ความเห็นผม สคบ. บ้านเราทำงานตั้งรับมากไปจะด้วยเหตุผลอะไรก็แล้วแต่ ซึ่งส่วนหนึ่งก็อาจจะเป้นอำนาจทางกฎหมายของ สคบ. เอง
อีกส่วนหนึ่งที่เจอมาจากประสบการณ์ผมเองนะ ไม่เกี่ยวกับเรื่องรถนะครับ เป็นเรื่องธุรกิจขายตรงที่มีลักษณะแอบแฝงแชร์ลูกโช่ ผมไปพบเข้า
แล้วเห็นว่ามันผิดกฎหมายแน่ ๆ ถึงแม้ว่าบริษัทนี้จะผ่านการรับรองจาก สคบ. มาแล้ว แต่วิธีการที่เค้าทำมันเข้าข่ายชัดเจนว่ามีพฤติการณ์ในทำนองแชร์ลูกโซ่
ผมร้องเรียนด้วยตัวเองตามสายตรงที่ สคบ. ระบุมา ติดต่อยากมาก อ่ะ งั้นลองโทรไปที่ สนง.ใหญ่ตรงเลย โหย ต้องโอนไปไม่รู้กี่รอบ
แล้วก็โยนไปโน่นไปนี่จนมึนไปหมด บางทีก็ไม่มีคนรับสาย อ่ะ งั้นผมไป สนง.สคบ.จังหวัดเลยแล้วกัน เอาหลักฐานต่าง ๆ ไปคุยกับหัวหน้าโดยตรงเลย ท่านเองก็บอกเองว่าแบบนี้เข้าข่ายแอบแฝง แล้วก็จะรายงานไปส่วนกลาง แต่สุดท้ายมันไม่มีผลอะไรเลยครับ
ทุกวันนี้บริษัทนี้ก็ยังหากินอยู่ เท่าที่ทราบตามข้อกฎหมายคือจะต้องมีผู้ที่เดือดร้อนไปแจ้งเอง ถ้าไม่มีใครแจ้าง สคบ. ก็ทำอะไรไม่ได้
ตามความเห็นส่วนตัวผม นี่คือจุดอ่อนอย่างร้ายแรงครับ แล้วบ้านเราก็มักจะไม่มีใครไปร้องเรียนหรอกครับ เพราะมันเสียเวลา มันยุ่งยาก นอกจากจะเจอเคสหนักจริง ๆ ถึงร้องเรียน
เคยดูสารคดีญี่ปุ่น สคบ. ที่ทำหน้าที่คุ้มครองผู้บริโภคในเรื่องของสินค้าประเภทอาหาร เค้าไม่ต้องรอให้มีใครมาแจ้ง
เจ้าหน้าที่ สคบ.เค้าออกตรวจสินค้าอาหารตามร้านต่าง ๆ เอง หากพบว่าสินค้ามีปัญหาต่อผู้บริโภค เค้ามีอำนาจในการระงับการขายได้ทันที
แบบนี้คือสิ่งที่มันควรจะเป็นมากกว่าครับ และเป็นการคุ้มครองผู้บริโภคอย่างแท้จริง ผู้บริโภคไม่ต้องมาเดือดร้อนวิ่งไปวิ่งมาไปร้องเรียนอะไรกับใคร แจ้งโน่นแจ้งนี้กับใครต่อใคร วุ่นวาย เสียเวลา ซึ่งมันก็คือความเดือดร้อนของผู้บริโภคแล้ว แถมถูกฟ้องกลับได้ เช่นเดียวกับกรณีที่เกิดขึ้นมานี่แร่ะ แล้วต่อไปใครมันจะไปกล้าร้องเรียน สคบ.
??
อีกอย่างนึง การที่มาสด้าไปฟ้องกลับ ความเห็นผมในแง่ที่ผมอยู่ในวงการธุรกิจ ไม่ว่าจะมีเหตุผลอะไรก็แล้วแต่ มันก็ไม่สมควรอย่างยิ่งครับ
ลูกค้ามีหลากหลาย คนที่เขา้ใจง่าย ต่อรองไม่ยากก็มี คนที่ต่อรองยากก็มี แต่ในแง่การบริหาร มันอยู่ที่ทักษะการเจรจาต่อรอง ที่ต้องรับมือกับลูกค้าให้ได้ คำว่า "ลูกค้าคือพระเจ้า" สำคัญมากนะ...