เป็นมาตั้งแต่ eco car ยุคแรกปี 2008 แล้วล่ะครับ
ตอนนั้นก็เห็นด่าแต่ b-seg 1.5L ว่าเอาเปรียบ แล้วไปชื่นชม eco 1.2 ว่าพ่อพระ
ทั้ง ๆ ที่เวลาซื้อ ก็ไปซื้อ eco ตัว top ที่ราคาเท่า b-seg 1.5 ตัวกลางด้วยซ้ำ
กาลเวลาผ่าน พวก b-seg 1.5 ยังวิ่งรับใช้ดีอยู่ แต่พวก eco ก็พากันทะยอยพัง
พวกลูกปืน แอร์ พวงมาลัย ให้ต้องเสียเงินซ๋อมก่อนเวลาอันควร
มาวันนี้ จะไม่มี b-seg 1.5 แล้ว ทุกค่ายได้เรียนรู้พฤติกรรมการตัดสินใจซื้อรถของคนไทย
ก็เลยจัดให้เป็น eco ทั้งหมดแล้วครับ
ก็ขึ้นอยู่กันคนซื้อกันแล้วล่ะ เงินอยู่ในกระเป๋า ถ้าไม่พอใจ ไม่ซื้อ ใครก็มาล้วงเอาเงินในกระเป๋าออกไปไม่ได้
ที่เป็นอย่างนี้เพราะเราเอาเงินไปขอซื้อรถเขาเองครับ รถสวย ๆ อยากได้มาก นานหลายเดือนก็รอรถกัน
เสี่ยงรถตายกลางทางก็ยินดีจะเสี่ยง แล้วอย่างนี้จะให้โทษใครดีล่ะครับ
เค้าคุย กันเรื่อง รถที่ใช้ ภาษี Eco car กัน
ที่ผมพูดคือ Eocology สิทธิ ภาษี 14 %
แล้วคุณ จะมา พูดเรื่อง รถที่เสียเสียภาษี ปกติเพื่ออะไรครับ
แล้วอีกอย่าง Eco car ไม่ได้แปลว่า รถ ต้นทุนต่ำหรือ รถกระป๋อง ค่ายรถเค้าก็ทำรถ ตามมาตราฐานเค้านั่นละ
ยกตัวอย่าง คุณ พูด แบบ เหมารวมนะ
"b-seg 1.5 ยังวิ่งรับใช้ดีอยู่ แต่พวก eco ก็พากันทะยอยพัง"
eco car ค่ายไหนครับ ที่ทยอยพัง
eco car หลายๆ คัน ก็คือ รถ B-segment แค่ใช้ สิทธิภาษีนี่ละ มันก็ยังวิ่งกันเกลือนเมือง หลายค่าย หลายคัน อย่าเหมารวมครับ
"มาวันนี้ จะไม่มี b-seg 1.5 แล้ว ทุกค่ายได้เรียนรู้พฤติกรรมการตัดสินใจซื้อรถของคนไทย "
ก็เลยจัดให้เป็น eco ทั้งหมดแล้วครับ
คุณพูดไม่ถูกทั้งหมดครับ ครับ b-seg ยังคงอยู่ตลอดไปครับ
เพราะ b-seg คือ Segment รถ ขนาด พิกัด
ส่วนเครื่อง 1.5 ไม่มีอยู่ ไม่ใช่ปัญหาครับ มลพิษ ต้องมาก่อน
b-seg อาจจะหลายเป็น 1.2 E-power หรือ 1.5 Hybrid ก็ได้ นั่นไม่ใช่ปัญหา ดูรถให้ดูที่ แรงม้า แรงบิด ไม่ใช่ขนาดเครื่อง
eco คือ Ecology ได้ สิทธิภาษี ต่ำ ตามเงือนไข รัฐบาล ไทยแลนด์ ONLYYYYYYYY
ซึ่งผมว่า มันคือ กลไกลดภาษี เพื่อกระตุ้นยอดขายรถเก๋งเล็ก
ภาษี ที่ ถูกต้อง มันควร คิด ตาม การปล่อยมลพิษ หรือ Co2 แบบ ที่ สากลโลกเค้าใช้กัน
มีที่ไหน ดีเซล ควันดำ ปล่อยไอเสีย Co2 200mg เสีย ภาษี แค่ 4% บ้าไปแล้ววว แต่เรา ทำ