ผู้เขียน หัวข้อ: ทำไมรถญี่ปุ่น “ทนกว่า” รถยุโรปครับ?  (อ่าน 18083 ครั้ง)

ออฟไลน์ IS2000

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 2,183
    • อีเมล์
Re: ทำไมรถญี่ปุ่น “ทนกว่า” รถยุโรปครับ?
« ตอบกลับ #30 เมื่อ: พฤษภาคม 22, 2018, 09:51:13 »
รถญี่ปุ่นจุกจิกน้อยกว่า การบำรุงรักษาง่ายกว่าครับ แต่รถยุโรปผมว่าพวกโครงสร้าง สี ฝีมือประกอบจะทนต่อการเวลามากกว่า
1 3 5
├┼┼╕
2 4 6 R

ออฟไลน์ bobsan

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 1,605
    • อีเมล์
Re: ทำไมรถญี่ปุ่น “ทนกว่า” รถยุโรปครับ?
« ตอบกลับ #31 เมื่อ: พฤษภาคม 22, 2018, 10:29:47 »
ใครทนกว่ากันไม่รู้ สรุปกันยาก
ไปดู predicted reliability ของ consumer report จบกว่า

แถมเจ้านั้นยังมีค่าใช้จ่ายเฉลี่ยในการซ่อมบำรุงต่อปีของรถแต่ละยี่ห้อด้วย



ออฟไลน์ NoName__???

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 2,133
Re: ทำไมรถญี่ปุ่น “ทนกว่า” รถยุโรปครับ?
« ตอบกลับ #32 เมื่อ: พฤษภาคม 22, 2018, 10:42:23 »
เข้ามาอ่าน

ออฟไลน์ rokrok

  • Sr. Member
  • ****
  • กระทู้: 380
Re: ทำไมรถญี่ปุ่น “ทนกว่า” รถยุโรปครับ?
« ตอบกลับ #33 เมื่อ: พฤษภาคม 22, 2018, 11:33:48 »
ยุโรปจะทนกว่าได้ไงครับ บอกซ่อมไม่ถึงมั้ง ไม่ตรงจุดบ้าง

คือถ้ามันไม่เสียมันจะไปเริ่มซ่อมได้ไงครับ มันซ่อมมากกว่ารถญี่ปุ่นเห็นๆ

เอาง่ายๆว่า รถญี่ปุ่น 5 ปี มีซ่อมกี่ครั้ง แล้วรถ ยุโรป 5 ปีมีซ่อมกี่ครั้ง

ยังไงยุโรปก็ทนน้อยกว่าเยอะครับ อาจจะไม่ใช่ว่าเครื่องยนต์ตัวถังไม่ทน แต่เป็นเพราะส่วนประกอบมันเยอะ ทำให้มีรายการต้องเข้าซ่อมเยอะกว่ามาก มันก็คือไม่ทนวันยังค่ำแหละครับ

ออฟไลน์ oatekung

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 1,002
    • อีเมล์
Re: ทำไมรถญี่ปุ่น “ทนกว่า” รถยุโรปครับ?
« ตอบกลับ #34 เมื่อ: พฤษภาคม 22, 2018, 12:09:24 »
รถยุโรปหมดยุคซ่อมถึง ช่างถึงไปแล้วมังครับ คลับเบนซ์นี่ไม่กี่เดือนก็ร้องจ๊ากกันละ รถยุโรปเซฟกว่าจริง แต่ถ้าซัดที่ 180 แบบแคมรี่คันนั้นผมก็ว่าตายทุกรายครับ
แต่ lexus ก็เป็นตัวเลือกที่ดีของคนที่เบื่อรถจุกจิกครับ

โดยเฉพาะการจราจรแบบบ้านเราจริงๆก็อยากได้แค่ โครงแข็งแรงเหมือนเบนส์ เครื่องทนเหมือนโตต้าก็พอละ :'(

ออฟไลน์ punn

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 1,588
  • may the force lead your way ...
Re: ทำไมรถญี่ปุ่น “ทนกว่า” รถยุโรปครับ?
« ตอบกลับ #35 เมื่อ: พฤษภาคม 22, 2018, 12:55:23 »
เข้ามากลัว  :)

-----------

ภาคออกทะเล ...

