ผู้เขียน หัวข้อ: ถ้าใช้รถยุโรปแล้วจะกลับไปใช้รถญี่ปุ่นไม่ได้อีกจริงเหรอครับ  (อ่าน 55526 ครั้ง)

ออฟไลน์ dt9

  • Sr. Member
  • ****
  • กระทู้: 831
    • อีเมล์
มีคนจำนวนไม่น้อยที่ใช้รถยุโรปแล้วอยากกลับไปใช้รถญี่ปุ่นครับ

ออฟไลน์ AgentMolder

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 1,408
มันก็มีทั้งจริงและไม่จริง

- จริง!! ถ้ามองในแง่ รถเป็นวัตถุ การที่คนเรามีความสามารถขึ้นเรื่อยๆ มีเงินมีทองมากขึ้น ก็เป็นธรรมดาที่จะต้องอยากได้ ของที่มีราคาขึ้นเรื่อยๆ ไม่จำเป็นแต่รถยนต์ โทรศัพท์ นาฬิกา เสื้อผ้า ของเล่น ต่างๆนานา ถ้าเรามีกำลังพอที่จะจ่ายให้ของราคาแพงขึ้น เราก็ยินดี และเมื่อใช้ของที่แพงขึ้น คุณภาพต่างๆก็ตามมา มันไม่ใช่ว่าเรากลับไปใช้ของที่ถูกกว่าไม่ได้ แต่เรามีพอที่จะจ่ายได้กับของที่ราคาสูงกว่า ดังนั้นคนๆนึงอาจเริ่มที่ Vios > Altis > Camry > C class
 > E Class แล้วเขาไม่กลับไปใช้ Accord อีก ไม่ได้แปลว่า E class มันดักว่าทุกอย่างเหนือ Accord แต่เพราะคนเราเติบโตขึ้น มีฐานะมากขึ้น พอใช้ E class แล้วยังมีมากไปอีก ก็อยากหารถที่ราคามันพอๆ หรือสูงกว่าไปตามฐานะ เช่นอาจย้ายค่ายไป Series7 หรือไป Porche ไปโน่นเลย

- ไม่จริง!! ถ้ามองในแง่คุณภาพรถ ณ ปัจจุบัน เทียบราคา จริงๆรถญี่ปุ่นดีกว่าเดิมมากๆ ใกล้เคียงยุโรปมากๆแล้ว แต่ความถึก ทน ดูแลง่ย ไม่จุกจิก ศ.เยอะ ก็ยังยกให้รถญ่ปุ่นอยู่ดี ตรงนี้ คนในอยากออก คนนอกอยากเข้า คนใช้ยุโรปหลายคนอลากกลับมาญี่ปุ่น แต่มันติดที่ข้อแรกไงครับ หรือง่ายๆคือมีบางคนที่ จมไม่ลง หรือไม่อยากให้คนอื่นมองว่า คิดผิด ที่ไปใช้รถยุโรป เห็นไหมบอกแล้ว มีเงินอย่างเดัวไม่ได้นะ บลาๆๆๆ


ออฟไลน์ Underseven

  • Full Member
  • ***
  • กระทู้: 231
อ้างถึง
...ง่ายๆคือมีบางคนที่ จมไม่ลง หรือไม่อยากให้คนอื่นมองว่า คิดผิด ที่ไปใช้รถยุโรป เห็นไหมบอกแล้ว มีเงินอย่างเดัวไม่ได้นะ บลาๆๆๆ

 ทนรวยครับ  :P

ออฟไลน์ GoatGoat

  • Sr. Member
  • ****
  • กระทู้: 895
เคยใช้ตราดาวและใบพัด ตอนนี้มาใช้ญี่ปุ่นเล็กซัสละครับ
ฟอร์จูนเนอร์ก็ดี ใช้ทน ลุยน้ำได้ ขนของสบาย ในแบบที่ยุโรปให้ไม่ได้

ออฟไลน์ bobsan

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 1,605
    • อีเมล์
ไม่ถึงขนาดนั้นหรอก

ถ้าเคยขับรถยุโรปที่ขับดีมาก่อน ต่อมาเปลี่ยนไปใช้รถญี่ปุ่นขับแล้วธรรมดาๆ
คงมีใจคิดถึงฟีลลิ่งการขับขี่ที่ดีมากกว่า


ออฟไลน์ n

  • Full Member
  • ***
  • กระทู้: 193
ผมเบื่อความไม่ทนและจุกจิก เลยทำให้ขยาดรถยุโรป ตอนนี้ขับรถญี่ปุ่น สบายใจเฉิบ......ไปไหนไปกัน ไม่ต้องกลัวกินข้าวลิงกลางทาง

ออนไลน์ voyager

  • Sr. Member
  • ****
  • กระทู้: 505
อยู่ที่สภาพเศรษฐกิจของแต่ละคนมากกว่า
ถ้าเงินถึง รถยุโรปมีความหลากหลาย น่าเล่นกว่าเยอะ

