ผู้เขียน หัวข้อ: ขอถามเกี่ยวกับ Crystal Sealed หรือ Glass Coating  (อ่าน 22599 ครั้ง)

ออฟไลน์ firstzeng

  • Full Member
  • ***
  • กระทู้: 210
    • อีเมล์
ขอถามเกี่ยวกับ Crystal Sealed หรือ Glass Coating
« เมื่อ: กรกฎาคม 01, 2010, 01:17:20 »
ถ้าผมออกรถใหม่ ผมควรจะเคลือบ Crystal Sealed หรือ Glass Coating  หรือเปล่าครับเห็นราคาแพงมากๆ แต่รถนี่เงาวับเลย


ใครเคยเคลือบมั้ง แชร์ประสบการณ์ให้ฟังหน่อยครับ พอดีสนใจ

ออฟไลน์ Dark Overlord

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 4,804
  • Hail to the darkside
Re: ขอถามเกี่ยวกับ Crystal Sealed หรือ Glass Coating
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: กรกฎาคม 01, 2010, 08:38:38 »
ผมใช้มาแล้วกับ Fortuner สีขาว และ Yaris สีขาวครับ ใ้ช้มาเกือบ 2 ปี คุณภาพก็ตามที่โฆษณากันครับ
แต่ว่าคันต่อๆ ไปคงไม่ทำแล้วล่ะ เพราะ เวลารถเจอลูกหินดีด จนสีถลอกได้ง่ายๆ เหมือนกับรถทั่วๆ ไป
ผิวไม่ได้แข็งขึ้นอย่างที่จินตนาการ ตามคำแปลของชื่อ "คริสตัล" "แก้ว" ซึ่งพาลจะนึกว่าผิวสีรถเราจะ
ทนทานขึ้นอีกนิด แต่ไม่ใช่ ข้อเสียคือ หากต้องทำสี ชิ้นส่วนบนรถ แล้วไปเคลือบใหม่ จะเคลือบให้ฟรี
เพียงหนึ่งชิ้นเท่านั้น แต่ชิ้นถัดไปต้องจ่ายชิ้นละ 3 พัน หรือตามขนาดไซส์ของชิ้นนั้นๆ

อีกอย่างประกันไม่ครอบคลุม เราเคลมประกันซ่อมชิ้นส่วนตัวถังได้ แต่ค่าเคลือบคริสตัลก็ต้องจ่ายเอง
ถ้าไม่อยากทำ ก็กลัวว่า สุดท้ายสีจะไม่เท่ากับสีอื่นๆ เพราะ เคลือบคริสตัล มันก็กัน UV ที่เป็นตัวทำให้
สีซีดได้ระดับหนึ่ง และอื่นๆ อีก อยากจะเขียนเพิ่มเติมแต่ผมต้องรีบออกไปทำธุระข้างนอกละ....

การเคลือบคริสตัล ถือว่าได้คุณภาพตามคำโฆษณา ไม่ได้พูดเว่อร์แต่อย่างใด คุ้มหากมองระยะเวลาที่ทาง
ร้านประกันคือ 3-5 ปี แต่เป็นสิ่งที่ทำให้รู้สึก ต้องดูแลรถมากเกินไป ไม่สะดวก สบายใจ เท่าไหร่ กรณีเดียว
กันกับ การเติมล้อรถด้วย Hydrogen ซึ่งดีกว่าเติมลมธรรมดาๆ มากมาย แต่เมื่อเติมแล้ว ต้องเติม Hydro
สถานเดียวเท่านั้น ไม่สามารถเติมปนกับลมธรรมดาได้ เวลาไปต่างจังหวัด หรือไปที่ไหนๆ ที่หาที่เติมลม
Hydro ไม่สะดวก ก็จะเริ่มรู้สึกอึดอัด ถ้าอยู่ในเมืองในกรุงคงไม่ค่อยมีปัญหา แต่ต่างจังหวังคงจะหาที่เติม
ยากขึ้นพอสมควร แถม เวลาเราเติม 200 บาท เราต้องกลับไปเติมที่ศูนย์นั้นเท่านั้น ถึงจะได้เติมฟรีเป็น
ระยะเวลาทั้งหมด 6 เดือน....เรื่องเยอะ