ในทางวิทยาศาสตร์ อวกาศและมนุษยชาติ ฯลฯ ..

การคงอยู่ของสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่ามนุษย์นั้น
จะเหมาะสมที่สุดในการดำรงชีวิตเฉพาะบนโลกใบนี้

เมื่อเราออกจากโลกใบนี้ หรืออยู่บนดาวดวงอื่น
ที่แรงโน้มถ่วงหรือสภาพแวดล้อมเปลี่ยนไป
จะทำให้ระบบร่างกายแปรปรวน มีผลต่อการดำรงเผ่าพันธ์
ทำให้อายุขัยสั้น มีแนวโน้มที่จะสูญพันธุ์ได้ง่าย

ทฤษฎีนี้ มีการนำมาดัดแปลงย้อนกลับมุมมองในภาพยนตร์เรื่อง
The day the earth stood still.
ที่พระเอก(มนุษย์ต่างดาว)ต้องมาเปลี่ยนแปลงคล้ายเกิดใหม่บนโลกก่อน
เพื่อปฏิบัติภารกิจต่างๆ

----------

สรุป รถยนต์เมื่ออยู่ในประเทศเกิด ปัญหาน่าจะน้อยกว่านี้มาก ..  จบ  ;D
เป็นคนโลกปกติธรรมดา :)
ไม่โลกสวย และไม่โลกมืด อยู่กับความเป็นจริงและพลังงานบวก ..

ปราชญ์สอนสิ่งไหน คนก็จะจำสิ่งนั้น
ประสบการณ์เจอแบบไหน คนก็จะคิดทางนั้น
ต่างคนต่างประสบการณ์เรียนรู้สิ่งเดียวกัน ก็จะออกมาแตกต่างกันไปครับ

ออฟไลน์ BoringZee

  • Full Member
  • ***
  • กระทู้: 228
Re: ทำไมรถญี่ปุ่น “ทนกว่า” รถยุโรปครับ?
« ตอบกลับ #36 เมื่อ: พฤษภาคม 22, 2018, 13:12:30 »
ถ้าเอาความทนใช้งานหนักๆ ไม่ต้องไปนับพวกอุบัติเหตุนะครับ ญี่ปุ่นทนกว่าแน่นอน จากการใช้ส่วนตัว ทั่ง Fiesta และ Jazz แต่ถ้าวัดเรื่อง performance นั้นทางยุโรปดีกว่าเยอะ อันนี้ก็น่าจะเกิดจากส่วนประกอบต่างๆ ทางญี่ปุ่นน้อยกว่ายุโรปมาก เลยลดทอนความจุกจิกความซับซ้อนลงไป ก็น่าจะทนกว่าแล้ว

ออฟไลน์ bankiesdluffy

  • Full Member
  • ***
  • กระทู้: 349
Re: ทำไมรถญี่ปุ่น “ทนกว่า” รถยุโรปครับ?
« ตอบกลับ #37 เมื่อ: พฤษภาคม 22, 2018, 14:08:55 »
เบนซ์รุ่นเก่า ผมว่าทนจริงนะ
แต่รุ่นหลังมา เทคโนโลยีไรไม่รู้ใส่มาเยอะแยะ ระบบไฟฟ้าเยอะ
มีจุดให้ซ่อมจุกจิกเยอะ

จริงๆอยากได้แบบแค่ หน้าตา และสมรรถนะแบบเบนซ์
เอาแค่วิ่งเกาะ ทน ถึก พอ
ฟังก์ชั่น เทคโนโลยี ระบบไฟฟ้า ไม่ต้องใส่มาเยอะมากก็ได้

ออฟไลน์ Left lane driver

  • Sr. Member
  • ****
  • กระทู้: 691
Re: ทำไมรถญี่ปุ่น “ทนกว่า” รถยุโรปครับ?
« ตอบกลับ #38 เมื่อ: พฤษภาคม 22, 2018, 14:41:48 »
ญี่ปุ่นทนกว่าเพราะการออกแบบที่เรียบง่ายกว่า ความซับซ้อนน้อยกว่า จุดที่จะให้เสียหรือทำงานผิดพลาดมันก็เลยน้อยกว่า

