ๆ

ออฟไลน์ ภูมิใจไหม?

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 4,144
  • SNK vs Playmore
ตัวรถน่าจะต่อเน็ตได้

แล้ว ช่างก็ remote เข้ามา diagnostic

วิเคราะห์ปัญหาเบื้องต้นได้

ผมก็มโนไปเรื่อย


ถ้ามันเป็นไฟฟ้าหมด

วงการ modify แต่งซิ่งได้ปรับตัวกันครั้งใหญ่ครับ

ออฟไลน์ Jacob

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 1,803
เดวพี่จีนก็หาอะไหล่ถูกมาให้เปลี่ยนได้เองแหละ เหมือนแบตมือถือ ของแท้แพง แต่ของก็อปก็มี

ออฟไลน์ mothsan

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 2,559
รถไฟฟ้า ซ่อมง่ายกว่าเยอะ ชิ้นส่วนพวกออฟชั่นน่าจะพอกัน แต่ชิ้นส่วนไฟฟ้า น้อยกว่าชิ้นส่วนสันดาปเยอะ
พังก็เปลี่ยนยกตัวครับ
จะราคาโหดหน่อยก็ตัวแบตเนี่ยแหละครับ

ปล. พวกชิ้นส่วนไฟฟ้า พี่จีน ทำออกมาง่ายเลยครับ แต่ทนไหมก็อีกเรื่องนึงครับ

ออฟไลน์ Auto

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 4,632
ก็คงซ่อมง่ายกว่าเดิมล่ะครับ       แต่ราคาซ่อมและอายุการใช้งานจะไม่เหมือนเดิมแน่    บริษัทรถเขาคิดมาแล้วดักทางไว้หมดแล้วครับ    ค่าซ่อมจะแพงขึ้นจะมีอะไหล่ที่ต้องเลปี่ยนยกชุดมากขึ้น และราคาซ่อมจะแพงมาก  อาจทำเป็นวงจรและล็อคโปรแกรมไว้เลยเช่น ไฟโชว์จะล็อคระบบฉุกเฉินให้หยุด ก็จะมียานแม่มายกเข้าศูนย์ไป  ค่าใช้จ่ายเบื้องต้นอาจจะ 5000 บาท   พอเช็คเสร็จเปลี่ยนอะไหล่อาจโดนไปอีก 30,000  อะไรแบบนี้         พอใช้ไปซัก 5  ปี ต้องเปลี่ยนแบตเสียอีก 1 แสนกว่า หลังจากนั้นโดนระบบช่วงล่างจะต้องซ่อมพิเศษอีกเพราะต่อระบบไฟฟ้าไว้  ต้องใช้ของศูนย์เท่านั้นโดนไปอีก 5 หมื่นกว่า  พออายุ 10 ปีก็เริ่มต้องทิ้งรถไปทั้งคันละ หรือถ้าไม่ทิ้งก็โดนค่าซ่อมอีกหลายแสน

ออฟไลน์ Smith686

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 2,953
    • อีเมล์
ก็คงซ่อมง่ายกว่าเดิมล่ะครับ       แต่ราคาซ่อมและอายุการใช้งานจะไม่เหมือนเดิมแน่    บริษัทรถเขาคิดมาแล้วดักทางไว้หมดแล้วครับ    ค่าซ่อมจะแพงขึ้นจะมีอะไหล่ที่ต้องเลปี่ยนยกชุดมากขึ้น และราคาซ่อมจะแพงมาก  อาจทำเป็นวงจรและล็อคโปรแกรมไว้เลยเช่น ไฟโชว์จะล็อคระบบฉุกเฉินให้หยุด ก็จะมียานแม่มายกเข้าศูนย์ไป  ค่าใช้จ่ายเบื้องต้นอาจจะ 5000 บาท   พอเช็คเสร็จเปลี่ยนอะไหล่อาจโดนไปอีก 30,000  อะไรแบบนี้         พอใช้ไปซัก 5  ปี ต้องเปลี่ยนแบตเสียอีก 1 แสนกว่า หลังจากนั้นโดนระบบช่วงล่างจะต้องซ่อมพิเศษอีกเพราะต่อระบบไฟฟ้าไว้  ต้องใช้ของศูนย์เท่านั้นโดนไปอีก 5 หมื่นกว่า  พออายุ 10 ปีก็เริ่มต้องทิ้งรถไปทั้งคันละ หรือถ้าไม่ทิ้งก็โดนค่าซ่อมอีกหลายแสน
   ผมคิดว่าถึงตอนนั้นคงมีอะไหล่เทียม  อะไหล่OEM เยอะนะ แม้กระทั่งมอร์เตอร์ไปฟ้าก็อาจจะเปลี่ยนมอเตอร์ยี่ห้ออื่นมาลงได้  ราคามอเตอร์ไฟฟ้าก็น่าจะถูกกว่าเครื่องยนต์  ส่วนราคาแบตเป็นแสนก็คิดว่าถ้าใช้แบต 5 ปีก็ประหยัดค่าน้ำมันได้เป็นแสนเหมือนกัน เก็บเงินค่าน้ำมันไว้เปลี่ยนแบต

