eco sticker เรื่องอัตราการใช้น้ำมัน น่าเชื่อถือได้มากน้อยแค่ไหนครับ

Hooray55

eco sticker เรื่องอัตราการใช้น้ำมัน น่าเชื่อถือได้มากน้อยแค่ไหนครับ

ในเรื่องของ สภาวะในเมื่อ สภาวะนอกเมือง



« แก้ไขครั้งสุดท้าย: พฤศจิกายน 16, 2017, 11:47:13 โดย Hooray55 »



ซิ่งเข้าส้วม

เชื่อได้แค่กะๆ เอาครับ แต่ถ้าในนี้กินมากกว่าเดิม ใช้จริงก็กินกว่าเดิมครับ



Stp

ดูไว้ประกอบ แต่อย่างคิดเยอะ ผมว่าผลการทดสอบของหน่วยงานทุกแห่งในโลกก็ใช่ว่าจะแป๊ะ ปัจจัยแตกต่างชีวิตจริงมันเยอะกว่านั้น
:D ;D ร่วมรณรงค์รักการอ่านหนังสือ แทนการถามตลอดเวลา ;D :D



boyyyy

นั่นคือ สูงสุดที่รถทำได้ครับ

แต่ชีวิตจริงอยู่ที่เท้าใครครับ



Hooray55


พึ่งเจอคลิปนี้ครับ




mentos

ยุโรปคงเก่งกว่าเรื่องนี้



apinui

มันเป็นการทดสอบในรูปแบบการทดสอบที่เหมือนกัน เป็นมาตราฐานเดียวกันครับ ...

เอาง่ายๆ ทำแบบที่คุณ Jimmy ทำนั่นแหละ ถนนเส้นเดียวกัน ขับ แบบเดียวกัน น้ำมันชนิดเดียวกัน

ทีนี้ เราผู้ใช้จะทำได้แบบที่ Ecosticker แสดงไหม ก็ขึ้นกับว่าเราขับเหมือนเค้าหรือเปล่า ...

แผ่นนี้ เป็นแผ่นอ้างอิงค์เบื้องต้นให้ลูกค้าได้ตัดสินใจเลือกครับ

เอาง่ายๆเช่น ตรงส่วน"อุปกรณ์ที่ติดตั้งมาจากโรงงาน"

Honda เลือกชูอุปกรณ์ที่เน้นความสะดวกสะบาย .... ในขณะที่ Mazda ใส่แต่อุปกรณ์ความปลอดภัย ...

ซึ่งตรงนี้ก็เป็นจุดให้ลูกค้าพิจารณาเลือกซื้อตามความต้องการแค่นั้นเองครับ



apinui

ยุโรปคงเก่งกว่าเรื่องนี้

มาตราฐานที่ทดสอบเช่น Euro 4-6 เนี่ย บางรุ่นที่ไม่มี ไม่ใช่ว่าไม่ผ่านนะครับ แต่เป็นเรื่องปรกติที่รถเปิดตัวใหม่ยังไม่ได้ทำการทดสอบกับมาตราฐานดังกล่าว เพราะกฏหมายของไทยเรา ถ้าผ่าน มอก.ก็สามารถวางขายในประเทศได้แล้ว

และก็ อุปกรณ์ที่ติดตั้งมาจากโรงงาน มีมาให้เท่านี้ ไม่อาย CX5 มั้งหรอครับ .... CRV ยัง option ดีกว่าเลย ....



mentos

ที่ทึ่งคงเป็นเรื่องการปล่อยมลพิษ ซึ่งมีผลโดยตรงกับภาษี เครื่องใหญ่กว่า รถหนักกว่า แต่กลับทำตัวเลขได้ดีกว่า



mongolias

ตอบด้วยความมั่นใจว่า ไม่เคยสนใจเลย ไม่รู้ด้วยว่ามันเชื่อถือได้ขนาดไหน 555
ผมอาศัยดูรีวิวจากหลายๆเว็บ ดูจากในคลับ ประกอบการตัดสินใจโดยรวมครับ



ttcl

เป็นไปตามคลิปที่คุณ Hooray55 เจ้าของกระทู้โพสครับ

หลายปีก่อนผมเคยศึกษาข้อมูลพวกนี้ ว่ารูปแบบการทดสอบอัตราการใช้น้ำมันของภมิภาคต่างๆ เป็นอย่างไร ของญี่ปุ่น ยุโรป อเมริกา ก็มี loop การทดสอบที่ต่างกัน ว่า เร่งเครื่องไปถึงความเร็วเท่าไหร่ ค้างความเร็วนั่นกี่วินาที เบรคลงมาจนหยุด หยุดกี่วินาที ฯลฯ