อีกอย่างคือ พวกรถยุโรปแพงๆทั้งหลาย (ถ้านับเฉพาะรถ Luxury นะ) มักตั้ง target ผู้ซื้อที่มีกำลังในการซื้อสูง
สามารถเปลี่ยนรถได้บ่อยๆทุก 3-5ปี (ซึ่งยังอยู่ในระยะรับประกัน) ผู้ผลิตก็มักจะออกแบบรถและวัสดุให้ใช้ได้เต็มประสิทธิภาพที่สุดแค่3-5ปี
ประมาณว่าให้ลูกค้าซื้อรถที่มีเทคโนโลยีเต็มที่ แล้วพอรถเริ่มตกรุ่น ลูกค้าก็เอาคันเก่าไปเทิร์นเป็นคันใหม่ที่มีเทคโนโลยีสูงกว่า ลูกเล่นเยอะกว่าแทน
แล้วก็วนแบบนี้ไปเรื่อยๆ


ออฟไลน์ bankiesdluffy

  • Full Member
  • ***
  • กระทู้: 349
Re: ทำไมรถญี่ปุ่น “ทนกว่า” รถยุโรปครับ?
« ตอบกลับ #39 เมื่อ: พฤษภาคม 22, 2018, 15:05:34 »
อีกอย่างคือ พวกรถยุโรปแพงๆทั้งหลาย (ถ้านับเฉพาะรถ Luxury นะ) มักตั้ง target ผู้ซื้อที่มีกำลังในการซื้อสูง
สามารถเปลี่ยนรถได้บ่อยๆทุก 3-5ปี (ซึ่งยังอยู่ในระยะรับประกัน) ผู้ผลิตก็มักจะออกแบบรถและวัสดุให้ใช้ได้เต็มประสิทธิภาพที่สุดแค่3-5ปี

 :'( :'( :'(

ออฟไลน์ raygun

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 2,051
Re: ทำไมรถญี่ปุ่น “ทนกว่า” รถยุโรปครับ?
« ตอบกลับ #40 เมื่อ: พฤษภาคม 22, 2018, 15:05:57 »
.
.
รถญี่ปุ่นออกแบบ แบบง่ายมากๆ คนละเรื่องกับรถเยอรมันเลย
ความซับซ้อนต่างๆต่างกันเยอะ พอมันไม่ซับซ้อน
จุดที่เสียมันก็น้อยกว่าแค่นั้นแหละครับ
ลองรถยุโรปเอาเข้าศูนย์ตามระยะ ใช้อะไหล่แท้หมด มันก็ใช้ได้เรื่อยๆครับ
แค่มันจะแพงกว่า คนก็จะบ่นแค่นั้นแหละ

แต่จริงๆถ้าว่ากันตาม concept แล้ว รถยุโรปต้องทนกว่าอยู่แล้ว
เพราะยุโรปใช้รถกันนานกว่าที่ญี่ปุ่น อย่างที่ญี่ปุ่นภาษีรถเก่าจะแพงมากๆ
คนเลยนิยมเปลี่ยนรถบ่อยกว่า อะไหล่ถึงเต็มเชียงกง

อยู่เมืองไทยถ้างบน้อย ใช้รถญี่ปุ่นสบายใจกว่าครับ


ออฟไลน์ sixaxis

  • Sr. Member
  • ****
  • กระทู้: 451
    • mntkcar
Re: ทำไมรถญี่ปุ่น “ทนกว่า” รถยุโรปครับ?
« ตอบกลับ #41 เมื่อ: พฤษภาคม 22, 2018, 15:30:10 »
ญี่ปุ่นทนกว่าเพราะการออกแบบที่เรียบง่ายกว่า ความซับซ้อนน้อยกว่า จุดที่จะให้เสียหรือทำงานผิดพลาดมันก็เลยน้อยกว่า