ออฟไลน์ Auto

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 4,632
ก็คงซ่อมง่ายกว่าเดิมล่ะครับ       แต่ราคาซ่อมและอายุการใช้งานจะไม่เหมือนเดิมแน่    บริษัทรถเขาคิดมาแล้วดักทางไว้หมดแล้วครับ    ค่าซ่อมจะแพงขึ้นจะมีอะไหล่ที่ต้องเลปี่ยนยกชุดมากขึ้น และราคาซ่อมจะแพงมาก  อาจทำเป็นวงจรและล็อคโปรแกรมไว้เลยเช่น ไฟโชว์จะล็อคระบบฉุกเฉินให้หยุด ก็จะมียานแม่มายกเข้าศูนย์ไป  ค่าใช้จ่ายเบื้องต้นอาจจะ 5000 บาท   พอเช็คเสร็จเปลี่ยนอะไหล่อาจโดนไปอีก 30,000  อะไรแบบนี้         พอใช้ไปซัก 5  ปี ต้องเปลี่ยนแบตเสียอีก 1 แสนกว่า หลังจากนั้นโดนระบบช่วงล่างจะต้องซ่อมพิเศษอีกเพราะต่อระบบไฟฟ้าไว้  ต้องใช้ของศูนย์เท่านั้นโดนไปอีก 5 หมื่นกว่า  พออายุ 10 ปีก็เริ่มต้องทิ้งรถไปทั้งคันละ หรือถ้าไม่ทิ้งก็โดนค่าซ่อมอีกหลายแสน
   ผมคิดว่าถึงตอนนั้นคงมีอะไหล่เทียม  อะไหล่OEM เยอะนะ แม้กระทั่งมอร์เตอร์ไปฟ้าก็อาจจะเปลี่ยนมอเตอร์ยี่ห้ออื่นมาลงได้  ราคามอเตอร์ไฟฟ้าก็น่าจะถูกกว่าเครื่องยนต์  ส่วนราคาแบตเป็นแสนก็คิดว่าถ้าใช้แบต 5 ปีก็ประหยัดค่าน้ำมันได้เป็นแสนเหมือนกัน เก็บเงินค่าน้ำมันไว้เปลี่ยนแบต
ถ้าค่าไฟในการชาร์จไฟ  คงราคาพอกับค่าใช้จ่ายของน้ำมันล่ะครับจำได้ว่ามีสมาชิกในนี้เคยรีวิว  ค่าไฟในการชาร์จไฟรถ Plug in Hybrid  ไว้ว่า   ค่าไฟเพิ่มขึ้นมาต่อเดือนพอกับจ่ายค่าน้ำมันล่ะครับ 

