แฟนมาสด้าเมือนกันครับ
ถึงคันที่เคยใช้มันจะไม่แรง แล้วก็แอร์ไม่ค่อยเย็น
แต่ช่วงล่างแล้วก็ความคมของพวงมาลัยนี่ยังประทับใจไม่หายจริงๆ
ตอนนี้ที่บ้านขายคันนั้นไปนานแล้ว แต่ก็ยังคิดถึงอยู่ มีโอกาสเมื่อไหร่ คงต้องกลับไปขับมาสด้าอีกแน่ๆครับ
ปล.พี่เนยช่วยรีวิวน้องสองสั้นๆ เทียบมาสด้ารุ่นเก่าๆ ให้ฟังหน่อยสิครับ อยากรู้ว่าขับแล้วรู้สึกเป็นไงบ้าง
ขออภัยที่กลับมาตอบให้ช้ามากครับ ช่วงนี้เริ่มยุ่งมากขึ้นแล้วจริงๆ
ถ้าจะเทียบกับ มาสด้าสอง ต้องบอกก่อนว่า เราคงต้องพูดกันที่ Feeling หรือความรู้สึกในการขับขี่เท่านั้น เพราะถ้าพูดถึงเรื่องความแรงแล้ว ผมรู้สึกว่านับวันมาสด้ามีแต่จะลดน้อยถอยลง โดยเฉพาะรถที่ใช้เครื่องยนต์ขนาด 1.5-1.6 ลิตรเนี่ยล่ะครับ
ออกตัวก่อนว่า เป็นคนชื่นชอบมาสด้าเพราะใช้มาก็หลายคันอยู่ไล่ไปตั้งแต่
323 GL Hatchback 1978 (อันนี้ตามภาษามาสด้า มันเป็นรุ่นก่อนหน้า 323XG รถขับหน้าคันแรกๆ ที่ขายในเมืองไทย) เครื่อง 1.3 ลิตร คาร์บูเรเตอร์ กับเกียร์ธรรมดา 5 จังหวะ ต้องบอกว่าคันนี้ได้ขับกันตั้งแต่อายุไม่ถึง 15 ผิดกฎหมายแบบไม่มีข้อแก้ตัวล่ะครับ
323 XG, 626 GLX, 626 Cronos สามคันนี้ไม่เคยใช้แบบเป็นเจ้าของ เพียงแต่ญาติญาติใช้ เลยได้วนเวียนมาให้ขับอยู่บ้างเป็นบางครั้ง
323 Protege MY2002 1.6 ลิตร ปัจจุบันกลายเป็น 2.0 ลิตร เกียร์ธรรมดาอัตราทด(เกือบจะ)ชิดไปแล้ว
Mazda 3 MY2005 1.6 ลิตร ของอดีตคนเคยรัก
Mazda 3 MY2009 2.0 ลิตร S-VT
นอกนั้นก็ได้นั่งได้ขับของพี่พี่เพื่อนเพื่อนในมาสด้าคลับไทยแลนด์ (MCT) บ้างพอเป็นกระสัย
ผมอยากจะเปรียบเทียบมาสด้าสองกับ 323 Protege 1.6 และ Mazda 3 1.6
เหตุเพราะเครื่องยนต์ขนาดเท่าเท่ากัน และถ้ากางสเปคดู บุคลิกจะคล้ายกันมาก โดยเฉพาะ 323 Protege ที่ใช้เครื่องยนต์ ZM-DE ในขณะที่น้องสองใช้ MZR 1.5 ซึ่งดูเผินเผิน เหมือนเอา ZL-DE มาแต่งหน้าทาปากเสริมแรงกันใหม่มากกว่า
ถ้าว่ากันเรื่องขับสนุกในพิกัดเดียวกัน 323 Protege นี่แหละครับที่มันส์ที่สุด มันไม่ใช่รถแรงอะไร ลำพัง 107 แรงม้ากับเกียร์อัตโนมัติแบบเดินหน้า 4 จังหวะยุคเก่า แปะโหมด Hold (จะพูดไปก็เหมือนโหมด Manual แหล่ะ) คงพาน้ำหนักตัวตันกว่าไปได้ไม่ไวเท่าไหร่ แต่สิ่งที่ทำให้สนุกมากคือ
