จขกท น่าจะเข้าผิดน่ะครับ ตามที่ผมเข้าใจ น้ำมันเครื่องเบอร์หนาๆข้นๆมันจะไหลเวียนช้ากว่าน้ำมันใส
ทำให้เวลาสตาร์ท น้ำมันที่ข้นกว่าหนืดกว่า จะต้องใช้เวลามากกว่าน้ำมันใส กว่าที่จะไหลเวียนไปหล่อลื่นได้ทั้งระบบ 100%
แต่น้ำมันข้นจะหล่อลื่นได้ดีกว่าในช่วงที่อุณหภูมสูงๆครับครับ น้ำมันที่ข้นหนืดกว่าจึงเหมาะกับรถที่วิ่งยาวๆเป็นหลัก โหลดภาระเยอะ
หรือรถแต่ง หรือรถเดิม แต่เจ้าของชอบขับอัดบ้างไรบ้าง หรืออัดบ่อยๆ อย่างถ้ารถแข่งจะใส่กันเบอร์ 60 เลยครับ ประมาณนี้ครับ
แต่น้ำมันใสเหมาะกับรถที่เน้นวิ่งในเมืองความร้อนไม่สูงจัด สตาร์ทบ่อยๆครับ
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก้ต้องดูที่ผู้ผลิตระบุมาจะดีที่สุดครับ ว่าเครื่องที่เราใช้สมควรใช้เบอร์ไหนถึงเบอร์ไหนได้บ้าง
แต่ผมเพียงอธิบายให้นึกภาพออกเฉยๆ
ส่วนน้ำมันเครื่องใสขนาดเบอร์ 15 นี่มีด้วยเหรอครับ ผมเพิ่งทราบเลยเบอร์ 20 ผมก็ว่าใสน่ากลัวแล้วน่ะครับ 30 ก็ยังว่าใสเลย
แต่ถ้าหมายถึง 15W40 อันนี้ไม่ใช่ 15 น่ะครับ ความหนืดความข้นอิงตัวหลังเป็นหลักครับ ตัวหน้ามันเป็นจุดที่น้ำมันแข็งตัว
ตราบใดที่เมืองไทยยังไม่มีหิมะตก ก้ไม่ต้องไปสนตัวหน้าครับ สนแต่ตัวหลังพอครับ
ในเมืองเนี่ยตัวความร้อนสูงเลยล่ะครับ นอกเมืองความร้อนไม่ได้มากเท่าไหร่มีลมพัดตลอดเวลา
สำหรับเมืองร้อนอย่างเมืองไทยผมว่าน้ำมันเบอร์ 30 40 จะเหมาะสมกว่านะ เบอร์ 20 ให้เมืองที่หนาวๆเค้าใช้ไปเหอะ ที่เอามาใช้ในเมืองไทยนี่หวังผลเรื่องอัตราสิ้นเปลืองกับราคาล้วนๆ แต่มันไม่ดีต่อเครื่องในระยะยาว
อ่า เรื่องนี้เดี๋ยวขออธิบายเพิ่มครับ เพราะเป็นเรื่องที่คนชอบเค้าใจผิดเรื่องนึงเหมือนกันครับ
เข้าใจผิดไปว่าอุหณภูมิน้ำมันเครื่องจะต้องแปรไปตามอุณหภูมิหม้อน้ำเสมอไป ซึ่งเป็นความเข้าใจที่ผิดครับ...