ออฟไลน์ bravo

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 2,469
    • อีเมล์
ก็คงซ่อมง่ายกว่าเดิมล่ะครับ       แต่ราคาซ่อมและอายุการใช้งานจะไม่เหมือนเดิมแน่    บริษัทรถเขาคิดมาแล้วดักทางไว้หมดแล้วครับ    ค่าซ่อมจะแพงขึ้นจะมีอะไหล่ที่ต้องเลปี่ยนยกชุดมากขึ้น และราคาซ่อมจะแพงมาก  อาจทำเป็นวงจรและล็อคโปรแกรมไว้เลยเช่น ไฟโชว์จะล็อคระบบฉุกเฉินให้หยุด ก็จะมียานแม่มายกเข้าศูนย์ไป  ค่าใช้จ่ายเบื้องต้นอาจจะ 5000 บาท   พอเช็คเสร็จเปลี่ยนอะไหล่อาจโดนไปอีก 30,000  อะไรแบบนี้         พอใช้ไปซัก 5  ปี ต้องเปลี่ยนแบตเสียอีก 1 แสนกว่า หลังจากนั้นโดนระบบช่วงล่างจะต้องซ่อมพิเศษอีกเพราะต่อระบบไฟฟ้าไว้  ต้องใช้ของศูนย์เท่านั้นโดนไปอีก 5 หมื่นกว่า  พออายุ 10 ปีก็เริ่มต้องทิ้งรถไปทั้งคันละ หรือถ้าไม่ทิ้งก็โดนค่าซ่อมอีกหลายแสน

อะไรทำให้ท่านคิดแบบนั้นครับ

แต่ถึงจะเป็นจริง ตามที่ว่ามา เมื่อถึงวันนั้น เราก็ต้องซื้อมาใช้อยู่ดี ในเมื่อทั่วโลกเขาก็ใช้กัน

แต่ผมเชื่อว่า ถ้าอะไรที่ราคามันโหดมากเกินจริง มันจะคงไว้ได้ไม่นาน ก็จะต้องโดนปลดล็อค เหมือนกับโทรศัพท์มือถือยุคแรกๆ ที่แพงมาก แล้วก็จะค่อยๆ ถูกลงเรื่อยๆ จนถึงราคาที่เหมาะสมครับ

ออฟไลน์ Auto

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 4,632
ก็คงซ่อมง่ายกว่าเดิมล่ะครับ       แต่ราคาซ่อมและอายุการใช้งานจะไม่เหมือนเดิมแน่    บริษัทรถเขาคิดมาแล้วดักทางไว้หมดแล้วครับ    ค่าซ่อมจะแพงขึ้นจะมีอะไหล่ที่ต้องเลปี่ยนยกชุดมากขึ้น และราคาซ่อมจะแพงมาก  อาจทำเป็นวงจรและล็อคโปรแกรมไว้เลยเช่น ไฟโชว์จะล็อคระบบฉุกเฉินให้หยุด ก็จะมียานแม่มายกเข้าศูนย์ไป  ค่าใช้จ่ายเบื้องต้นอาจจะ 5000 บาท   พอเช็คเสร็จเปลี่ยนอะไหล่อาจโดนไปอีก 30,000  อะไรแบบนี้         พอใช้ไปซัก 5  ปี ต้องเปลี่ยนแบตเสียอีก 1 แสนกว่า หลังจากนั้นโดนระบบช่วงล่างจะต้องซ่อมพิเศษอีกเพราะต่อระบบไฟฟ้าไว้  ต้องใช้ของศูนย์เท่านั้นโดนไปอีก 5 หมื่นกว่า  พออายุ 10 ปีก็เริ่มต้องทิ้งรถไปทั้งคันละ หรือถ้าไม่ทิ้งก็โดนค่าซ่อมอีกหลายแสน

อะไรทำให้ท่านคิดแบบนั้นครับ

แต่ถึงจะเป็นจริง ตามที่ว่ามา เมื่อถึงวันนั้น เราก็ต้องซื้อมาใช้อยู่ดี ในเมื่อทั่วโลกเขาก็ใช้กัน