"แน่น ดิบ คม" แบบใครไม่เข้าใจก็พากันบ่นว่ารถโช้คพังกันตั้งแต่ป้ายแดง เพราะโปรทีเจเองนั้น (อ่านกันให้ถูกนะจ๊ะ หลายคนอ่าน โปรเทคเต้ โปรทีค โปตูเก้ เอากันให้มั่วไปหมด..อันนี้อ่านแบบตรงตัวภาษาอังกฤษ) ยังใช้ช่วงล่างด้านหลังแบบ TTL อันขึ้นชื่อของมาสด้าอยู่ที่ล้อหลังจะปรับมุมเลี้ยวประมาณ 1 องศาตามความเร็วขณะเข้าโค้ง เมื่อรวมกับช่วงล่างที่ตั้งใจเกิดมาแข็งและแน่นจากโรงงาน ทำให้นักทดสอบรถหลายท่านล้มเลิกความพยายามในการบีบเค้นให้ยางคู่หลังส่งเสียงร้องด้วยการสาดเข้าโค้งอย่างรุนแรงไปเกือบทุกสำนัก
หลายคนที่ซื้อโปรทีเจมาวิ่งทางตรง ขับเนิบเนิบ มักคิดว่ามันเป็นรถตลาดที่ไม่ได้พิเศษอะไรเลย แต่เมื่อไหร่ที่พามันเข้าโค้งหรือวิ่งมุดไปตามการจราจรแล้ว จะเข้าใจมากขึ้นว่ามันเป็นรถที่มั่นคงและเลี้ยวได้อย่างคล่องแคล่ว (อย่าไปทำกันโดยพละการในเมืองนะ มันไม่ดี) เอาง่ายง่ายว่ามันสามารถโยนเปลี่ยนเลนจากซ้ายสุดไปขวาสุด แล้วโยนกลับมาซ้ายสุดอีกรอบได้อย่างมีเสถียรภาพ โดยที่ตัวรถไม่ได้ให้ความรู้สึกวูบวาบ เอียง หรือร่อนจนควบคุมไม่ได้เลย พวงมาลัยเป็นจุดเด่นอีกอย่างของรถรุ่นนี้ อัตราทดชิดหมุนนิดเดียวก็เลี้ยวได้เยอะ น้ำหนักค่อนข้างหนักทำให้มันแน่นและมั่นคงตลอดเวลา ถึงได้บอกไว้ว่ามันแน่นและคม
โปรทีเจเองเป็นรถครูชั้นดีสำหรับคนอย่างผม เพราะมันสื่อสารทุกสัมผัสของถนนขึ้นมาที่พวงมาลัยและส่งตรงถึงมือคนขับ ผมถึงบอกว่ามันดิบ ผมสามารถลองเล่นพิเรนทร์โดยการดึงเบรกมือเพื่อจงใจให้ท้ายรถกวาดหลุดออกไป แล้วแต่งให้รถกลับมาอยู่ในการควบคุมง่ายๆ ด้วยการแต่งมุมพวงมาลัยเพียงเล็กน้อย หรือจะโยนรถทั้งคันเข้าโค้งด้วยความเร็วสูงเกินจนหน้ารถบานออกไป แล้วยกคันเร่งแต่งพวงมาลัยให้กลับมาอยู่ในการควบคุมก็ตาม อันนี้ไม่ได้ทำกันเกินลิมิตนะครับ ทำเพื่อเรียนรู้ที่ความเร็วไม่ได้สูงมากนัก
เครื่องของโปรทีเจให้การตอบสนองแบบคุยกันรู้เรื่อง กดเป็นมา (ตามอัตภาพของมัน) ทำให้เราเหมือนสื่อสารกับรถอยู่ตลอดเวลา มันทำให้ขับสนุกขึ้นอีกเยอะครับ
พอขยับมาขับมาสด้า 3 แรงม้าลดลงเหลือ 105 แรงบิดขี้เกียจดูเพราะคงเข้าตำราเดิมว่า พยายามให้แรงบิดมาเร็วขึ้นที่รอบต่ำลง อยากให้ขับในเมืองได้สนุกขึ้น แต่ปรากฎว่าด้วยน้ำหนักตัวที่เพิ่มจากเก่าไปมาก มาสด้า 3 1.6 กลับเป็นรถที่ไม่มีเรี่ยวแรง สั่งไม่ได้ เร่งไม่ไป จนต้องเลิกหวังจะเค้นหาความแรงจากกำลังของเครื่องยนต์ สิ่งที่เปลี่ยนไปอีกคือช่วงล่างที่เหมือนคนโตขึ้น มันยังดิบแต่มันเก็บอาการกว่าเดิมเยอะ ทำให้ขับทางไกลไม่เหนื่่อยและยังคงความสนุกจากความแน่นของช่วงล่าง และความคมของพวงมาลัยที่มีให้เหมือนเดิม เพียงแต่ความดิบมันหายไปเท่านั้น เราจะเล่นพิเรนทร์กับมาสด้าสามไม่ได้ง่ายนัก