อีกอย่างคือ พวกรถยุโรปแพงๆทั้งหลาย (ถ้านับเฉพาะรถ Luxury นะ) มักตั้ง target ผู้ซื้อที่มีกำลังในการซื้อสูง
สามารถเปลี่ยนรถได้บ่อยๆทุก 3-5ปี (ซึ่งยังอยู่ในระยะรับประกัน) ผู้ผลิตก็มักจะออกแบบรถและวัสดุให้ใช้ได้เต็มประสิทธิภาพที่สุดแค่3-5ปี
ประมาณว่าให้ลูกค้าซื้อรถที่มีเทคโนโลยีเต็มที่ แล้วพอรถเริ่มตกรุ่น ลูกค้าก็เอาคันเก่าไปเทิร์นเป็นคันใหม่ที่มีเทคโนโลยีสูงกว่า ลูกเล่นเยอะกว่าแทน
แล้วก็วนแบบนี้ไปเรื่อยๆ



อันนี้น่าสนใจครับ

jaesz

  • บุคคลทั่วไป
Re: ทำไมรถญี่ปุ่น “ทนกว่า” รถยุโรปครับ?
« ตอบกลับ #42 เมื่อ: พฤษภาคม 22, 2018, 16:55:43 »
เอาที่เรียกได้ว่าทน

ผมเห็นจะมีแค่โตโยต้า Vios Altis Honda Jazz City

นอกนั้นอายุอะไหล่สั่นพอๆกะรถยุโรป

เอาพวกรถวิ่งเมืองหนาว ลุยหิมะได้มาวิ่งไทย ร้อนๆ อะไรๆก็เสื่อมเร็ว

ถ้ารถยุโรปหันมาใช้เครื่องเย็น เดี๋ยวก็กินน้ำมันหนักเท่ารถญี่ปุ่นเครื่องขนาดเดียวกันอีก

ออฟไลน์ mick

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 1,546
Re: ทำไมรถญี่ปุ่น “ทนกว่า” รถยุโรปครับ?
« ตอบกลับ #43 เมื่อ: พฤษภาคม 22, 2018, 23:51:31 »
W213 ผมปีเดียว จอดในโรงไม่โดนแดดโดนฝน วิ่ง 5,000 โล
ไฟ led ส่องใต้กระจกซ้ายดับ ตอนนี้นอนศูนย์ ยังไม่รู้เป็นที่ไหน หลอดหรือแผงวงจร

ออฟไลน์ natty ib-cm

  • Sr. Member
  • ****
  • กระทู้: 669
Re: ทำไมรถญี่ปุ่น “ทนกว่า” รถยุโรปครับ?
« ตอบกลับ #44 เมื่อ: พฤษภาคม 23, 2018, 12:37:38 »
รถค่ายจากญี่ปุ่นทำในไทยมานานเข้าใจถึงสภาพอากาศหรือลักษณะขับและการใช้งาน หรือแม้กระทั่งบางค่ายมีถึงรู้ว่าอาการอะไรจะทำให้คนไทยรู้สึกว่ารถคันนั้นดีหรือไม่ดี ซึ่งรถทางยุโรปพึ่งมาทำตลาดในไทยแบบเต็มตัวกันมากๆได้ไม่นานและมีแต่บางค่ายเท่านั้นที่จริงจัง ด้วยสภาพอากาศที่ไม่เหมือนกันอันนี้ก้มีผลจริงครับแต่ก้ไม่ใช่ทั้งหมดแต่รถเกรย์อะแน่ๆเพราะไม่ได้ประกอบสำหรับอากาศแบบเรา ผมไม่เคยพูดกับใครนะครับว่าอันไหนทนกว่ากัน ยุโรป ญี่ปุ่น เพราะถ้าตามประสบการณ์ผมๆว่าก้ไม่ได้ต่างกันเยอะ
+1

ออฟไลน์ SM.