แต่ผมเชื่อว่า ถ้าอะไรที่ราคามันโหดมากเกินจริง มันจะคงไว้ได้ไม่นาน ก็จะต้องโดนปลดล็อค เหมือนกับโทรศัพท์มือถือยุคแรกๆ ที่แพงมาก แล้วก็จะค่อยๆ ถูกลงเรื่อยๆ จนถึงราคาที่เหมาะสมครับ
   ก็เพราะผม.........    หลักการคิดมันก็จึงเป็นแบบนี้ละ     บริษัทรถไม่มีทางขายของในราคาถูกลงถ้าเห็นว่าราคารถและอะไหล่จะถูกลงก็จะใส่เทคโนโลยีเพิ่มขึ้นเพื่อให้เห็นว่าต้องอัพราคาที่เหมาะสม  และ ในอนาคตจะไม่ให้ค่าซ่อมรถ อะไหล่ มีราคาที่ถูกลงแน่นอนครับ    ไม่งั้นผู้ค้า คู่ค้าที่ร่วมกันมา ดีลเลอร์ โรงงานผลิตอะไหล่ต้นทางจะทำยังไง         การขายรถยนต์ไม่ใช่ขายแล้วขายเลยเหมือนเครื่องใช้ไฟฟ้า วิทยุ ที่แทบไม่ต้องการดูแล      แต่รถยนต์จำเป็นต้องมีการซ่อมบำรุงดูแลกันระหว่างทางตลอดอายุรถคันนั้น  กำไรที่ได้  จะได้จากดการขายรถ ดีลเลอร์ก็ต้องได้ค่าซ่อมบริการด้วย  รวมถึงอะไหล่ที่ต้องทำขายในรถรุ่นนั้นด้วยต้องขายเวลาอย่างน้อย 10 ปี จึงจะคุ้มค่าแม่พิมพ์และเปิดโมเดลขึ้นมาผลิต            รถต้นแบบรถไฟฟ้าทุกค่ายมีหมดเพียงแต่ถึงเวลาจะผลิตออกมาช่วงไหนอยู่ที่ตลาดขณะนั้นเหมาะสมหรือมีความพร้อมหรือยังเท่านั้นเอง
ถ้าให้สรุปสั้น ๆ คือ
 -  รถที่ขายต้องมีกำไรเพียงพอให้เลี้ยงโรงงานให้อยู่ได้ ในสภาพต้องไม่น้อยกว่าปัจจุบัน  คือมีกำไรต่อหน่วยที่เหมาะสมและราคาที่ทำตลาดได้     จะออกมาแพงเท่าไหร่ไม่รู้แต่กำไรต้องไม่น้อยกว่าเดิม
 - มันต้องมีำกำไรเพียงพอให้ดีเลอร์คู่ค้าอยู่ได้ด้วยงานขายและค่าบริการ  ซึ่งนั่นต้องแลกมากับค่าแรงและค่าอะไหล่ที่แพงขึ้น
 - ส่วนโรงงานผลิตชิ้นส่วนก็ต้องขายอะไหล่ได้ด้วย  กำไรจากการขายอะไหล่ตลอดโมเดลรถ  ไม่ใช่ทำออกมาแล้วลูกค้าสามารถไปหาอะไหล่ทดแทนอื่นได้หมด 
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: พฤศจิกายน 07, 2016, 19:20:50 โดย Auto »

ออฟไลน์ Smith686

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 2,953
    • อีเมล์
ก็คงซ่อมง่ายกว่าเดิมล่ะครับ       แต่ราคาซ่อมและอายุการใช้งานจะไม่เหมือนเดิมแน่    บริษัทรถเขาคิดมาแล้วดักทางไว้หมดแล้วครับ    ค่าซ่อมจะแพงขึ้นจะมีอะไหล่ที่ต้องเลปี่ยนยกชุดมากขึ้น และราคาซ่อมจะแพงมาก  อาจทำเป็นวงจรและล็อคโปรแกรมไว้เลยเช่น ไฟโชว์จะล็อคระบบฉุกเฉินให้หยุด ก็จะมียานแม่มายกเข้าศูนย์ไป  ค่าใช้จ่ายเบื้องต้นอาจจะ 5000 บาท   พอเช็คเสร็จเปลี่ยนอะไหล่อาจโดนไปอีก 30,000  อะไรแบบนี้         พอใช้ไปซัก 5  ปี ต้องเปลี่ยนแบตเสียอีก 1 แสนกว่า หลังจากนั้นโดนระบบช่วงล่างจะต้องซ่อมพิเศษอีกเพราะต่อระบบไฟฟ้าไว้  ต้องใช้ของศูนย์เท่านั้นโดนไปอีก 5 หมื่นกว่า  พออายุ 10 ปีก็เริ่มต้องทิ้งรถไปทั้งคันละ หรือถ้าไม่ทิ้งก็โดนค่าซ่อมอีกหลายแสน