ถ้าให้สรุปสั้นๆ ผมจะสรุปสถานะความร้อนของแต่ละจุดได้ตามนี้ครับ
สถานนะเดินเบาหรือรถติดนานๆอุณหภูมินำหล่อเย็นในหม้อน้ำ = ร้อนมากหรือร้อนจัด
อุณหภูมิในห้องเครื่องยนต์ = ร้อนมากหรือร้อนจัด
อุณหภูมิน้ำมันเครื่อง = ร้อนน้อย
สถานนะวิ่งด้วยความเร็วสูงๆ ใช้รอบสูงต่อเนื่องนานๆอุณหภูมินำหล่อเย็นในหม้อน้ำ = ร้อนกลาง
อุณหภูมิในห้องเครื่องยนต์ = ร้อนกึ่งอุ่น
อุณหภูมิน้ำมันเครื่อง = ร้อนมากหรือร้อนจัด
เหตุผลที่เป็นเช่นนั้นก้เพราะว่าอุณหภูมิของน้ำมันเครื่องจะแปรผันไปตามในห้องเผาไหม้หรือชิ้นส่วนภายในเป็นหลักครับ
ตอนเดินเบาเครื่องทำงานน้อย ภาระน้อย รอบน้อย(เท่ากับแรงเสียดทานน้อย) ในห้องเผาไหม้มันไม่ค่อยร้อนมาก
ชิ้นส่วนในเครื่องยนต์ก็จะมีอุณหภูมิประมาณ 100-200 องศา แล้วแต่ว่าจุดไหน ในขณะเดิบเบา รถติด น้ำมันเครื่องก็จะไม่ค่อยร้อนครับ
ก็แค่ร้อนระดับนึง แต่พอวิ่งนอกเมือง ใช้ความเร็วสูงรอบสูง ภาระเครื่องสูง ทุกอย่างก้จะตรงกันข้ามกับตอนเดินเบา
ทุกๆชิ้นส่วนในเครื่องจะมีความร้อนสูงจัดมาก ชิ้นส่วนในเครื่องยนต์ก็จะมีอุณหภูมิขึ้นมาถึงประมาณ 300-800 องศา
แล้วแต่ว่าจุดไหน ทำให้น้ำมันเครื่องร้อนจัดมาก ถึงจะมีลมเข้ามาในห้องเครื่องก็ตาม แต่เนื่องจากชิ้นส่วนในเครื่องยนต์มันมีอุณหภูมิสูงกว่าตอนเดินเบามากหลายเท่าตัว จึงทำให้ตอนวิ่ง น้ำมันเครื่องมันก็ยังร้อนกว่าตอนเดินเบาอยู่ดีครับ.....แต่กรณีน้ำหล่อเย็นในหม้อน้ำ
มันมีทางเดินน้ำรังผึ้ง(ซึ่งก็คือหม้อน้ำ)ไปรอรับลม อยู่หน้ารถเลย เทียบกับตอนจอดเดินเบา เวลาวิ่งแล้วอุณหภูมิน้ำจึงลดลงหน่อยนึง เพราะลมปะทะรถที่ความเร็ว 120+ นั้นแรงกว่าพัดลมหม้อน้ำแน่นอน แล้วน้ำหล่อเย็นไม่ได้ไปสัมผัสกับชิ้นส่วนในเครื่องยนต์โดยตรงเหมือนน้ำมันเครื่อง
วนๆอยู่แค่นอกผนังเสื้อสูบ+ฝาสูบ มันจึงไม่ร้อนจัดเท่าน้ำมันเครื่องในขณะที่เครื่องทำงานรอบสูงๆครับ
เรื่องนี้ยังไม่ต้องเชื่อผมก้ได้ครับ แค่อ่านผ่านๆไป แต่ให้ลองไปถามคนที่เค้าขับรถแต่งๆที่เค้ามีเกจวัดอุณหภุมิน้ำมันเครื่องดูนะครับ
ถามเค้าดูครับว่าตอนไหนน้ำมันเครื่องร้อนกว่ากัน ระหว่างตอนจอดเดินเบากับวิ่งเร็วๆ
แล้วนั่นก็เป็นเหตุผลว่าทำไมรถแข่งถึงต้องใช้น้ำมันเครื่องเบอร์ข้นมาก เบอร์ 60 เลย ทั้งๆที่วิ่งด้วยความเร็ว 200-300+ ตลอด
ไม่ได้จอดเดินเบา ลมปะทะแรงขนาดนั้นตลอดนะครับ.