การเคลือบคริสตัล เราต้องเข้าไปเช็คสภาพผิวรถตามระยะที่กำหนดด้วยนะครับ 6 เดือน - 1 ปี ภาระเพิ่ม
ขึ้นอีกหน่อย หาก บ้านอยู่ไกลร้านนั้นๆ แถมหากคิวเยอะ ก็อาจจะต้องนัดวันเวลาล่วงหน้ากันนานๆ แล้วก็
รอนานมิใช่เล่น เวลาทำอะไรพวกนี้ ราวๆ 3-4 ชั่วโมง หรือบางทีก็ครึ่งวันมั้ง ยิ่งแถวรัชดารถติดตลอดเวลา
ด้วย กว่าจะขับไปถึงศูนย์น่าเบื่อชะมัด

ฉะนั้นรถคันต่อไปที่ผมจะซื้อ ก็จะเป็นสีที่ดูแลง่ายๆ ไม่เอาขาว แล้วก็ไม่เคลือบของแพงแล้วครับ ดูแลเอง
แบบบ้านๆ อยู่ที่บ้านดีกว่า อีกอย่างเพราะเวลาของผมเป็นเงินเป็นทองด้วยครับ

jaesz

  • บุคคลทั่วไป
Re: ขอถามเกี่ยวกับ Crystal Sealed หรือ Glass Coating
« ตอบกลับ #2 เมื่อ: กรกฎาคม 01, 2010, 09:18:00 »
ถ้าผมออกรถใหม่ ผมควรจะเคลือบ Crystal Sealed หรือ Glass Coating  หรือเปล่าครับเห็นราคาแพงมากๆ แต่รถนี่เงาวับเลย


ใครเคยเคลือบมั้ง แชร์ประสบการณ์ให้ฟังหน่อยครับ พอดีสนใจ

มีวิธีทำใ้ห้รถเงาแบบกระจกได้ด้วยงบไม่เกิน 1000 หลากหลายน้ำยา

เก็บเงินหมื่นไว้ทำสีดีกว่าครับ

ถ้าตังเหลือ อยากลองก็ไม่ว่ากัน

ออฟไลน์ earth_e60

  • Sr. Member
  • ****
  • กระทู้: 533
    • อีเมล์
Re: ขอถามเกี่ยวกับ Crystal Sealed หรือ Glass Coating
« ตอบกลับ #3 เมื่อ: กรกฎาคม 01, 2010, 10:44:23 »
ผมใช้ e60 สีขาว ทำ glass coating จาก jglaze ขอเข้ามาเชียร์ครับ ราคาไม่แพง เซอร์วิสดี

เห็นบางที่ โชว์รูมสวยๆ เซอร์วิสแต่รถแพงๆ รถธรรมดาเข้าไปไม่ค่อยบริการ แถม โชว์รูมสวยๆเข้าได้ครั้งเดียว ต่อไป เซอร์วิส เล็กๆ เก่าๆ เหมือนเดิม ครับ

แล้วที่สำคัญ glass coatin มันเคลือบสีได้ด้วยไงครับ

ออฟไลน์ Vici

  • Full Member
  • ***
  • กระทู้: 172
Re: ขอถามเกี่ยวกับ Crystal Sealed หรือ Glass Coating
« ตอบกลับ #4 เมื่อ: กรกฎาคม 01, 2010, 11:33:45 »
ผมทำที่ CTS ทำมาแล้ว happy ดี  ล้างธรรมดาก็เงานานๆ ทีลงโลชั่นซะหน่อยยิ่งเงาสวย

เรื่องทำสีใหม่แล้วต้องจ่ายเพิ่มค่าเคลือบ.. แนะนำให้ทำประกันกับ agent ของทาง CTS แล้วจะได้คุ้มครองการเคลือบด้วย  ;D

ออฟไลน์ joufo

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 1,254
Re: ขอถามเกี่ยวกับ Crystal Sealed หรือ Glass Coating
« ตอบกลับ #5 เมื่อ: กรกฎาคม 01, 2010, 11:50:07 »
สำหรับผม ไม่คุ้มครับ
สู้เคลือบสีบ่อยๆ ไม่ได้อ่ะครับ