ญี่ปุ่น จากโหมด 10-15 ปัจจุบันก็เปลี่ยนมาเป็น jc08 , ฝั่งอเมริกาก็ดูค่าจาก EPA

ซึ่งเมื่อก่อน เรื่องการวัดอัตราการใช้น้ำมันนี้เป็นเรื่องใหม่ในไทย พึ่งมีตอนอีโคคาร์เฟสแรกเป็นครั้งแรก แต่ก่อนหน้านั้นในไทยก็มีการวัดค่ามลพิษอยู่แล้ว ซึ่งก็ใช้ loop เดียวกัน เพราะเค้าใช้การเก็บค่าสารประกอบต่างๆในแลป แล้วเอาไปคำนวณจำนวนการใช้น้ำมัน

สมัยนั้นบางคนที่อยู่ในแวดวงรถยนต์ยังรู้จักแต่ loop การวัดมลพิษ แต่ไม่รู้ว่าการวัดอัตราการใช้น้ำมันก็ใช้ loop เดียวกันนี้ก็มี  ::) มาเถียงว่า loop ที่ผมบอกมาเป็น loop การวัดมลพิษ ผมต้องบอกว่าเค้าใช้ loop เดียวกัน โดยการเก็บค่าสารประกอบในแลปไปพร้อมกัน แล้วเอาไปคำนวณปริมาณน้ำมัน ไม่ใช่ว่าใช้วิธีเติมน้ำมันจริงๆ  ::)

จาก 3 มาตรฐานนี้ ญี่ปุ่น ยุโรป อเมริกา , มาตรฐานของอเมริกาจะกินน้ำมันที่สุด เพราะฉะนั้นใครที่ใช้รถในสภาวะที่รถติดบ่อยๆ ก็จะพบว่าค่าของฝั่งอเมริกาให้ตัวเลขที่ใกล้เคียงกว่า

ส่วนของไทยเลือกใช้การวัดแบบทางยุโรป

ที่ถามว่าเชื่อถือได้มากน้อยแค่ไหน ก็ต้องดูว่าเราขับรถใกล้เคียงกับ loop ที่เค้าทดสอบหรือไม่ บางคนอาจจะใกล้เคียง บางคนอาจเจอไฟแดงทีละ 10 นาที 3 ไฟ อย่างนี้ก็ไม่ใกล้เคียงครับ

เวลาผมดูตัวเลขใน eco sticker ผมจะใช้ในเชิงเปรียบเทียบรถมากกว่า เช่น รถ 2 คันนี้ถ้าขับเหมือนกันในรูปแบบยุโรปที่ eco sticker ใช้ คันไหนกินน้ำมันกว่ากันเท่าไหร่

ส่วนเวลาขับจริง สภาวะในการขับจริงของผม ผมเคยทำตัวเลขคร่าวๆเปรียบเทียบกับ loop ของยุโรป
เช่น loop สภาวะในเมืองของยุโรปวัดที่ความเร็วเฉลี่ย 18.70 กม/ชม ผมก็ดูว่ารถผมกินน้ำมันเท่าไหร่ที่ความเร็วเฉลี่ยเดียวกัน ซึ่งแต่ละคันก็ต่างจากค่าในสเปค และก็ต่างกันไม่เท่ากันในแต่ละคันอีกต่างหาก (เพราะสภาวะที่ผมขับ เวลารถติด รถติดกว่า loop ที่ใช้ทดสอบ แม้จะได้ความเร็วเฉลี่ยออกมาเท่ากันก็ตาม )
ยกตัวอย่าง ความเร็ว 60 กม/ชม , คันนึงขับ 60 เป็นเวลา 1 ชั่วโมง , ส่วนอีกคันจอดนิ่งครึ่งชั่วโมง แล้วอีกครึ่งชั่วโมงขับ 120 , ได้ความเร็วเฉลี่ยออกมาเท่ากันที่ 60 กม/ชม แต่กินน้ำมันไม่เท่ากัน แม้จะเป็นรุ่นรถเดียวกันก็ตาม (ยกตัวอย่างเลขกลมๆให้เห็นภาพเฉยๆครับ)

ทีนี้ลองมาดูตัวเลขที่ผมบันทึกครับ

คันแรก
spec สภาวะในเมือง 13.6 L/100km , ขับจริง ได้ 13.8 L/100km (กินกว่า spec 1.47%)
spec สภาวะรวม 9.6 L/100km , ขับจริง ได้ 10.8 L/100km (กินกว่า spec 12.50%)

คันที่สอง (ยี่ห้อเดียวกับคันแรก)
spec สภาวะในเมือง 14.9 L/100km , ขับจริง ได้ 16.8 L/100km (กินกว่า spec 12.75%)
spec สภาวะรวม 10.2 L/100km , ขับจริง ได้ 12.8 L/100km (กินกว่า spec 25.49%)
spec สภาวะนอกเมือง 7.5 L/100km , ขับจริง ได้ 10.1 L/100km (กินกว่า spec 34.67%)