ออฟไลน์ nottii77

  • Full Member
  • ***
  • กระทู้: 181
จากที่ผ่าน X3 2015/W212 bluetech/w207 ดีเซล6สูบ / เบนซ์ตากลม /E90 320i

คันที่ใช้อยู่ตอนนี้คือ RX300 2019 ครับ

ผมอยู่ ตจว ซึ่งเวลาต้อง service รถยุโรปเดี๋ยวนี้มันไม่สะดวกเอาเสียเลย แถม walk in เข้าไปก็ยาก ต้องจองคิวล่วงหน้ากันทั้งนั้น

ก่อนจะออก RX จริงๆแล้วจะซื้อ camry top hb แต่ว่าพนักพิงดันกบาล นั่งไม่สบาย ปวดคอไปหมด เลยต้องไปจบที่ RX ครับ

ออฟไลน์ Devil13

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 4,985
มองในด้านการขับขี่ ช่วงล่าง เกียร์ การประหยัดน้ำมัน
ยุโรปชนะ

มองด้านขนาด ราคา ค่าซ่อมบำรุง ญี่ปุ่นชนะ

อยู่ที่ว่าคนๆนั้น ให้ความสำคัญกับอะไรมากกว่ากัน


ออฟไลน์ Smith686

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 2,935
    • อีเมล์
ผมได้ยินหลายๆ คนบอกว่าถ้าได้ใช้รถยุโรปแล้วจะไม่ยอมไปขับรถญี่ปุ่นอีกเลยนี่มันจริงไหมครับ หลายๆ ท่านในนี้น่าจะได้สัมผัสทั้งรถญี่ปุ่นและรถยุโรปมากกว่าผมเยอะ มันต่างกันขนาดนั้นเลยเหรอครับ ผมเองใช้ CX-5 2.0 ตัวเก่าอยู่ และพึ่งซื้อ BMW E90 325i M Sport ปี 10 เข้ามาเพิ่ม ส่วนตัวผมว่ามันก็ไม่ได้ต่างอะไรกันขนาดนั้นนะ ที่ต่างกันก็พวก option ที่ BMW มีมาให้มากกว่า แต่บางอย่าง BMW ก็ไม่มีเหมือน Mazda โดยการขับขี่ผมว่าความมั่นคงแทบไม่ต่างกัน ที่ต่างกันคือความแข็งของช่วงล่าง จากที่เคยคิด CX-5 ก็ช่วงล่างแข็งพอประมาณแล้ว พอไปขับ BMW นี่คนละเรื่องเลย เจอรอยต่อถนน หรือถนนเป็นคลื่นพ่อแม่นั่งทีบ่นอุบเลยครับ มันสะเทือนมาก (ช่วงล่าง M Sport) กลายเป็นว่า CX-5 นั่งนุ่มซับแรงได้ดีกว่าเยอะ น้ำหนักพวงมาลัยกลายเป็นว่า CX-5 เบามาก คล่องตัวมากในเมือง แต่ E90 พวงมาลัยมันหนักเลยทำให้ไม่รู้สึกคล่องตัวเท่าไหร่ เรื่องเครื่องยนต์ 325i เดินเบานิ่งกว่า CX-5 แต่ตอนออกตัว BMW กลับวิ่งไม่ค่อยออกในเกียร์ 1 จะไปมีกำลังหลังเกียร์ 2 เป็นต้นไป และการเซ็ตคันเร่งไม่ฉับไวเหมือน CX-5 สามารถใช้เท้าคุมให้ลด 1 เกียร์ 2 เกียร์ได้ง่ายกว่า แต่ BMW กดไปนิดนึงยังไม่ค่อยตอบสนอง ถ้ากดลึกไปหน่อยก็รอบก็จะโดดขึ้นเยอะไป ทำให้มันแรงเกินไปหน่อย แต่อัตราเร่งต่างกันเยอะครับ BMW นี่เข็มความเร็วกวาดขึ้นง่ายๆ เลย อีกอย่างนึงที่ต่างกันชัดคือการเก็บเสียง BMW เงียบกว่าเยอะ เสียงลมวิ่ง 140 ถึงจะมีเข้ามาเบาๆ แต่ CX-5 วิ่ง 110 นี่ก็มีฟิ้วๆ ละครับ 140 นี่หูตึงเลยทีเดียว

สำหรับผมมันก็ดีกันคนละด้านนะ แต่เอาตรงๆ ความนิ่งของช่วงล่างไม่ค่อยต่างกันมาก แต่ถ้าตอนผมใช้ altis หน้าหมูแล้วเปลี่ยนมา CX-5 มันต่างกันคนละโลกเลย แต่พอ CX-5 ไป BMW ไม่ค่อยต่างกันเท่าไหร่ สำหรับผมนะ ท่านสมาชิกน่าจะเคยผ่านรถมามากกว่าผมคิดว่ายังไงกันบ้างครับ