เพราะรถมันใหญ่และหนัก รวมทั้งมันสื่อสารกับเราได้ไม่ชัดเจนเหมือนเก่า เครื่องยนต์กำลังน้อยลงเลยไม่มีแรงส่งตัวรถออกจากโค้งหรือสถานการณ์ที่เสียการทรงตัว แต่สำหรับคนที่ใช้รถใช้ถนนกันทั่วไปแล้ว มาสด้าสามมักจะเป็นเพื่อนในการเดินทางที่ดีกว่าโปรทีเจ เพราะห้องโดยสารใหญ่กว่า รถเงียบกว่า ช่วงล่างเก็บอาการสั่นสะเทือนแถมไม่โคลงเคลง รวมๆ แล้ว เวลาขับยาวๆ มาสด้าสามสนุกกว่าโปรทีเจก็ตรงนี้แหละครับ
ผมกลับมาที่
มาสด้าสอง หลังจากนอกเรื่องไปนาน ต้องบอกก่อนว่าที่ได้ขับจริงจัง เป็นตัว 5 ประตูเกียร์ธรรมดารุ่นต่ำสุดเท่านั้นนะครับ 8 ปีผ่านไปจากโปรทีเจ 1.6 ผมเหมือนกลับมาเจอเพื่อนเก่าในร่างใหม่อีกครั้ง เพราะออพชันของรถที่มีมาให้มันเหมือนเหมือนเคย พวงมาลัยเส้นรอบวงขนาดเต็มมือ เกียร์อัตโนมัติมีโหมด Hold กลับมาให้อีก ปุ่มปรับแอร์ต่างๆ ตำแหน่งเหมือนกับในโปรทีเจแทบจะไม่ผิดเพี้ยน วิทยุแบบ CD 1 แผ่น จังหวะเกียร์และรอบเครื่องต่างต่างๆ เหมือนกันกับมาสด้ารุ่นก่อนๆ อย่างชนิดที่รู้ว่ามันเป็นตระกูลเดียวกันแน่นอน ที่สำคัญมันเป็นรถที่กลับมาส่งความรู้สึกต่างๆ ขึ้นมาที่พวงมาลัยได้ชัดเจนอีกครั้ง เลยทำให้ความดิบของตัวรถกลับเข้ามาสร้างความสนุกในการขับขี่กันได้อีก ผมไม่สงสัยเลยว่า มาสด้าสอง มี DNA มาสด้าอยู่เต็มตัว
แต่ด้วยความที่มากับแรงม้าอันน้อยนิด มาสด้าสองไม่สามารถไปต่อกรกับชาวบ้านเค้าได้มากนัก เกียร์ธรรมดายังพอจะซ่ากับใครเค้าได้ เกียร์ 1-2 ทดมาจัดและชิด ขนาดที่ว่าปั่นล้อคู่หน้าพร้อมยางจากโรงงานได้ตั้งแต่ออกตัวยันขีดแดง เกียร์สองยังส่งอัตราเร่งไปได้อย่างต่อเนื่องแต่ยังไม่ทันถึง 100 กม./ชม. ก็ต้องสับเข้าเกียร์ 3 ที่เริ่มแผ่วกันตั้งแต่ช่วงรอบกลางๆ จุดเด่นของมันจริงๆ แล้วก็หนีไม่พ้นช่วงล่างที่ให้ฟีลลิ่งแน่นและคมเหมือนเคย ขาดแต่เพียงว่าพวงมาลัยมันเบาไปนิด มันยังเป็นรถที่มุดซ้ายโผล่ขวาได้ดีกว่าวิ่งทางตรงที่น่าเบื่อนิดหน่อย มันยังเป็นรถที่ยอมให้เราทำอะไรผิดพลาดได้สารพัดแต่ก็แก้กลับมาให้อยู่กะร่องกะรอยได้ไม่ยากเย็นอะไร แต่ว่าเวลาวิ่งที่ความเร็วระดับ 150 ไปแล้วมันไม่ได้แน่นและมั่นคงอย่างโปรทีเจ คือต้องบอกว่าโปรทีเจกับมาสด้าสาม ให้ความรู้สึกว่ารถหนักพวงมาลัยหนักมากวิ่งตรงและมั่นคง ในขณะที่มาสด้าสองจะรู้สึกเบากว่าและพวงมาลัยมีระยะฟรีมากกว่า แต่จะไปว่ามันไม่ดีก็คงไม่ใช่ เพราะกลุ่มเป้าหมายของรถเป็นวัยรุ่นนักศึกษา กลุ่มผู้หญิงทำงาน รวมถึงรถใช้ในเมือง ซึ่งพวงมาลัยที่เบากว่าเดิมเป็นจุดขายของมัน เนื่องจากเราต้องหมุนพวงมาลัยกันบ่อยขึ้นเวลาอยู่ในเมืองใช่มั้ยล่ะ