อะไรทำให้ท่านคิดแบบนั้นครับ

แต่ถึงจะเป็นจริง ตามที่ว่ามา เมื่อถึงวันนั้น เราก็ต้องซื้อมาใช้อยู่ดี ในเมื่อทั่วโลกเขาก็ใช้กัน

แต่ผมเชื่อว่า ถ้าอะไรที่ราคามันโหดมากเกินจริง มันจะคงไว้ได้ไม่นาน ก็จะต้องโดนปลดล็อค เหมือนกับโทรศัพท์มือถือยุคแรกๆ ที่แพงมาก แล้วก็จะค่อยๆ ถูกลงเรื่อยๆ จนถึงราคาที่เหมาะสมครับ
   ก็เพราะผม.........    หลักการคิดมันก็จึงเป็นแบบนี้ละ     บริษัทรถไม่มีทางขายของในราคาถูกลงถ้าเห็นว่าราคารถและอะไหล่จะถูกลงก็จะใส่เทคโนโลยีเพิ่มขึ้นเพื่อให้เห็นว่าต้องอัพราคาที่เหมาะสม  และ ในอนาคตจะไม่ให้ค่าซ่อมรถ อะไหล่ มีราคาที่ถูกลงแน่นอนครับ    ไม่งั้นผู้ค้า คู่ค้าที่ร่วมกันมา ดีลเลอร์ โรงงานผลิตอะไหล่ต้นทางจะทำยังไง         การขายรถยนต์ไม่ใช่ขายแล้วขายเลยเหมือนเครื่องใช้ไฟฟ้า วิทยุ ที่แทบไม่ต้องการดูแล      แต่รถยนต์จำเป็นต้องมีการซ่อมบำรุงดูแลกันระหว่างทางตลอดอายุรถคันนั้น  กำไรที่ได้  จะได้จากดการขายรถ ดีลเลอร์ก็ต้องได้ค่าซ่อมบริการด้วย  รวมถึงอะไหล่ที่ต้องทำขายในรถรุ่นนั้นด้วยต้องขายเวลาอย่างน้อย 10 ปี จึงจะคุ้มค่าแม่พิมพ์และเปิดโมเดลขึ้นมาผลิต            รถต้นแบบรถไฟฟ้าทุกค่ายมีหมดเพียงแต่ถึงเวลาจะผลิตออกมาช่วงไหนอยู่ที่ตลาดขณะนั้นเหมาะสมหรือมีความพร้อมหรือยังเท่านั้นเอง
ถ้าให้สรุปสั้น ๆ คือ
 -  รถที่ขายต้องมีกำไรเพียงพอให้เลี้ยงโรงงานให้อยู่ได้ ในสภาพต้องไม่น้อยกว่าปัจจุบัน  คือมีกำไรต่อหน่วยที่เหมาะสมและราคาที่ทำตลาดได้     จะออกมาแพงเท่าไหร่ไม่รู้แต่กำไรต้องไม่น้อยกว่าเดิม
 - มันต้องมีำกำไรเพียงพอให้ดีเลอร์คู่ค้าอยู่ได้ด้วยงานขายและค่าบริการ  ซึ่งนั่นต้องแลกมากับค่าแรงและค่าอะไหล่ที่แพงขึ้น
 - ส่วนโรงงานผลิตชิ้นส่วนก็ต้องขายอะไหล่ได้ด้วย  กำไรจากการขายอะไหล่ตลอดโมเดลรถ  ไม่ใช่ทำออกมาแล้วลูกค้าสามารถไปหาอะไหล่ทดแทนอื่นได้หมด