        ปัญหาคือรถที่คุณซื้อมาคือ BMW E90 325i M Sport ปี 10 คุณเลยไม่ค่อยเห็นความแตกต่าง  กลับกัน  ถ้าคุณซื้อ BMW 520D ป้ายแดง  อารมณ์  ความรู้สึกของตัวคุณเองและคนรอบข้างจะแตกต่างจากตอนที่ใช้ Mazda อย่างชัดเจนจนทำให้คนส่วนใหญ่ที่เคยใช้ Benz หรือ BMW ไม่ยอมกลับไปใช้รถญี่ปุ่นอีก  อารมณ์คงเหมือนคนที่เคยใช้ของหรูๆแล้วไม่อยากใช้ของธรรมดาๆอีก  อีกอย่างก็คือนที่ซื้อ Benz หรือ BMW ป้ายแดงราคา 4-5 ล้านบาทได้  แสดงว่ามีเงินเหลือๆ  เขาจะห่วงใยชีวิตและความปลอดภัย  ความปลอดภัยที่เพิ่มขึ้นจะมากหรือจะน้อยก็มีผลต่อการตัดสินใจเพราะเขาไม่มีปัญหาเรื่องเงินให้ต้องกังวล
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มกราคม 15, 2020, 16:21:37 โดย Smith686 »

ออฟไลน์ flybigbear

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 1,564
เงินครับ เงินที่ซื้อ + เงินซ่อมบำรุงตามรอบ + ประกันภัยภาคสมัครใจ(ที่จะราคาระดับหนึ่ง) ครับ สุดท้ายแล้วแต่ ภรรเมียแต่ละท่าน จะเห็นชอบหรือไม่ แค่นั้นเอง

ออฟไลน์ D Water Law

  • Full Member
  • ***
  • กระทู้: 292
คำตอบมันอยู่ที่ว่าเอาคำถามนี้ไปถามใคร

ถ้าถามคนที่งบประมาณมีจำกัด มีรถได้แค่คันเดียวต้องรองรับทุกกิจกรรมในครอบครัว ---> คำคอบก็คงเป็นว่าไม่จริงครับ รถญี่ปุ่นมันถูกกว่าตั้งแต่ค่าค่าตัวตอนซื้อ ตามมาด้วยค่าดูแลบำรุงรักษา ซึ่งรถญี่ปุ่นมันถูกกว่าทุกอย่าง

แต่ถ้าถามคนที่มีฐานะทางการเงินสูงกว่านั้น หรืองบประมาณไม่ใช่ปัญหา ในครอบครัวมีรถหลายคัน สลับคันใช้ไปมา  --->  ผมว่าค่อนข้างจริงนะ รถยุโรป(ส่วนใหญ่) เหนือกว่ารถญี่ปุ่น (ส่วนใหญ่) ในแทบทุกด้าน ทั้งในด้านภาพลักษณ์ สมรรถนะ  ช่วงล่าง  ส่วนข้อเสียหลักของมันคือ "แพง"  ซึ่งข้อเสียคำว่า  "แพง"   เพียงข้อเดียวอันนี้ก็กระทบกับผู้บริโภคเกินกว่า 8-90% ของประชากรในประเทศนี้แล้วครับ

คำว่า "แพง" หรือ "งบประมาณไม่พอ" คำนี้เอง ที่ทำให้มนุษย์รู้จักปรับตัว สามารถยอมรับในสิ่งที่ด้อยกว่าได้ เพื่อประหยัดเงินเพื่อเอาไว้ใช้จ่ายอย่างอื่นหรือสะสมเป็นสินทรัพย์เพื่อความมั่นคงของครอบครัว

ออฟไลน์ jickoP

  • Full Member
  • ***
  • กระทู้: 162
ส่วนตัวตั้งแต่หัดขับรถมาจนถึงปัจจุบัน 15 ปีแล้ว ก็ใช้รถยุโรปมาตลอด แต่มีช่วงหนึ่งพ่อผมคิดยังไงไม่ทราบ ไปออก LS430 มาใช้ ตั้งแต่นั้นก็ติดใจ พอ LS460 ออก ท่านก็เปลี่ยนตาม แล้วก็ใช้มาจนท่านเสียไป จากที่ผมก็ได้ขับรถพ่ออยู่บ้าง ยอมรับในคุณภาพครับ ว่าไม่แพ้รถยุโรปเลย หลายอย่างเหนือกว่าด้วยซ้ำ อย่าง mark levinson ใน LS ผมว่าเสียงดีกว่า burmester ใน panamera อีก การเก็บเสียงก็ดีกว่า  แต่ถ้าส่วนตัวจะให้ซื้อ lexus ใช้เองคงไม่ครับ เพราะไม่ชอบ interface เหมือนที่บางท่านกล่าว และรู้สึกว่าราคาขายในบ้านเราแพงไร้เหตุผลเกินไป