อีกอย่างที่ผมบอกว่า น้องสอง มี DNA ของมาสด้าอยู่เต็มตัวก็เพราะว่า มันออกมาแล้วดูเป็นมวยรองของตลาดอย่างชัดเจน ถึงแม้ทีมการตลาดนำโดยพี่ตามแห่งมาสด้าคลับไทยแลนด์ จะสร้างสีสรรแล้วดึงบุคลิกของรถออกมาได้ชัดเจนจนน่าประทับใจก็ตาม มันเป็นรถที่ดูสวย โฉบเฉี่ยวเข้าตา แต่คุณงามความดีของมันเราจะรู้ได้ก็ต่อเมื่อเอามันออกไปขับ แล้วก็ต้องขับให้ถึงลิมิตอีกต่างหาก ต่างจากรถที่ประหยัดน้ำมัน ท้ายกว้าง เบาะพับได้หลายแบบ หรือมีปุ่ม +/- บนพวงมาลัยที่เข้าไปนั่งก็ตื่นตาตื่นใจกันแล้ว รวมทั้ง...มันก็ไม่ได้ประหยัดน้ำมันอย่างโดดเด่น เช่นเคยของมาสด้าอีกแล้ว
แต่ถ้าจะให้ผมเทียบประสบการณ์ที่ได้กับมาสด้าแรงแรง ล่อตั้งแต่ Lantis, Astina ตาตี่, Cronos ที่ทั้งหมดทั้งปวงวางเครื่อง V6 2500 200 แรงม้า กับช่วงล่างที่มองไปมีแต่แท่งเขียวๆ แดงๆ พร้อมคำว่า Mazdaspeed เต็มไปซะทุกที่ ต้องบอกว่าฟีลลิ่งที่ได้มันไม่ได้ต่างกันเวลาขับในเมืองอะครับ มันเป็นรถที่แน่นๆ หนึบๆ แข็งๆ คมๆ เหมือนกัน แต่ต่างกันตรงที่เวลาวิ่งความเร็วสูงๆ หรือเราซัดมันเต็มๆ รถมาสด้าพวกนี้เร่งไปแบบไม่ต้องรอ แล้วก็พุ่งหายไปจนรถหลายคันเป็นจุดเล็กๆ ในกระจกส่องหลัง หรือไปสอนมวย Accord 3.0 กันได้แบบฟัดกันหัวขวิด (รถปี 1995 กับ 2005 นะจ๊ะ) เจ้ารถพวกนี้มันแสดงความบ้าพลังและเกาะหนึบกับถนนเป็นตุ๊กแกวิ่งเร็วได้มากกว่ามาสด้าใหม่ๆ ที่ขายในเมืองไทยแบบคนละเรื่อง ไม่ว่าเราจะวิ่งบนบูรพาวิถีที่ความเร็ว 180 แล้วโยกเปลี่ยนเลนไปมา มันก็ยังนิ่งสนิท หน้ารถจิกโค้งและเลี้ยวไปไวเหมือนความคิด ไม่ได้มีอาการดีดดิ้นหรือดื้อไม่อยากจะเลี้ยวเลย กระโดดคอสะพาน วิ่งผ่านรอยต่อถนน หรือแม้กระทั่งโค้งบางวัวที่เวบบางแห่งเอาไปพูดกันซะเป็นตำนาน รถพวกนี้วิ่งผ่านกันที่ความเร็ว 235 แบบไม่ได้ใช้ความพยายามอะไรเท่าไหร่ เพียงแต่่ว่ามันแข็งจนขับแล้วจุก กับมันกินน้ำมันระดับ 4 กม./ลิตร หรือ 1 ถัง 55 ลิตรวิ่งได้ 200 กว่ากม. เวลาซัดเต็มๆ เท่านั้นเอง
ยังไงก็ตาม รถเหล่านั้น รวมถึงโปรทีเจ 2.0 ของผม เป็นนิยามคำว่า "มาสด้า" ในใจผม
ผมรู้สึกว่า เรื่องความดิบกับความแรงมันหายไปตามแต่ละ Generation จะรักษาไว้ก็แต่ความแน่นและคมของพวงมาลัยและช่วงล่าง
ผมถึงเสียดายทุกครั้ง ที่มาสด้าใหม่ใหม่มันไม่แรงเท่าเดิม เพราะประโคมคำว่าขับสนุกกันโครมโครม
แล้วทำไมเหยียบคันเร่งจมมิดลงไป รถมันไม่เร่งแบบซูม-ซูมล่ะ