เป็นไปตามคลิปที่คุณ Hooray55 เจ้าของกระทู้โพสครับ
หลายปีก่อนผมเคยศึกษาข้อมูลพวกนี้ ว่ารูปแบบการทดสอบอัตราการใช้น้ำมันของภมิภาคต่างๆ เป็นอย่างไร ของญี่ปุ่น ยุโรป อเมริกา ก็มี loop การทดสอบที่ต่างกัน ว่า เร่งเครื่องไปถึงความเร็วเท่าไหร่ ค้างความเร็วนั่นกี่วินาที เบรคลงมาจนหยุด หยุดกี่วินาที ฯลฯ
ญี่ปุ่น จากโหมด 10-15 ปัจจุบันก็เปลี่ยนมาเป็น jc08 , ฝั่งอเมริกาก็ดูค่าจาก EPA
ซึ่งเมื่อก่อน เรื่องการวัดอัตราการใช้น้ำมันนี้เป็นเรื่องใหม่ในไทย พึ่งมีตอนอีโคคาร์เฟสแรกเป็นครั้งแรก แต่ก่อนหน้านั้นในไทยก็มีการวัดค่ามลพิษอยู่แล้ว ซึ่งก็ใช้ loop เดียวกัน เพราะเค้าใช้การเก็บค่าสารประกอบต่างๆในแลป แล้วเอาไปคำนวณจำนวนการใช้น้ำมัน
สมัยนั้นบางคนที่อยู่ในแวดวงรถยนต์ยังรู้จักแต่ loop การวัดมลพิษ แต่ไม่รู้ว่าการวัดอัตราการใช้น้ำมันก็ใช้ loop เดียวกันนี้ก็มี
มาเถียงว่า loop ที่ผมบอกมาเป็น loop การวัดมลพิษ ผมต้องบอกว่าเค้าใช้ loop เดียวกัน โดยการเก็บค่าสารประกอบในแลปไปพร้อมกัน แล้วเอาไปคำนวณปริมาณน้ำมัน ไม่ใช่ว่าใช้วิธีเติมน้ำมันจริงๆ
จาก 3 มาตรฐานนี้ ญี่ปุ่น ยุโรป อเมริกา , มาตรฐานของอเมริกาจะกินน้ำมันที่สุด เพราะฉะนั้นใครที่ใช้รถในสภาวะที่รถติดบ่อยๆ ก็จะพบว่าค่าของฝั่งอเมริกาให้ตัวเลขที่ใกล้เคียงกว่า
ส่วนของไทยเลือกใช้การวัดแบบทางยุโรป
ที่ถามว่าเชื่อถือได้มากน้อยแค่ไหน ก็ต้องดูว่าเราขับรถใกล้เคียงกับ loop ที่เค้าทดสอบหรือไม่ บางคนอาจจะใกล้เคียง บางคนอาจเจอไฟแดงทีละ 10 นาที 3 ไฟ อย่างนี้ก็ไม่ใกล้เคียงครับ
เวลาผมดูตัวเลขใน eco sticker ผมจะใช้ในเชิงเปรียบเทียบรถมากกว่า เช่น รถ 2 คันนี้ถ้าขับเหมือนกันในรูปแบบยุโรปที่ eco sticker ใช้ คันไหนกินน้ำมันกว่ากันเท่าไหร่
ส่วนเวลาขับจริง สภาวะในการขับจริงของผม ผมเคยทำตัวเลขคร่าวๆเปรียบเทียบกับ loop ของยุโรป
เช่น loop สภาวะในเมืองของยุโรปวัดที่ความเร็วเฉลี่ย 18.70 กม/ชม ผมก็ดูว่ารถผมกินน้ำมันเท่าไหร่ที่ความเร็วเฉลี่ยเดียวกัน ซึ่งแต่ละคันก็ต่างจากค่าในสเปค และก็ต่างกันไม่เท่ากันในแต่ละคันอีกต่างหาก (เพราะสภาวะที่ผมขับ เวลารถติด รถติดกว่า loop ที่ใช้ทดสอบ แม้จะได้ความเร็วเฉลี่ยออกมาเท่ากันก็ตาม )
ยกตัวอย่าง ความเร็ว 60 กม/ชม , คันนึงขับ 60 เป็นเวลา 1 ชั่วโมง , ส่วนอีกคันจอดนิ่งครึ่งชั่วโมง แล้วอีกครึ่งชั่วโมงขับ 120 , ได้ความเร็วเฉลี่ยออกมาเท่ากันที่ 60 กม/ชม แต่กินน้ำมันไม่เท่ากัน แม้จะเป็นรุ่นรถเดียวกันก็ตาม (ยกตัวอย่างเลขกลมๆให้เห็นภาพเฉยๆครับ)
ทีนี้ลองมาดูตัวเลขที่ผมบันทึกครับ
คันแรก
spec สภาวะในเมือง 13.6 L/100km , ขับจริง ได้ 13.8 L/100km (กินกว่า spec 1.47%)
spec สภาวะรวม 9.6 L/100km , ขับจริง ได้ 10.8 L/100km (กินกว่า spec 12.50%)
คันที่สอง (ยี่ห้อเดียวกับคันแรก)
spec สภาวะในเมือง 14.9 L/100km , ขับจริง ได้ 16.8 L/100km (กินกว่า spec 12.75%)
spec สภาวะรวม 10.2 L/100km , ขับจริง ได้ 12.8 L/100km (กินกว่า spec 25.49%)
spec สภาวะนอกเมือง 7.5 L/100km , ขับจริง ได้ 10.1 L/100km (กินกว่า spec 34.67%)
คันที่สาม
spec สภาวะในเมือง 15.8 L/100km , ขับจริง ได้ 18.6 L/100km (กินกว่า spec 17.72%)
spec สภาวะรวม 10.9 L/100km , ขับจริง ได้ 12.6 L/100km (กินกว่า spec 15.60%)
คันที่สี่
spec สภาวะในเมือง 15.1 L/100km , ขับจริง ได้ 19.3 L/100km (กินกว่า spec 27.81%)
ข้อมูลของผมนี่คือผมคำนวณคร่าวๆเอาไว้ดูเป็นความรู้เฉยๆ เห็นกระทู้นี้ถามมาพอดี เลยเอามาแชร์กันครับ
ผมสรุปว่า หากขับสภาวะแบบผม ที่ขับในที่ๆรถติดๆบ่อย ติดไฟแดงนานๆ บางไฟแดง 10 นาที อย่างนี้ขับจริงๆจะกินน้ำมันกว่ามาตรฐาน UN R101 ครับ