แต่ถ้าพูดถึงรถญี่ปุ่นที่ไม่ใช่พรีเมี่ยม ก็ไม่มีเหตุผลให้เปลี่ยนไปใช้ครับ เพราะทุกวันนี้ก็ไม่ได้เดือดร้อนเรื่องค่าใช้จ่าย ส่วนความจุกจิกก็แทบไม่เจอ เพราะเข้าศูนย์ตามกำหนดทุกครั้ง  และเปลี่ยนรถทุก 4-6 ปีอยู่แล้ว

เท่าที่เห็น คนที่ใช้รถยุโรปมาตลอด แล้วไม่ได้เดือดร้อนเรื่องงบประมาณ เวลาจะเปลี่ยนรถคันใหม่ แทบไม่มีใครมองรถญี่ปุ่นหรอกครับ ส่วนใหญ่มองแบรนด์ที่ตัวเองใช้อยู่ก่อน แล้วตามด้วยแบรนด์คู่แข่งระดับเดียวกันหรือสูงกว่าทั้งนั้น

ผมว่ามันคล้ายๆ กับครีมทาหน้าอ่ะครับ ถ้าปกติใช้เคาน์เตอร์แบรนด์อยู่แล้ว โอเคกับผลที่ได้ ไม่เดือดร้อนเวลาซื้อหา แล้วจะไปใช้ครีมที่วางขายในซุปเปอร์มาเก็ตทำไม ทั้งๆ ที่ผลลัพธ์ อาจจะด้อยกว่าแค่นิดหน่อย แต่ราคาต่างกันตั้งหลายเท่า

ออฟไลน์ laempiab

  • Sr. Member
  • ****
  • กระทู้: 441
    • อีเมล์
ผมเบื่อความไม่ทนและจุกจิก เลยทำให้ขยาดรถยุโรป ตอนนี้ขับรถญี่ปุ่น สบายใจเฉิบ......ไปไหนไปกัน ไม่ต้องกลัวกินข้าวลิงกลางทาง

ยุคนี้มีรถสไลด์ครับ 55



ออฟไลน์ The Mechanics of Emotions

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 1,679
ผมได้ยินหลายๆ คนบอกว่าถ้าได้ใช้รถยุโรปแล้วจะไม่ยอมไปขับรถญี่ปุ่นอีกเลยนี่มันจริงไหมครับ หลายๆ ท่านในนี้น่าจะได้สัมผัสทั้งรถญี่ปุ่นและรถยุโรปมากกว่าผมเยอะ มันต่างกันขนาดนั้นเลยเหรอครับ ผมเองใช้ CX-5 2.0 ตัวเก่าอยู่ และพึ่งซื้อ BMW E90 325i M Sport ปี 10 เข้ามาเพิ่ม ส่วนตัวผมว่ามันก็ไม่ได้ต่างอะไรกันขนาดนั้นนะ ที่ต่างกันก็พวก option ที่ BMW มีมาให้มากกว่า แต่บางอย่าง BMW ก็ไม่มีเหมือน Mazda โดยการขับขี่ผมว่าความมั่นคงแทบไม่ต่างกัน ที่ต่างกันคือความแข็งของช่วงล่าง จากที่เคยคิด CX-5 ก็ช่วงล่างแข็งพอประมาณแล้ว พอไปขับ BMW นี่คนละเรื่องเลย เจอรอยต่อถนน หรือถนนเป็นคลื่นพ่อแม่นั่งทีบ่นอุบเลยครับ มันสะเทือนมาก (ช่วงล่าง M Sport) กลายเป็นว่า CX-5 นั่งนุ่มซับแรงได้ดีกว่าเยอะ น้ำหนักพวงมาลัยกลายเป็นว่า CX-5 เบามาก คล่องตัวมากในเมือง แต่ E90 พวงมาลัยมันหนักเลยทำให้ไม่รู้สึกคล่องตัวเท่าไหร่ เรื่องเครื่องยนต์ 325i เดินเบานิ่งกว่า CX-5 แต่ตอนออกตัว BMW กลับวิ่งไม่ค่อยออกในเกียร์ 1 จะไปมีกำลังหลังเกียร์ 2 เป็นต้นไป และการเซ็ตคันเร่งไม่ฉับไวเหมือน CX-5 สามารถใช้เท้าคุมให้ลด 1 เกียร์ 2 เกียร์ได้ง่ายกว่า แต่ BMW กดไปนิดนึงยังไม่ค่อยตอบสนอง ถ้ากดลึกไปหน่อยก็รอบก็จะโดดขึ้นเยอะไป ทำให้มันแรงเกินไปหน่อย แต่อัตราเร่งต่างกันเยอะครับ BMW นี่เข็มความเร็วกวาดขึ้นง่ายๆ เลย อีกอย่างนึงที่ต่างกันชัดคือการเก็บเสียง BMW เงียบกว่าเยอะ เสียงลมวิ่ง 140 ถึงจะมีเข้ามาเบาๆ แต่ CX-5 วิ่ง 110 นี่ก็มีฟิ้วๆ ละครับ 140 นี่หูตึงเลยทีเดียว

