- มาดูเรื่องความปลอดภัยกันบ้าง ขอเริ่มจากระบบมาตรฐานก่อน
ระบบความปลอดภัยเชิงปกป้อง ถุงลมนิรภัยคู่หน้า SRS และม่านนิรภัยด้านข้าง/ เข็มขัดนิรภัย 3 จุดทุกตำแหน่งที่นั่งและในคู่หน้ามีระบบรั้งกลับอัตโนมัติ/ ISOFIX จุดยึดสำหรับเบาะเด็ก
ส่วนระบบความปลอดภัยเชิงป้องกัน ล็อครถอัตโนมัต/ เปิดปิดไฟหน้าอัตโนมัติ/ เซ็นเซอร์ปัดน้ำฝนอัตโนมัติ/ กระจกมองหลังพร้อมระบบตัดแสง/ เสียงเตือนการคาดเข็มขัดของเบาะคู่หน้า
- ดิสเบรกทั้ง 4 ล้อ ระบบป้องกันล็อค (ABS)/ พร้อมระบบกระจายแรงเบรก (EBD)/ ระบบสัญญาณไฟกระพริบอัตโนมัติเมื่อเบรกฉุกเฉิน (ESS)/ ระบบช่วยออกตัวบนทางลาดชัน (HLA)/
ระบบควบคุมเสถียรภาพและการทรงตัวของรถ (DSC)/ ระบบป้องกันล้อลื่นไถล (TCS)/ ระบบควบคุมแรงบิดขณะเข้าโค้ง (G-Vectoring Control)
i-ACTIVSENSE ที่เพิ่มเข้ามาแบบจัดเต็มจนถือว่าเป็นจุดเด่นของ Mazda3 MY2017 แต่จะมีในรุ่น 2.0 SP ของทั้งรุ่น SEDAN และ Hatchback
ช่วยปกป้องตัวรถรอบคัน เหมือนมีผู้ช่วยในการขับรถ เพิ่มความปลอดภัยในการขับขี่ เริ่มจาก
- ระบบไฟหน้าอัจฉริยะ Adaptive LED Headlamps (ALH)
เป็นระบบควมคุมไฟสูง-ไฟต่ำอัตโนมัติ ปรับองศาและเปลี่ยนไฟไปตามการขับขี่ โดยเปิดไฟเป็น AUTO แล้วดันก้านไฟเป็นไฟสูง ระบบจะเข้ามาควบคุมการทำงานของไฟหน้ารถ โดยจะมีสัญลักษณ์บอกที่หน้าปัด
เริ่มจากถ้าขับปกติความเร็วไม่เกิน 40 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ไฟหน้าจะกดต่ำและกว้าง เพื่อให้เห็นถนนรอบข้างก่อนออกจากซอย หรือขับขี่ในเมือง
แต่พอความเร็วเกิน 40 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ระบบจะควบคุมไฟสูงให้ไม่ไปแยงรถคันหน้า และที่ชอบมากเหมาะกับถนนสองเลนสายชนบทที่มอเตอร์ไซค์มักไม่มีไฟเบรกด้านหลัง ไฟส่องออกไปด้านข้างได้กว้างและไม่แยงรถคันหน้า
และถ้าไม่มีรถคันหน้าหรือรถขับสวนมา ไฟก็จะปรับเป็นสูงให้อัตโนมัติ ถือว่าใช้งานได้ง่ายและสว่างสะใจสำหรับไฟหน้า LED
- ระบบเตือนเมื่อมีรถในมุมอับสายตาขณะเปลี่ยนเลน Advanced Blind Spot Monitoring (ABSM)
ระบบจะเตือนก่อนเมื่อมีรถมาข้างๆ ระบบจะเริ่มทำงานเมื่อความเร็วเกิน 30 กิโลเมตรต่อชั่วโมง โดยจะส่งสัญญาณไฟเตือนที่กระจกมองข้างก่อน ถ้าเราเปิดไฟเลี้ยวจะมีเสียงเตือนอีกครั้งพร้อมไฟกระพริบ
แตกต่างจากรุ่นเดิมคือ จะมีสัญลักษณ์เตือนที่ Active Driving Display ถ้ามีรถ สัญลักษณ์โค้งๆ สีขาวในข้างที่มีรถในจุดอับ และจะขึ้นสีเหลืองถ้าเราเปิดไฟเลี้ยวไปในด้านที่มีรถ
- ระบบเตือนเมื่อมีรถในมุมอับสายตาขณะถอยหลัง Rear Cross Traffic Alert (RCTA)
เมื่อรถถอยและมีวัตถุเคลื่อนไหวอยู่ท้ายรถที่เสี่ยงจะถูกชน จะมีไฟขึ้นที่กระจกมองข้าง พร้อมเสียงเตือน แต่ในรุ่นที่มีกล้องมองหลัง
จะมีสัญลักษณ์ตกใจที่มุมจอสองข้างของ Center Display ในภาพกล้องถอยหลังให้เห็นได้ชัดเจนขึ้น
- ระบบเตือนการชนด้านหน้า และ ช่วยเบรก Smart Brake Support (SBS) จะทำงานเมื่อความเร็วรถเกิน 15 กิโลเมตรต่อชั่วโมงขึ้นไป โดยจะมีเสียงเตือนพร้อมสัญลักษณ์โชว์ที่หน้าปัดและ Active Driving Display เพื่อเตือนก่อน มีทำงาน 2 แบบ คือ เมื่อมีความเสี่ยงที่จะเกิดการชน ระบบจะเข้ามาช่วยหยุดรถทันที อีกแบบคือถ้าเราเบรกแล้วยังมีความเสียงที่จะชน ระบบจะช่วยเสริมแรงเบรกเพื่อหยุดรถ