ส่วนตัวแล้ว ผมว่ามันเหมาะกับรถที่ไม่ค่อยได้ใช้มากกว่า
จอดในร่มตลอด อะไรทำนองนี้


แต่รถใช้ทุกวัน แล้ววิ่งต่างจังหวัดด้วย
ส่วนตัวผมแล้ว ผมว่า เสียดายเงินอ่ะครับ

ออฟไลน์ best

  • Sr. Member
  • ****
  • กระทู้: 443
Re: ขอถามเกี่ยวกับ Crystal Sealed หรือ Glass Coating
« ตอบกลับ #6 เมื่อ: กรกฎาคม 01, 2010, 15:03:38 »
ขออนุญาตินอกเรื่องครับ

การเติมลมยางล้อรถนี่น่าจะเป็น ไนโตรเจน นะครับ

เพราะถ้าเติมด้วย Hydrogen สงสัยถ้าไม่ไหม้ก็คงจะระเบิดนะครับ อิๆ ;D


ส่วนเรื่องเคลือนสีนี่ถ้าเป็นผมจะเคลือบแบบธรรมดาๆ บ่อยๆ เอาดีกว่าครับ :D
There is nothing either good or bad but thinking makes it so

ออฟไลน์ !+! Bomb !+!

  • Sr. Member
  • ****
  • กระทู้: 811
Re: ขอถามเกี่ยวกับ Crystal Sealed หรือ Glass Coating
« ตอบกลับ #7 เมื่อ: กรกฎาคม 01, 2010, 21:45:44 »
ของผม Mini สีแดงกับ Scirocco สีแดงก็ทำ Glass Coating ของ J Glaze ครับ ถือว่าประทับใจนะครับ รถดูเงาตลอดเวลา

ออฟไลน์ Yinglek

  • Full Member
  • ***
  • กระทู้: 321
    • อีเมล์
Re: ขอถามเกี่ยวกับ Crystal Sealed หรือ Glass Coating
« ตอบกลับ #8 เมื่อ: กรกฎาคม 01, 2010, 23:06:34 »
ดิฉันทำที่CTSทุกคัน ได้ผลเป็นที่น่าพอใจค่ะ
บริการหลังการขายดีค่ะเลยขอบอกต่อ
ลองเทียบราคากับร้านอื่น คุณแคทก็ให้ราคาที่ถูกกว่า
คันล่าสุดก็เอาQ5ไปทำมา ดูแลง่ายค่ะสำหรับผู้หญิง :D
X6 , Panamera , Everest

ออฟไลน์ Dark Overlord

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 4,804
  • Hail to the darkside
Re: ขอถามเกี่ยวกับ Crystal Sealed หรือ Glass Coating
« ตอบกลับ #9 เมื่อ: กรกฎาคม 01, 2010, 23:31:48 »
ขออนุญาตินอกเรื่องครับ