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 27,363
Re: ทำไมรถญี่ปุ่น “ทนกว่า” รถยุโรปครับ?
« ตอบกลับ #45 เมื่อ: พฤษภาคม 23, 2018, 16:21:06 »
รถยุโรป ไม่ใช่ว่าไม่ทนนะครับ แต่ผมว่ามันจุกจิกกว่า อาจจะเพราะระบบต่างๆมากมาย

รถญี่ปุ่น หลังๆก็เริ่มมีระบบต่างๆท่วมคันแล้วเหมือนกัน ผมว่าต่อไปก็คงจุกจิกพอกัน

ออฟไลน์ RP2112

  • Jr. Member
  • **
  • กระทู้: 53
Re: ทำไมรถญี่ปุ่น “ทนกว่า” รถยุโรปครับ?
« ตอบกลับ #46 เมื่อ: พฤษภาคม 24, 2018, 17:37:35 »
ผมไม่ค่อยเปลี่ยนรถบ่อยๆ

ผมออก W213 มาจะครบ 2 ปีแล้วครับ
รู้สึกเสียงน่ารำคาญจากวัสดุแผงประตู คอนโซล และอื่นๆ มันเยอะขึ้นเรื่อยๆ (รู้สึกเกรดวัสดุจะต่ำลงเน้น วัสดุรีไซเคิล)
พวงมาลัยปรับขึ้นลงก็ฝืด(Easy entry ปรับขึ้นได้บ้าง ไม่ได้บ่้างต้องกดก้าปรับเองย้ำๆ) และ intelligent light ก็รวนไปรอบนึง (ส่องมั่ำไปหมด ถูกคันที่สวนส่องไฟสูงกลับ)

รถ Camry ACV40 ใช้มา 8-9 ปี เสียงน่ารำคาญจากวัสดุในห้องโดยสารแทบไม่มี

ทางครอบครัวก็บอกนั่งไม่ค่อยสบาย ตอนนี้เลยไปจอง Alphard แล้วครับ ผมดันซื้อ Warranty 5 ปี ที่รวมกับที่เหมารวมค่า Service ทุกอย่างไปแล้ว ก็เลยต้องใช้ให้คุ้มครับ
กะว่าครบหรือใกล้ๆหมด Warranty คงขาย

ออฟไลน์ หมีขับสี่

  • Sr. Member
  • ****
  • กระทู้: 661
Re: ทำไมรถญี่ปุ่น “ทนกว่า” รถยุโรปครับ?
« ตอบกลับ #47 เมื่อ: พฤษภาคม 24, 2018, 19:32:53 »
เป็นที่วัฒนธรรมองค์กรด้วยครับ บางค่ายในระยะประกันนี่ ไม่มีปัญหาไรเลย พอหมดประกันปุ๊บไฟโชว์ปุ๊บปับ ไอ้นั่นเสีย ไอ้นั่นต้องเปลี่ยน ยังผ่อนไม่หมด มีการเชียร์ให้เทิร์นคันใหม่ไปขับละ  ::)

ยุคปัจจุบันผมไม่เชื่อว่ายุโรปทนกว่าญี่ปุ่นแน่นอน เผลอๆผมยังรู้สึกว่ารถเกาหลีทนกว่าด้วยซ้ำ

Electronic ก็ส่วนหนึ่ง แต่หลักๆผมว่าแนวคิดองค์กรกับผู้บริหารมากกว่า จะทำให้มันเน้นทนทาน ทำไมจะทำไม่ได้ แต่เค้าเลือกที่จะไม่ทำมากกว่า มันหมดยุค overengineer แล้ว เน้นทำมาใช้ได้ 5-6 ปีก็พอ 555+

ออฟไลน์ Napat14

  • Sr. Member
  • ****
  • กระทู้: 351
Re: ทำไมรถญี่ปุ่น “ทนกว่า” รถยุโรปครับ?
« ตอบกลับ #48 เมื่อ: พฤษภาคม 24, 2018, 20:08:54 »
ผมขอเสนอ ครับว่า ใครบ้างที่ใช้รถแล้ว จดบันทึกว่ารถตัวเองเสียอะไรบ้างตอนเลขกิโลเท่าไหร่ ลองเอามาเทียบกันแล้วจะรู้ว่าอะไรทนหรือไม่ทน แล้วราคาอะไหล่แท้ ระหว่างรถยุโรปและญี่ปุ้นมาเทียบกันในแต่ละระดับจะรู้เลยว่า อะไรที่เสียบ่อย ค่าบำรุงมันต่างกันหรือเปล่า แต่ไม่มีใครทำหรอกครับ
Bmw E30 coupe 1989
Volvo 940 estate 1997
Nissan Navara 2007
Toyota CHR 2019
Benz w212 2012
volvo v90 2018