สำหรับผมมันก็ดีกันคนละด้านนะ แต่เอาตรงๆ ความนิ่งของช่วงล่างไม่ค่อยต่างกันมาก แต่ถ้าตอนผมใช้ altis หน้าหมูแล้วเปลี่ยนมา CX-5 มันต่างกันคนละโลกเลย แต่พอ CX-5 ไป BMW ไม่ค่อยต่างกันเท่าไหร่ สำหรับผมนะ ท่านสมาชิกน่าจะเคยผ่านรถมามากกว่าผมคิดว่ายังไงกันบ้างครับ

        ปัญหาคือรถที่คุณซื้อมาคือ BMW E90 325i M Sport ปี 10 คุณเลยไม่ค่อยเห็นความแตกต่าง  กลับกัน  ถ้าคุณซื้อ BMW 520D ป้ายแดง  อารมณ์  ความรู้สึกของตัวคุณเองและคนรอบข้างจะแตกต่างจากตอนที่ใช้ Mazda อย่างชัดเจนจนทำให้คนส่วนใหญ่ที่เคยใช้ Benz หรือ BMW ไม่ยอมกลับไปใช้รถญี่ปุ่นอีก  อารมณ์คงเหมือนคนที่เคยใช้ของหรูๆแล้วไม่อยากใช้ของธรรมดาๆอีก  อีกอย่างก็คือนที่ซื้อ Benz หรือ BMW ป้ายแดงราคา 4-5 ล้านบาทได้  แสดงว่ามีเงินเหลือๆ  เขาจะห่วงใยชีวิตและความปลอดภัย  ความปลอดภัยที่เพิ่มขึ้นจะมากหรือจะน้อยก็มีผลต่อการตัดสินใจเพราะเขาไม่มีปัญหาเรื่องเงินให้ต้องกังวล

เข้าใจครับว่ารถต่างกันเกือบ 10  ปี ถ้าในเรื่องของความนิ่งผมว่าไม่ต่างกันมาก แต่ถ้าเรื่องดีไซน์ วัสดุ ความหรูหรา การเก็บเสียง อัตราเร่งที่ต่างกันชัดเจน ที่ผมจะสื่อคือเรื่องช่วงล่างมันไม่ได้ต่างกันแบบที่รู้สึกได้ เช่น altis หน้าหมู -> CX-5 อันนี้คือต่างกันแบบรู้สึกได้ชัดเจน แต่ CX-5 -> E90 รู้สึกคือนิ่งเหมือนกัน แต่บีเอ็มสะเทือนกว่ากันเยอะมาก ช่วงล่างแน่นแต่เข็ง (แก้มเตี้ย+ช่วงล่างสปอร์ต) แต่ที่รู้สึกชัดๆ คือว่ารถเมื่อ 10 ปีที่แล้ว มีอะไรที่เป็นกิมมิคเล็กๆน้อยๆ เช่น ไฟส่องที่มือจับประตู ไฟ cornering light กระจกก้มลงเมื่อเข้า R ไฟส่องเท้า ม่านหลัง ไฟหน้าเลี้ยวตาม welcome light และอีกหลายๆ อย่างที่ทำให้ผมประทับใจว่า เห้ย รถ 10 ปีที่แล้วยังมีขนาดนี้ ถ้าป้ายแดงไม่ต้องพูดถึง เล่นกันไม่หมดแน่ๆ

ถามว่าต่างไหม มันต่างกันเยอะอยู่แหละครับ แค่ความนิ่งของช่วงล่างผมว่ารถญี่ปุ่นก็ไม่ได้แย่อะไรถ้าเทียบกับ BMW ปี 10 นะครับ
2010 BMW 325i M Sport
2016 Mazda CX-5 2.0S

ออฟไลน์ alpha14

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 2,109
คำพูดนั้นอาจหมายถึงหน้าตาในสังคมมั้งครับ

ออฟไลน์ PaPaMan

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 1,179
ผมใช้ 520i F10 สลับกับ innova crysta เลยครับ


แต่สำหรับคนที่เงินไม่ใช่ตัวแปรในการซื้อรถก็อาจจะจริงนะครับ (คือมีเงินเยอะอะ ก็จะซื้อแต่รถพรีเมี่ยม ถ้าหมดประกันหรือซ่อมบ่อยจุกจิกก็ขายซื้อคันใหม่ ไรเงี้ย)