    ธุรกิจรถไฟฟ้าเป็นธุรกิจเสรีครับ  ใครตั้งราคาขายแพงคนก็ไม่ซื้อ

ออฟไลน์ Smith686

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 2,953
    • อีเมล์
รถยนต์ที่ใช้น้ำมันใช้ชิ้นส่วนประมาณ 2,000 ชิ้น

แต่ "เทสลา" ใช้ชิ้นส่วนแค่ 18 ชิ้น

จุดเปลี่ยนที่ทำให้โลกหันมาจับตามอง "รถยนต์ไฟฟ้า" อยู่ที่การผลิตแบตเตอรี่ที่มีประสิทธิภาพสูง ในต้นทุนที่ต่ำลงเรื่อย ๆ

มีคนบอกว่า ตอนที่โลกเปลี่ยนจากใช้ "รถม้า" มาใช้ "รถยนต์"

บังเอิญ "รถยนต์" ที่ค้นคิดขึ้นมาเป็นรถที่ใช้น้ำมัน

กระแสทั้งหมดก็มุ่งไปที่เครื่องยนต์ที่ใช้น้ำมัน

ไม่มีใครสนใจ"แบตเตอรี่"

พัฒนาการของ "แบตเตอรี่" จึงช้า เพราะคนคิดแต่เรื่องเครื่องยนต์ที่ใช้น้ำมัน

แต่พอวันหนึ่งมีคนสนใจพัฒนา "รถยนต์ไฟฟ้า"

พัฒนาการเรื่อง "แบตเตอรี่" จึงเกิดขึ้น

"อีลอน มัสก์" คือ ผู้บุกเบิกเรื่องนี้อย่างจริงจัง

ถามว่า บริษัทรถยนต์ทั้งหลายทำไมไม่มีใครคิดเรื่องนี้

ตอบง่าย ๆ ว่า เขาคงคิดอยู่แล้ว

ถ้า "โตโยต้า" ทำรถไฮบริดได้ ก็แสดงว่าเขาสนใจเรื่อง "รถไฟฟ้า"

เพราะ "ไฮบริด" คือ รถที่ผสมผสานระหว่างการใช้น้ำมันกับไฟฟ้า

เพียงแต่ผ่านเครื่องยนต์แบบเดิม

ที่มีชิ้นส่วน 2,000 ชิ้น

มีคนบอกว่า บางที "โตโยต้า" อาจจะคิดเสร็จแล้วก็ได้

เพียงแต่ว่าในทางธุรกิจ โมเดลธุรกิจรถยนต์ไฟฟ้า คือ หอกที่ทิ่มแทงตัวเอง

เพราะเป็นโมเดลที่ฆ่ารถยนต์ที่ใช้น้ำมัน

ถ้าพัฒนารถยนต์ไฟฟ้าเร็วมากเท่าไรธุรกิจเดิมก็ตายเร็วเท่านั้น

เรื่องอะไรเขาจะทำ

อย่าลืมว่าโครงสร้างอุตสาหกรรมรถยนต์นั้นใหญ่โตมโหฬาร

ถ้า"รถยนต์ไฟฟ้า" ที่ใช้ชิ้นส่วน 18 ชิ้นมาเมื่อไร

พังกันเป็นแถบแน่นอน

ที่น่าจับตามองคือ ตอนนี้ "จีน" กำลังบุกธุรกิจรถยนต์ไฟฟ้าอย่างหนัก

เพราะนี่คือ "โอกาส"

ถ้าสู้ในเกมเดิม คือ รถยนต์ที่ใช้น้ำมัน

เขาคงสู้ญี่ปุ่น สหรัฐอเมริกา หรือเยอรมันไม่ได้

แต่ถ้าเกมเปลี่ยน เกิดสนามใหม่คือ รถยนต์ไฟฟ้า

แบบนี้ทุกคนเท่าเทียมกัน

เพราะเริ่มต้นใหม่เหมือนกันหมด

กลายเป็นว่าใครที่มีธุรกิจเดิมใหญ่เท่าไรจะเสียเปรียบทันที

"ความใหญ่"ของธุรกิจเดิมคือ "จุดอ่อน"