การเติมลมยางล้อรถนี่น่าจะเป็น ไนโตรเจน นะครับ

เพราะถ้าเติมด้วย Hydrogen สงสัยถ้าไม่ไหม้ก็คงจะระเบิดนะครับ อิๆ ;D


ส่วนเรื่องเคลือนสีนี่ถ้าเป็นผมจะเคลือบแบบธรรมดาๆ บ่อยๆ เอาดีกว่าครับ :D

ก้าาากก รีบพิมพ์ก้าบ ผิดไปแล้ว

ออฟไลน์ SignifeR

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 1,953
  • Impreza Type GDG WRX
    • ร้านหนังสือผ้าสำหรับเด็ก IGGY BOOK
    • อีเมล์
Re: ขอถามเกี่ยวกับ Crystal Sealed หรือ Glass Coating
« ตอบกลับ #10 เมื่อ: กรกฎาคม 02, 2010, 03:54:53 »
ปัญหาคือการชนแล้วต้องเครมครับ...ไม่ใช่การทำตอนแรกหรอก เพราะรถป้ายแดงแล้วทำมันไม่มีปัญหา แต่ถ้าคุณชนมาแล้วเครมสี
แล้วถ้าเครมออกมาสีไม่เท่ากับทั้งคัน คิดง่ายๆ คุณก็จะหงุดหงิดใจต้องแก้ไขชิ้นงานที่เครม แล้วก็เสียเวลามาเคลือบแก้วอันนี้อีก
แล้วอนาคตถ้ามีเครมชิ้นอื่้่นๆ คุณอาจจะตัดใจ เอาวะ เครมมันทั้งคันแล้วกัน เพราะกลัวว่าสีมันจะไม่เท่ากันทั้งคัน (พวกโรคจิตอย่างกระผม
นี่คิดนะครับ...ว่าถ้าเครมไม่เท่ากันปวดหัวเลย) ดังนั้น รถใช้งานผมว่าไม่อาจจะไม่ได้เหมาะสำหรับการทำเคลือบแก้วแบบนี้

แต่ถ้าเป็นรถสปอร์ต รถที่เป็นรถไม่ได้วิ่งทุกวัน ผมว่ามันทำก็ำไม่เสียหายครับ อยากให้ดูองค์ประกอบของการใช้รถประกอบกันด้วย
การชนไม่ได้แปลว่าเราประมาทนะครับ เราไม่ประมาทแต่อุบัติเหตุมันก็เกิดขึ้นได้ ทำให้เราต้องมาห่วงอะไรพวกนี้อีกเยอะเลย
แนะนำหุ้มสติ๊กเกอร์ดีกว่ามั๊ย ไม่พอใจสักสองสามปีก็ลอกทิ้ง ข้อดีคือช่วยป้องกันรอยขูดขีดเล็กๆได้ดีกว่าเคลือบแก้วด้วยครับ
และถ้าเกิดอุบัติเหตุบางครั้งถ้าไม่แรงนี่ไม่เข้าเนื้อสีรถนะ มันต่างกับเคลือบแก้วตรงนี้นี่แหละ เพราะมันจะติดบนผิวสติ๊กเกอร์ครับ

แต่ส่วนตัวผม ผมเคยคุยกับคนที่เป็นคาร์แคร์ที่ทำพวกนี้...และคุยกับคนที่ใช้บริการพวกนี้(เพื่อนผมขับเฟอร์ฯ F430 ครับมันก็ไปทำหล่ะ ตามกระแส)
มันก็ไม่ได้เงางามมากมายไปกว่าการขัดเคลือบสีธรรมดาเลยครับ ไปลูบเฟอร์เพื่อนมันก็ไม่ได้ลื่นไปกว่าฮอนด้าผมที่หมั่นเคลือบสีเลยครับ
การทำงานของเคลือบแก้ว ตามที่คาร์แคร์ที่รู้จักได้อธิบายไว้คือ ถ้ารถใหม่รอยน้อยๆ การขัดลบรอยก่อนเคลือบสำคัญที่สุด คือพยายามขจัดรอย
ให้ได้มากที่สุด เพื่อบูสต์ชั้นแล็คเกอร์ของรถ แล้วเคลือบแข็ง ขั้นตอนมันไม่ได้ดีไปกว่าการขับเคลือบสีัทั่วไปเลย
นั่นหมายความว่า ชั้นแก้วที่เคลือบ มันก็อยู่บนเคลียร์โค้ตของรถนั่นเอง ไม่ได้ซึมลึกอะไรมากมายครับ อันนี้อยากให้เข้าใจตรงกัน
ข้อดีคือมันเกาะได้ทนทานนานปีกว่า น้ำยาเคลือบสีธรรมดาครับ ส่วนราคาก็ว่ากันไปครับ หลักสองหมื่น

การขัดเคลือบสีธรรมดา อยู่บนชั้นเคลียร์โค้ตเหมือนกันครับ แต่อยู่ได้ไม่นานเท่า ส่วนค่าน้ำยากับค่าขัดที่ผมใช้บริการนะ
น้ำยาเฉลี่ยครั้งละ 100 ค่าขัดมากิต้านะครั้งละ 300 น้ำยาเคลือบครั้งละ 50 เห็นจะได้ ค่าแรง 100
แปลว่าถ้าผมทำแบบธรรมดาๆ ผมจะเสียค่าใช้จ่ายอยู่ราวๆ 600 บาทต่อครั้ง(รวมล้างรถดูดฝุ่น ลูบดินน้ำมันด้วยละกัน)