คันที่สาม
spec สภาวะในเมือง 15.8 L/100km , ขับจริง ได้ 18.6 L/100km (กินกว่า spec 17.72%)
spec สภาวะรวม 10.9 L/100km , ขับจริง ได้ 12.6 L/100km (กินกว่า spec 15.60%)

คันที่สี่
spec สภาวะในเมือง 15.1 L/100km , ขับจริง ได้ 19.3 L/100km (กินกว่า spec 27.81%)

ข้อมูลของผมนี่คือผมคำนวณคร่าวๆเอาไว้ดูเป็นความรู้เฉยๆ เห็นกระทู้นี้ถามมาพอดี เลยเอามาแชร์กันครับ

ผมสรุปว่า หากขับสภาวะแบบผม ที่ขับในที่ๆรถติดๆบ่อย ติดไฟแดงนานๆ บางไฟแดง 10 นาที อย่างนี้ขับจริงๆจะกินน้ำมันกว่ามาตรฐาน UN R101 ครับ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: พฤศจิกายน 16, 2017, 19:52:05 โดย ttcl »



แมวดราม่า

^
คห.บน อธิบายไว้ดีมากเลยครับ

คือการทดสอบมาตรฐานมันมีไว้อ้างอิงเฉยๆ มันเหมือนกับที่ทางเว็บนี้เทสต์ 110 กม./ชม. "โดยพยายามให้มันคงที่ที่สุดเท่าที่จะทำได้บนเส้นทางใกล้ๆ เดิมมากที่สุด" ที่หลายคนก็ไม่ยอมรับเช่นกัน

Eco Car หรือรถอื่นๆ ที่ผ่านการทดสอบด้วยมาตรฐานเดียวกัน มันไม่ได้แปลว่ามันจะต้องใช้แล้วตรงกับที่เทสต์ แต่ มันเป็น "ผลเทสต์ที่มาตรฐานอ้างอิงได้" เท่านั้นเองครับ
Dare to Drama! | Original Nissan X-Trail Club Thailand: http://www.facebook.com/groups/180634121979355/



Nouiii1

เป็นไปตามคลิปที่คุณ Hooray55 เจ้าของกระทู้โพสครับ

หลายปีก่อนผมเคยศึกษาข้อมูลพวกนี้ ว่ารูปแบบการทดสอบอัตราการใช้น้ำมันของภมิภาคต่างๆ เป็นอย่างไร ของญี่ปุ่น ยุโรป อเมริกา ก็มี loop การทดสอบที่ต่างกัน ว่า เร่งเครื่องไปถึงความเร็วเท่าไหร่ ค้างความเร็วนั่นกี่วินาที เบรคลงมาจนหยุด หยุดกี่วินาที ฯลฯ

ญี่ปุ่น จากโหมด 10-15 ปัจจุบันก็เปลี่ยนมาเป็น jc08 , ฝั่งอเมริกาก็ดูค่าจาก EPA

ซึ่งเมื่อก่อน เรื่องการวัดอัตราการใช้น้ำมันนี้เป็นเรื่องใหม่ในไทย พึ่งมีตอนอีโคคาร์เฟสแรกเป็นครั้งแรก แต่ก่อนหน้านั้นในไทยก็มีการวัดค่ามลพิษอยู่แล้ว ซึ่งก็ใช้ loop เดียวกัน เพราะเค้าใช้การเก็บค่าสารประกอบต่างๆในแลป แล้วเอาไปคำนวณจำนวนการใช้น้ำมัน

สมัยนั้นบางคนที่อยู่ในแวดวงรถยนต์ยังรู้จักแต่ loop การวัดมลพิษ แต่ไม่รู้ว่าการวัดอัตราการใช้น้ำมันก็ใช้ loop เดียวกันนี้ก็มี  ::) มาเถียงว่า loop ที่ผมบอกมาเป็น loop การวัดมลพิษ ผมต้องบอกว่าเค้าใช้ loop เดียวกัน โดยการเก็บค่าสารประกอบในแลปไปพร้อมกัน แล้วเอาไปคำนวณปริมาณน้ำมัน ไม่ใช่ว่าใช้วิธีเติมน้ำมันจริงๆ  ::)

จาก 3 มาตรฐานนี้ ญี่ปุ่น ยุโรป อเมริกา , มาตรฐานของอเมริกาจะกินน้ำมันที่สุด เพราะฉะนั้นใครที่ใช้รถในสภาวะที่รถติดบ่อยๆ ก็จะพบว่าค่าของฝั่งอเมริกาให้ตัวเลขที่ใกล้เคียงกว่า