ออฟไลน์ bingoman

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 2,367
แค่ความนิ่งของช่วงล่างผมว่ารถญี่ปุ่นก็ไม่ได้แย่อะไรถ้าเทียบกับ BMW ปี 10 นะครับ

อ้างแบบนี้ก็ไม่ถูกนะครับ   คุณเรียกรถญี่ปุ่นทุกคันว่าช่วงล่างดีไม่ได้ เพราะ Toyota, Nissan, Honda ส่วนมากก็ไม่ได้ช่วงล่างดีแบบ Mazda CX5 ที่คุณใช้

กล่าวแบบนี้มันเหวี่ยงแหไปหน่อยครับ

ช่วงล่าง BMW ประมาณ E90 นั่นคือค่อนข้าง peak ของการเกาะถนนแล้วครับ  ต่อมา F30 ก็เน้นนุ่มขึ้น เกาะลดลงนิดนึง   การที่คุณเทียบซีรี่3 กับ CX5   มันคือเทียบรถ แต่มันไม่ได้เกี่ยวกับคำว่ารถยุโรปหรือรถญี่ปุ่นเลย  แล้วยิ่งเอา premium brand ไปเทียบกับค่ารถบ้าน  มันไม่ค่อยถูก

แต่เรื่องเทคโนโลยี  Mazda, Toyota หรือใครๆ  ก็ทำให้รถเกาะเป็นตุ๊กแกได้ครับ Supra, GTR, NSX  พวกนี้ เกาะถนนแน่ๆ   แบบนี้ไม่บอกว่า Toyota, Honda, Nissan เกาะกว่ารถยุโรปเลยหรือ (หากไปเทียบกับ X1, GLA)

ออฟไลน์ The_Wizard

  • Full Member
  • ***
  • กระทู้: 258
ประเด็นนี้น่าสนใจ อ่านความเห็นเพื่อนๆ ก็ได้มุมมองที่หลากหลายดี ผมขอแสดงความเห็นอย่างนี้แล้วกันครับว่า รถแต่ละคันมันมีบุคลิกเฉพาะตัวแตกต่างกันไป ถ้าบุคลิกนั้นถูกจริตและตรงกับวิถีชีวิตเรา เราก็จะมองว่ารถคันนั้นดีนะ มันเป็นเหตุผลของความรู้สึกล้วนๆ แต่หลักๆคือ คุณภาพมันก็ตามเงินที่จ่ายไปตอนซื้อรถใหม่นั่นแหละครับ เป็นธรรมดา

สมัยก่อนผมเคยใช้ BMW E36 และยังมี Nissan Presea รถนำเข้าทรงสปอร์ทซีดานเครื่อง SR20 จากโรงงานอีกคัน

E36 ขับดีกว่า Presea มากๆ ในทุกเรื่อง จน Presea กลายเป็นรถสำรองไปเวลา E36 ป่วย ก็อาจจะตอบคำถามของเจ้าของกระทู้ได้ว่า รถยุโรปในยุคก่อนดีกว่ารถญี่ปุ่นในเรื่อง Performance จริง และมั่นใจในความปลอดภัยมากกว่า เหล็กแข็งกว่า

อันที่จริงผมใช้แต่รถยุโรปมาตลอด แล้วก็เจ็บตัวกับมันมาตลอด ฮ่าๆ แต่ช่วงหลังผมได้ซื้อ Accord G8 ต่อจากเพื่อน ซึ่งเป็นรถญี่ปุ่นคันเดียวในบ้าน นอกนั้นเป็นยุโรป (Peugeot 406 และ 407) ผมว่า ยังไง 406 407 ก็ขับดีกว่า หนักแน่น นั่งสบายกว่า แม้ว่ารถจะเก่ากว่าและคันเล็กกว่า G8 นิดๆก็ตาม แต่ G8 มันก็เปลี่ยนภาพลักษณ์ของรถญี่ปุ่นในสายตาผมไปพอสมควร การขับขี่ performance มันดีขึ้นมากแล้ว ในขณะที่ reliability ก็ไม่มีอะไรน่าห่วง ส่วนตัวผมให้สอบผ่าน และเป็นตัวอย่างได้ดีว่า เดี๋ยวนี้รถญี่ปุ่นก็ไม่ได้ขี้เหร่แล้วนะ เผลอๆ อนาคตน่าจะทำมาสูสีกันด้วยซ้ำ

ป.ล. รถเกาหลีล่ะ ไม่เห็นมีใครพูดถึงเลย.......