20,000 หารด้วย 600 แปลว่าผมจะขัดเคลือบสีแบบดีๆ เนี่ยได้ถึง 33 ครั้ง ซึ่งเยอะเกินความจำเป็นของการใช้รถด้วยซ้ำไปครับ
การขัดสีรถ ปีละ 2-3 ครั้งก็มากพอแล้ว ครั้งอื่นๆแค่เคลือบสีดีๆก็พอ ดังนั้น ผมเลือกแนวทางธรรมดา
คือหมั่นขัดและเคลือบสีรถ บ่อยๆหน่อย เดือนละครั้ง ดังนั้นด้วยเงินเท่ากัน
ผมก็สามารถมีรถที่มีสีสันสวยงาม เงาแว๊บ ไร้ร่องรอยตลอดเวลาได้เกินกว่า 3 ปีเช่นกันครับ

และผมกล้าท้าว่า การดูแลแบบเคลือบแก้ว และการหมั่นขัดเคลือบแบบธรรมดาแบบที่ผมอธิบาย
สุดท้ายผลลัพธ์นะครับ แบบธรรมดาแต่สม่ำเสมอ จะทำให้รถคุณดูสวยกว่ามากๆครับ

อย่าเชื่อ!! แต่จงลองพิสูจน์ด้วยตัวท่านเองครับ
In Garage Subaru Impreza GDG WRX  y2008 // Nissan March 1.2E y2011

ออฟไลน์ firstzeng

  • Full Member
  • ***
  • กระทู้: 210
    • อีเมล์
Re: ขอถามเกี่ยวกับ Crystal Sealed หรือ Glass Coating
« ตอบกลับ #11 เมื่อ: กรกฎาคม 02, 2010, 12:40:31 »
ปัญหาคือการชนแล้วต้องเครมครับ...ไม่ใช่การทำตอนแรกหรอก เพราะรถป้ายแดงแล้วทำมันไม่มีปัญหา แต่ถ้าคุณชนมาแล้วเครมสี
แล้วถ้าเครมออกมาสีไม่เท่ากับทั้งคัน คิดง่ายๆ คุณก็จะหงุดหงิดใจต้องแก้ไขชิ้นงานที่เครม แล้วก็เสียเวลามาเคลือบแก้วอันนี้อีก
แล้วอนาคตถ้ามีเครมชิ้นอื่้่นๆ คุณอาจจะตัดใจ เอาวะ เครมมันทั้งคันแล้วกัน เพราะกลัวว่าสีมันจะไม่เท่ากันทั้งคัน (พวกโรคจิตอย่างกระผม
นี่คิดนะครับ...ว่าถ้าเครมไม่เท่ากันปวดหัวเลย) ดังนั้น รถใช้งานผมว่าไม่อาจจะไม่ได้เหมาะสำหรับการทำเคลือบแก้วแบบนี้

แต่ถ้าเป็นรถสปอร์ต รถที่เป็นรถไม่ได้วิ่งทุกวัน ผมว่ามันทำก็ำไม่เสียหายครับ อยากให้ดูองค์ประกอบของการใช้รถประกอบกันด้วย
การชนไม่ได้แปลว่าเราประมาทนะครับ เราไม่ประมาทแต่อุบัติเหตุมันก็เกิดขึ้นได้ ทำให้เราต้องมาห่วงอะไรพวกนี้อีกเยอะเลย
แนะนำหุ้มสติ๊กเกอร์ดีกว่ามั๊ย ไม่พอใจสักสองสามปีก็ลอกทิ้ง ข้อดีคือช่วยป้องกันรอยขูดขีดเล็กๆได้ดีกว่าเคลือบแก้วด้วยครับ
และถ้าเกิดอุบัติเหตุบางครั้งถ้าไม่แรงนี่ไม่เข้าเนื้อสีรถนะ มันต่างกับเคลือบแก้วตรงนี้นี่แหละ เพราะมันจะติดบนผิวสติ๊กเกอร์ครับ