เพราะไม่กล้าเปลี่ยน

กลัวจะเสียตลาดเดิม

แต่คนที่เริ่มต้นใหม่ ไม่มี "สัมภาระ" อะไร สามารถเดินหน้าได้เต็มที่

ไม่ใช่เพียงแค่ "จีน"

แต่หมายถึงกลุ่มธุรกิจที่มีเงินและเทคโนโลยีอย่างกูเกิล แอปเปิล หรือไมโครซอฟท์

เขาสามารถข้ามสายพันธุ์สู่อุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้าได้ทันที

ยิ่งเห็นกราฟตัวเลขต้นทุนแบตเตอรี่ที่ลดลงอย่างรวดเร็ว

ผมเชื่อว่าค่ายรถยนต์ในปัจจุบันคงเริ่มพลิกดูกรณีศึกษาที่คลาสสิกมากของวงการธุรกิจโลกเรื่องนี้

การล่มสลายของ"โกดัก" ครับ

ทำอย่างไรจะไม่เป็น "โกดัก" ของวงการรถยนต์

http://www.prachachat.net/news_detail.php?newsid=1464588615

ออฟไลน์ seamonkey

  • Sr. Member
  • ****
  • กระทู้: 521
รถไฟฟ้า เสียคือรอยกอย่างเดียว
รถเครื่องสันดาปภายใน เสียในบางจุดอาจจะพอทำให้วิ่งไปต่อจนถึงอู่ได้

ยกตัวอย่างถ้าหัวเทียนเสียไปตัวยังขับไปต่อได้ แต่ถ้ารถไฟฟ้าระบบจ่ายไฟไปไม่ครบเฟส (สมมุตว่าใช้ 3 เฟส) นี้จอดอย่างเดียวเลยครับ

ออฟไลน์ Equcha

  • Sr. Member
  • ****
  • กระทู้: 763
คนทำงานกับ Motor ใหญ่ๆน่าจะทราบนะครับ

เสียทีนึงนี่ Overhaul ไม่เบาเหมือนกันนะครับ  ::)

ปกติมอเตอร์อายุ 2-3 ปีนี่ก็ Overhaul แล้วนะครับ พูดถึงของแพงๆดีๆเลยนะครับ

ของในรถผมว่าก็ไม่ต่างกัน รอดูเหมือนกันครับ

ออฟไลน์ InBkk

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 1,115
ผมเชื่อเสมอว่า เทคโนโลยีใหม่ๆ มันจะแพงในช่วงแรก แต่พอมีคนใช้มากขึ้น ผู้ผลิตก็จะมีวิธีทำให้มันค่อยๆ ถูกลงเอง อย่างโทรศัพท์มือถือสมัยก่อน เครื่องละเป็นแสน โทรออกได้อย่างเดียว สัญญาณก็ไม่ชัด แถมโคตรหนัก แต่เดี๋ยวนี้สมาร์ทโฟนเครื่องละไม่กี่หมื่น เล็ก เบา ทำได้ตั้งหลายอย่าง จอแตกก็หาร้านข้างนอกซ่อมได้

ออฟไลน์ arya

  • Sr. Member
  • ****
  • กระทู้: 553
ที่บอกว่า 18 ชิ้นที่ว่า คืออะไรบ้างครับ มันถึงได้น้อยขนาดนั้น

แล้วพาร์ท ภายใน 18 ชิ้นนั้น มันไม่มีพาร์ทแยกย่อยภายในเลยหรอคับ

มันเหมือนกับนับมีเครื่องยนต์ 1 เครื่องแต่ไม่นับลูกสูบ แหวน ข้อเหวี่ยง หรือเปล่าคับ

และชิ้นส่วนตัวถัง ชิ้นส่วนภายในอีก ทั้งคัน มีแค่ 18 ชิ้น

อยากเห็น 18 ชิ้นนั้นจิงๆคับ