ออฟไลน์ The Mechanics of Emotions

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 1,679
แค่ความนิ่งของช่วงล่างผมว่ารถญี่ปุ่นก็ไม่ได้แย่อะไรถ้าเทียบกับ BMW ปี 10 นะครับ

อ้างแบบนี้ก็ไม่ถูกนะครับ   คุณเรียกรถญี่ปุ่นทุกคันว่าช่วงล่างดีไม่ได้ เพราะ Toyota, Nissan, Honda ส่วนมากก็ไม่ได้ช่วงล่างดีแบบ Mazda CX5 ที่คุณใช้

กล่าวแบบนี้มันเหวี่ยงแหไปหน่อยครับ

ช่วงล่าง BMW ประมาณ E90 นั่นคือค่อนข้าง peak ของการเกาะถนนแล้วครับ  ต่อมา F30 ก็เน้นนุ่มขึ้น เกาะลดลงนิดนึง   การที่คุณเทียบซีรี่3 กับ CX5   มันคือเทียบรถ แต่มันไม่ได้เกี่ยวกับคำว่ารถยุโรปหรือรถญี่ปุ่นเลย  แล้วยิ่งเอา premium brand ไปเทียบกับค่ารถบ้าน  มันไม่ค่อยถูก

แต่เรื่องเทคโนโลยี  Mazda, Toyota หรือใครๆ  ก็ทำให้รถเกาะเป็นตุ๊กแกได้ครับ Supra, GTR, NSX  พวกนี้ เกาะถนนแน่ๆ   แบบนี้ไม่บอกว่า Toyota, Honda, Nissan เกาะกว่ารถยุโรปเลยหรือ (หากไปเทียบกับ X1, GLA)

ขออภัยครับท่าน ผมอาจพิมพ์สื่อความไม่ชัดเจน กลายเป็นเหมารวม ในที่นี้ผมเปรียบเทียบคันที่ผมได้สัมผัสมาน่ะครับ ผมเข้าใจที่คุณอธิบายมานะ และผมเปรียบเทียบได้ไม่ค่อยเหมาะสมเท่าไหร่ ไม่ได้อยู่ใน segment เดียวกัน และต่างปีกันเยอะครับ แค่จะสื่อว่าความนิ่งของช่วงล่าง CX-5 ที่เป็น suv ญี่ปุ่น ไม่ได้ต่างกันเยอะกับ e90 ครับผม แต่อย่างอื่นต่างกันพอสมควรครับ
2010 BMW 325i M Sport
2016 Mazda CX-5 2.0S

ออฟไลน์ The Mechanics of Emotions

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 1,679
ประเด็นนี้น่าสนใจ อ่านความเห็นเพื่อนๆ ก็ได้มุมมองที่หลากหลายดี ผมขอแสดงความเห็นอย่างนี้แล้วกันครับว่า รถแต่ละคันมันมีบุคลิกเฉพาะตัวแตกต่างกันไป ถ้าบุคลิกนั้นถูกจริตและตรงกับวิถีชีวิตเรา เราก็จะมองว่ารถคันนั้นดีนะ มันเป็นเหตุผลของความรู้สึกล้วนๆ แต่หลักๆคือ คุณภาพมันก็ตามเงินที่จ่ายไปตอนซื้อรถใหม่นั่นแหละครับ เป็นธรรมดา

สมัยก่อนผมเคยใช้ BMW E36 และยังมี Nissan Presea รถนำเข้าทรงสปอร์ทซีดานเครื่อง SR20 จากโรงงานอีกคัน

E36 ขับดีกว่า Presea มากๆ ในทุกเรื่อง จน Presea กลายเป็นรถสำรองไปเวลา E36 ป่วย ก็อาจจะตอบคำถามของเจ้าของกระทู้ได้ว่า รถยุโรปในยุคก่อนดีกว่ารถญี่ปุ่นในเรื่อง Performance จริง และมั่นใจในความปลอดภัยมากกว่า เหล็กแข็งกว่า

อันที่จริงผมใช้แต่รถยุโรปมาตลอด แล้วก็เจ็บตัวกับมันมาตลอด ฮ่าๆ แต่ช่วงหลังผมได้ซื้อ Accord G8 ต่อจากเพื่อน ซึ่งเป็นรถญี่ปุ่นคันเดียวในบ้าน นอกนั้นเป็นยุโรป (Peugeot 406 และ 407) ผมว่า ยังไง 406 407 ก็ขับดีกว่า หนักแน่น นั่งสบายกว่า แม้ว่ารถจะเก่ากว่าและคันเล็กกว่า G8 นิดๆก็ตาม แต่ G8 มันก็เปลี่ยนภาพลักษณ์ของรถญี่ปุ่นในสายตาผมไปพอสมควร การขับขี่ performance มันดีขึ้นมากแล้ว ในขณะที่ reliability ก็ไม่มีอะไรน่าห่วง ส่วนตัวผมให้สอบผ่าน และเป็นตัวอย่างได้ดีว่า เดี๋ยวนี้รถญี่ปุ่นก็ไม่ได้ขี้เหร่แล้วนะ เผลอๆ อนาคตน่าจะทำมาสูสีกันด้วยซ้ำ

ป.ล. รถเกาหลีล่ะ ไม่เห็นมีใครพูดถึงเลย.......