แต่ส่วนตัวผม ผมเคยคุยกับคนที่เป็นคาร์แคร์ที่ทำพวกนี้...และคุยกับคนที่ใช้บริการพวกนี้(เพื่อนผมขับเฟอร์ฯ F430 ครับมันก็ไปทำหล่ะ ตามกระแส)
มันก็ไม่ได้เงางามมากมายไปกว่าการขัดเคลือบสีธรรมดาเลยครับ ไปลูบเฟอร์เพื่อนมันก็ไม่ได้ลื่นไปกว่าฮอนด้าผมที่หมั่นเคลือบสีเลยครับ
การทำงานของเคลือบแก้ว ตามที่คาร์แคร์ที่รู้จักได้อธิบายไว้คือ ถ้ารถใหม่รอยน้อยๆ การขัดลบรอยก่อนเคลือบสำคัญที่สุด คือพยายามขจัดรอย
ให้ได้มากที่สุด เพื่อบูสต์ชั้นแล็คเกอร์ของรถ แล้วเคลือบแข็ง ขั้นตอนมันไม่ได้ดีไปกว่าการขับเคลือบสีัทั่วไปเลย
นั่นหมายความว่า ชั้นแก้วที่เคลือบ มันก็อยู่บนเคลียร์โค้ตของรถนั่นเอง ไม่ได้ซึมลึกอะไรมากมายครับ อันนี้อยากให้เข้าใจตรงกัน
ข้อดีคือมันเกาะได้ทนทานนานปีกว่า น้ำยาเคลือบสีธรรมดาครับ ส่วนราคาก็ว่ากันไปครับ หลักสองหมื่น

การขัดเคลือบสีธรรมดา อยู่บนชั้นเคลียร์โค้ตเหมือนกันครับ แต่อยู่ได้ไม่นานเท่า ส่วนค่าน้ำยากับค่าขัดที่ผมใช้บริการนะ
น้ำยาเฉลี่ยครั้งละ 100 ค่าขัดมากิต้านะครั้งละ 300 น้ำยาเคลือบครั้งละ 50 เห็นจะได้ ค่าแรง 100
แปลว่าถ้าผมทำแบบธรรมดาๆ ผมจะเสียค่าใช้จ่ายอยู่ราวๆ 600 บาทต่อครั้ง(รวมล้างรถดูดฝุ่น ลูบดินน้ำมันด้วยละกัน)

20,000 หารด้วย 600 แปลว่าผมจะขัดเคลือบสีแบบดีๆ เนี่ยได้ถึง 33 ครั้ง ซึ่งเยอะเกินความจำเป็นของการใช้รถด้วยซ้ำไปครับ
การขัดสีรถ ปีละ 2-3 ครั้งก็มากพอแล้ว ครั้งอื่นๆแค่เคลือบสีดีๆก็พอ ดังนั้น ผมเลือกแนวทางธรรมดา
คือหมั่นขัดและเคลือบสีรถ บ่อยๆหน่อย เดือนละครั้ง ดังนั้นด้วยเงินเท่ากัน
ผมก็สามารถมีรถที่มีสีสันสวยงาม เงาแว๊บ ไร้ร่องรอยตลอดเวลาได้เกินกว่า 3 ปีเช่นกันครับ

และผมกล้าท้าว่า การดูแลแบบเคลือบแก้ว และการหมั่นขัดเคลือบแบบธรรมดาแบบที่ผมอธิบาย
สุดท้ายผลลัพธ์นะครับ แบบธรรมดาแต่สม่ำเสมอ จะทำให้รถคุณดูสวยกว่ามากๆครับ

อย่าเชื่อ!! แต่จงลองพิสูจน์ด้วยตัวท่านเองครับ


กระจ่างเลยครับท่าน

ทำCTSดูจะเหมาะกับพวกคนไม่มีเวลาสักเท่าไหร่ เพราะทำครั้งเดียวอยู่นานนับปี

ส่วนขัดเคลือบสีธรรมดาดูจะเหมาะคนมีเวลาดูแลรักษารถอยู่บ่อยๆ