ส่วนของไทยเลือกใช้การวัดแบบทางยุโรป

ที่ถามว่าเชื่อถือได้มากน้อยแค่ไหน ก็ต้องดูว่าเราขับรถใกล้เคียงกับ loop ที่เค้าทดสอบหรือไม่ บางคนอาจจะใกล้เคียง บางคนอาจเจอไฟแดงทีละ 10 นาที 3 ไฟ อย่างนี้ก็ไม่ใกล้เคียงครับ

เวลาผมดูตัวเลขใน eco sticker ผมจะใช้ในเชิงเปรียบเทียบรถมากกว่า เช่น รถ 2 คันนี้ถ้าขับเหมือนกันในรูปแบบยุโรปที่ eco sticker ใช้ คันไหนกินน้ำมันกว่ากันเท่าไหร่

ส่วนเวลาขับจริง สภาวะในการขับจริงของผม ผมเคยทำตัวเลขคร่าวๆเปรียบเทียบกับ loop ของยุโรป
เช่น loop สภาวะในเมืองของยุโรปวัดที่ความเร็วเฉลี่ย 18.70 กม/ชม ผมก็ดูว่ารถผมกินน้ำมันเท่าไหร่ที่ความเร็วเฉลี่ยเดียวกัน ซึ่งแต่ละคันก็ต่างจากค่าในสเปค และก็ต่างกันไม่เท่ากันในแต่ละคันอีกต่างหาก (เพราะสภาวะที่ผมขับ เวลารถติด รถติดกว่า loop ที่ใช้ทดสอบ แม้จะได้ความเร็วเฉลี่ยออกมาเท่ากันก็ตาม )
ยกตัวอย่าง ความเร็ว 60 กม/ชม , คันนึงขับ 60 เป็นเวลา 1 ชั่วโมง , ส่วนอีกคันจอดนิ่งครึ่งชั่วโมง แล้วอีกครึ่งชั่วโมงขับ 120 , ได้ความเร็วเฉลี่ยออกมาเท่ากันที่ 60 กม/ชม แต่กินน้ำมันไม่เท่ากัน แม้จะเป็นรุ่นรถเดียวกันก็ตาม (ยกตัวอย่างเลขกลมๆให้เห็นภาพเฉยๆครับ)

ทีนี้ลองมาดูตัวเลขที่ผมบันทึกครับ

คันแรก
spec สภาวะในเมือง 13.6 L/100km , ขับจริง ได้ 13.8 L/100km (กินกว่า spec 1.47%)
spec สภาวะรวม 9.6 L/100km , ขับจริง ได้ 10.8 L/100km (กินกว่า spec 12.50%)

คันที่สอง (ยี่ห้อเดียวกับคันแรก)
spec สภาวะในเมือง 14.9 L/100km , ขับจริง ได้ 16.8 L/100km (กินกว่า spec 12.75%)
spec สภาวะรวม 10.2 L/100km , ขับจริง ได้ 12.8 L/100km (กินกว่า spec 25.49%)
spec สภาวะนอกเมือง 7.5 L/100km , ขับจริง ได้ 10.1 L/100km (กินกว่า spec 34.67%)

คันที่สาม
spec สภาวะในเมือง 15.8 L/100km , ขับจริง ได้ 18.6 L/100km (กินกว่า spec 17.72%)
spec สภาวะรวม 10.9 L/100km , ขับจริง ได้ 12.6 L/100km (กินกว่า spec 15.60%)

คันที่สี่
spec สภาวะในเมือง 15.1 L/100km , ขับจริง ได้ 19.3 L/100km (กินกว่า spec 27.81%)

ข้อมูลของผมนี่คือผมคำนวณคร่าวๆเอาไว้ดูเป็นความรู้เฉยๆ เห็นกระทู้นี้ถามมาพอดี เลยเอามาแชร์กันครับ

ผมสรุปว่า หากขับสภาวะแบบผม ที่ขับในที่ๆรถติดๆบ่อย ติดไฟแดงนานๆ บางไฟแดง 10 นาที อย่างนี้ขับจริงๆจะกินน้ำมันกว่ามาตรฐาน UN R101 ครับ


comment คุณภาพ อยากให้ Social มีแต่เม้นแบบนี้

 :-* :-* :-*



SM.

การทดสอบ มีผลไว้อ้างอิงครับ การใช้งานจริงๆ แน่นอนว่าตัวแปรเยอะมาก ฉะนั้นไม่ตรงกับตัวเลขบนฉลากหรอกครับ



Odeng

    ผมว่ามันเหมาะกับการใช้เปรียบเทียบรถในตัวเลือกของเราเฉยๆ ครับ ว่าใครประหยัดกว่ากัน (ผมเคยเทียบระหว่าง Mazda 2 กับ Eco Car ยี่ห้ออื่น ตัวเลขต่างกันชัดเจน)  แต่คงเทียบกับการใช้งานจริงไม่ค่อยได้ โดยเฉพาะในเมือง