- ระบบช่วยหยุดรถอัตโนมัติด้านหน้า Smart City Brake Support (SCBS) จะทำงานในช่วง 4-30 กิโลเมตรต่อชั่วโมง โดยจะมีเสียงเตือนพร้อมสัญลักษณ์โชว์ที่หน้าปัดและ Active Driving Display ระบบจะช่วยหยุดรถเมื่อตรวจจับรถคันหน้า มีโอกาสชน และคนขับไม่เหยียบเบรก
- ระบบช่วยหยุดรถอัตโนมัติด้านหลัง Smart City Brake Support Reverse (SCBS-R)
โดยระบบจะทำงานในช่วงความเร็วในการถอยอยู่ที่ 3-8 กิโลเมตร/ชั่วโมง โดยจะมีเสียงเตือนพร้อมสัญลักษณ์โชว์ที่หน้าปัดและ Active Driving Display รถจะหยุดเองอัตโนมัติถ้าผู้ขับยังไม่มีการเหยียบเบรกเพื่อหยุดรถ
- ระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่ในช่องจราจร Lane-keep Assist System (LAS)
- ระบบเตือนเมื่อรถเบี่ยงออกนอกช่องจราจร Lane Departure Warning System (LDWS)
สองระบบนี้ทำงานร่วมกัน ระบบ LDWS จะคอยเตือนเมื่อรถออกนอกเลน โดยจะเลือกได้ว่าจะให้เตือนโดยใช้เสียง หรือระบบสั่น และระบบ LAS จะควบคุมหักพวงมาลัยเข้าเพื่อให้รถไม่ออกนอกเลน
ระบบจะทำงานเมื่อความเร็วเกิน 70 กิโลเมตรต่อชั่วโมงขึ้นไป โดยจะแสดงสถานะที่ Active Driving Display โดยจะเป็นเส้น 2 ขีดซ้าย-ขวา เป็นสีขาว ถ้ารถออกนอกเลนเส้นจะเปลี่ยนเป็นสีเหลือง พร้อมเสียงเตือนและสั่นที่พวงมาลัย ถ้าเรายังไม่หักกลับเข้ามา
ระบบจะช่วยประคองรถกลับเข้ามา แต่ถ้าเราปล่อยให้ระบบทำงานหลายๆ ครั้งติดกัน ระบบจะเตือนเราด้วยเสียงและข้อความให้เราถือพวงมาลัย
- ระบบช่วยเตือนเมื่อเหนื่อยล้าขณะขับขี่ Driver Attention Alert (DAA) ระบบจะเริ่มทำงานเมื่อความเร็วเกิน 60 กิโลเมตร และขับรถเป็นเวลา 20 นาทีขึ้นไป ระบบจะจับพฤติกรรมการขับขี่ว่าเราเหนื่อยล้าหรือไม่ และจะแจ้งเตือนเมื่อขับรถต่อเนื่องเกิน 2 ชั่วโมง
- ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผัน Mazda Radar Cruise Control (MRCC) ควมคุมการทำงานได้ที่พวงมาลัย ทั้งเปิดปิด ล็อคความเร็ว และตั้งระยะห่าง ของรถคันหน้า
ระบบจะเริ่มทำงานที่ความเร็ว 30-145 กิโลเมตรต่อชั่วโมง โดยจะช่วยรักษาระยะห่างจากรถคันข้างหน้า โดยสามารถตั้งระยะห่างจากรถคันหน้าได้ 4 ระดับ คือ 50 เมตร/ 40 เมตร/ 30 เมตร/ 25 เมตร ถ้ารถคันข้างหน้าเบรก รถเราก็จะชะลอความเร็วตาม และถ้าคันหน้าเร่งออกไป รถเราก็จะเร่งไปถึงความเร็วที่เราตั้งค่าไว้
โดยจะมีสัญลักษณ์ Active Driving Display และถ้าหากรถคันหน้าเบรกกระทันหัน ระบบจะเตือนด้วยสัญลักษณ์ที่หน้าจอพร้อมสัญญาณเตือนเพื่อให้เราเบรก
-ระบบช่วยตรวจจับระยะห่างรถคันหน้า Distance Recognition Support System (DRSS)
ระบบจะเริ่มทำงานเมื่อความเร็วเกิน 30 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เมื่อระบบทำงานและเริ่มจับได้ถึงรถคันข้างหน้าจะมีสัญลักษณ์รูปรถขึ้นในจอ Active Driving Display
และถ้าขับเข้าไปใกล้ตัวรถในระยะที่ตั้งค่าไว้ พื้นของสัญลักษณ์ตัวรถที่หน้าจอจะเปลี่ยนเป็นสีเหลืองช่วยเตือนคนขับว่าเราเข้าไปใกล้รถคันหน้ามากเกินไปหรือเปล่า
โดยระยะเตือนจะแปรผันกับความเร็วรถ ถ้าวิ่งช้าจะเริ่มเตือนช้าจะเข้าใกล้รถคันหน้ามากกว่า แต่ถ้าเริ่มขับเร็วระบบจะเริ่มแจ้งเตือนเร็วขึ้นเพื่อให้เราเว้นห่างจากรถคันหน้ามากขึ้น