"อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา" สรรพสิ่งบนโลก ล้วน เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป ไม่มีสิ่งใด จีรัง ยั่งยืน
ความฉลาดในทางโลก ยิ่งพูด ก็ยิ่งยาว ไม่มีที่สิ้นสุดครับ
ผมว่ามันเป็นยุคๆ ไปมากกว่าครับ
บางประเทศ ในบางช่วงเวลา อาจจะต้องการทางศิลป์มากกว่า
แต่พอเวลาผ่านไป อาจจะต้องการทางวิทย์มากกว่า
ผลัดกันขึ้น ผลัดกันลง ควบคู่กันไป มากกว่ากระมังครับ
ดังพระพุทธองค์ ตรัสไว้ว่า
"ดูก่อน ภิกษุทั้งหลาย ท่านจงอย่าได้ยึดมั่นในธรรม" เพราะอะไร เพราะธรรมะ คือทุกสิ่งทุกอย่าง
....ควาทุกข์ก็ธรรมมะ ความสุขก็ธรรมมะ ความรักก็ธรรมมะ ความเกลี่ยดก็ธรรมมะ ความชอบก็ธรรมมะ ไม่ชอบก็ธรรมมะ
....ทุกสิ่ง เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป เมื่อพิจารณาได้ดังนี้แล้ว ก็ให้ปล่อยวางเสีย
คำพูดแบบนี้ก็อาจจะเข้าเรื่องอาชีพอย่างเดียวนะครับ แต่ผมอยากจะอธิบายถึง
ความสามารถของสมองคนเรามากกว่า สำหรับด้านวิทย์ กับศิลป์ มันจะอยู่กันคนล่ะซีก
เลยซึ่งเราควรจะฝึกความถนัดทั้งสองทางให้ควบคู่กันไปครับ ทิ้งอย่างใดอย่างนึงไปไม่ได้
สมัยพุทธกาล สมัยเรเนอซองส์ และสมัยโบราณๆ คงทำได้ ที่ทั้งยุคมีแต่ศิลปิน ทั้งยุคมีแต่นักประดิษฐ์
วิศวกร ถ้าขาดอารมณ์แบบศิลปะ ก็จะสร้างอะไรที่แข็งๆ ออกมา นักวิทยาศาสตร์ถ้าไม่มี
ความคิดอ่านศิลปะ รู้จักอารมณ์ความรู้สึกของคนหมู่มาก ก็จะประดิษฐ์แต่ของไร้สาระที่
ไม่มีประโยชน์ต่อคนหมู่มากออกมา ผู้นำประเทศที่เก่งด้านวิทยาศาสตร์คิดด้วยเหตุและ
ผลมากเกินไป โดยไม่คำนึงถึงความรู้สึกและอารมณ์ของประชาชนก็อาจถูกต่อต้านได้
คนที่ดีแต่ศิลปะ ศิลปินที่มีแต่อารมณ์มากเกินไป ก็จะสร้างผลงานที่เข้าถึงยากเกินไป
ออกมา หัวหน้าที่เต็มไปด้วยอารมณ์ความรู้สึก แต่ขาดความคิดแบบมีเหตุมีผล ก็จะไม่สามารถ
ทำตามแผนของบริษัทได้อย่างมีประสิทธิภาพ อธิบายลูกน้องด้วยเหตุด้วยผลไม่ได้
เคยดูหนังก็เห็นบ่อยๆ ใช่มั๊ยครับ วิศวกรงี่เง่า ไม่เข้าใจความรู้สึกอารมณ์ผู้อื่น
ศิลปินปัญญาอ่อน คิดจากเหตุไปผลไม่เป็น พูดจาด้วยไม่รู้เรื่อง ถ้าสังคมมีแต่คนแบบนี้
สังคมมนุษย์เราคงสูญสลายไปนานแล้ว
Leonardo Davinci ก็เก่งทั้งด้านศิลปะ และด้านวิทยาศาสตร์ เพราะเป็นนักประดิษฐ์
อย่าง J.K.Rowling หลายคนอาจจะคิดว่า Harry Potter ดังมากๆ เพราะจินตนาการและ
ความสามารถด้านศิลปะ ล้วนๆ แต่ความจริงผมว่าเธอต้องมีซีกด้านวิทย์ซ่อนอยู่มากพอๆ กัน
ที่จะสามารถเล่าเรื่องเป็นเหตุเป็นผลซับซ้อนได้เหนือกว่าคนอื่นๆ
ลองนึกถึงคนที่ยอดเยี่ยมแต่ละคนที่ผ่านมาในชีวิตของเราดีๆ สิครับ ไม่มีใครเป็นพวกวิทย์ล้วนๆ
หรือศิลป์ล้วนๆ หรอก ผมหมายถึงด้านความคิดนะครับ ไม่ต้องชัดเจนขนาดเป็นอาชีพ เช่นเป็นทั้งหมอ กับ
นักวาดการ์ตูนในคนๆ เดียวกัน ที่จริง Tezuka Osamu คนวาดเรื่อง เจ้าหนูปรมาณู ก็จบแพทย์เหมือนกัน
แต่มาวาดการ์ตูน จะเห็นได้ว่า คนที่ยอดเยี่ยม คนที่ร่ำรวย คนที่อัจฉริยะ ควรจะมีสมองทั้งซีกขวา ซีกซ้าย
เก่งพอๆ กัน ลองย้อนดูตัวเราเองด้วย ถ้าหากเราเก่งแต่คำนวณ เก่งแต่วิทยาศาสตร์ ก็ควรจะไปหัดเล่น
ดนตรี หัดวาดรูป ดูบ้างมั๊ย ถ้าเราถนัดด้านศิลปะ ด้านดนตรี เราควรจะเรียนรู้ด้านเทคโนโลยี ด้าน
วิทยาศาสตร์ ด้านคำนวณดูบ้าง ดีกว่าให้สมองอีกซีกที่ไม่ถนัดของเราต้องเหี่ยวแห้ง ไม่ค่อยได้ใช้ประโยชน์
ในเวปนี้ คนที่ใช้สมองทั้งสองซีกชัดๆ ก็มีหลายๆ คน แต่อย่างพี่ P_wut นี่คิดแบบสมองซีกซ้าย หรือวิทย์เป็นหลักเลย
นานๆ จะเห็นแกออกความเห็นจากสมองซีกขวามาซักที แต่ละคน คิดว่าตัวเองถนัดซีกไหนครับ หรือว่าถนัดทั้งสองซีก