ถูกต้องเลยครับ สำหรับผมพึ่งจะมีโอกาสได้สัมผัสรถยุโรปเป็นคันแรก บอกได้เลยว่า e90 ขับดีกว่า CX-5 แต่ไม่ได้ถึงขนาดว่าหน้ามือเป็นหลังมือขนาดนั้น ในชีวิตประจำวันถ้าให้เลือกขับ 2 คันนี้ ผมขับ CX-5 แน่นอน ไม่ใช่ว่า e90 ขับไม่ดี แต่เพราะมันแข็งมากและกินน้ำมันมาก พวงมาลัยมันหนัก ไม่คล่องตัวเวลาขับในเมือง เจอถนนกทมแล้วจุก และรถมันเตี้ยครับ แต่ถ้าขับเล่นๆ ไป BMW แน่นอนครับ ขับมันส์กว่า เครื่องแรงกว่ากันเยอะ โคลงตัวน้อยกว่า เหมาะกับออกต่างจังหวัดยิงยาวๆ แบบนี้เหมาะมากครับ

รถแต่ละคันมันก็มีบุคลิกต่างกันอยู่แล้ว ผมเข้าใจตรงนี้ครับ แค่นำมาเล่าให้ฟังเล่นๆ ว่ามันเป็นยังไงครับผม
2010 BMW 325i M Sport
2016 Mazda CX-5 2.0S

Nonlamer

  • บุคคลทั่วไป
ไม่จริงล้านเปอร์ ข้อดีคนละด้านแบบเห็นชัดๆ ก็แล้วแต่คนจะเลือก

คิดง่ายๆ ถ้าคนมีทางเลือก เค้าจะมาปิดกั้นตัวเองเพียงแค่สัญชาติรถทำไม คือแค่คิดสักนิดก็ไม่น่าเชื่อตั้งแต่แรกแล้วไอ้คำที่ว่า หลายๆบ้านมีรถพรีเมี่ยมยุโรปเต็มบ้าน ก็ยังมีอัลพาร์ดจอดอยู่ด้วย :-\

ส่วนเรื่องสมรรถนะก็แล้วแต่ความพอใจ หลายๆคน(อาจเป็นส่วนใหญ่ซะด้วย)ที่ใช้รถยุโรปไม่ได้มองเรื่องสมรรถนะเป็นหลักด้วยซ้ำ

ออฟไลน์ tvm

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 1,479
เห็นด้วยอย่างยิ่งครับ
ไม่ต้องพิมพ์เอง ขอบคุณครับ
ส่วนตัวผ่านรถญี่ปุ่น B C D และยุโรปคอมแพ็ก (ทั้งยุคเก่าและใหม่) มาแล้วครับ

ก็ไม่ขนาดนั้น ถ้าไม่นับ lexus

โดยรวมอาจจะหมายถึง ไปใช้รถ premium แล้วไม่กลับไปใช้รถตลาดมากกว่า

ผมมองว่าการเงินของเราพอจับยุโรปได้แล้ว ก็มันไม่ค่อยจะลดลง นอกจากชอตจิงๆ เลยไม่มีเหตุผลอะไรที่จะกลับไปใช้รถ eco อะครับ

ผมจับยุโรปมาก่อน หลังๆมาจบที่ lexus แต่จริงๆแล้ว camry/accord ผมก็ว่าได้อยู่นะ แค่ไม่ชอบที่มันโหลๆหน่อย

แต่เทียบแบบข้าม 10ปีไม่ได้ครับ เอาเป็นว่ารถตลาดมันก็ต้องเพิ่มออปชั่น เพิ่มความสะดวกสบายตามยุคสมัย บอกจับยุโรปเมื่อ 20ปีก่อนแล้วมาจับรถ compact บ้านๆ ปัจจุบันมันก็อาจจะใกล้เคียงอะคับ เทคโนโลยีคนละยุคสมัยเลย

ถ้าจะเทียบ เทียบรถยุคเดียวกัน ส่วนใหญ่ด้วยค่าตัวมันจะใส่ของเล่นกับความสะดวกสบายมาให้เยอะกว่า มันก็ย่อมดีกว่าอยู่แล้ว

ถ้าใช้ยุโรปจะกลับไปใช้ญีปุ่่นมันเป็นวลีปลอบใจเหมือนขึ้นหลังเสือแล้วลงยาก อะไรเทือกนั้น

จะเทียบ cx5 ต้องไปหารถที่มีคาแรคเตอร์คล้ายๆกันแบบ xc60 inscription 'ตัวปัจจุบัน' มาเทียบมากกว่าครับ เอารถคนละประเภท แบบเก่าเป็น 10ปีมาบอกว่ามันไม่ได้ดีกว่าผมว่าไม่ใช่

ดีแต่ละคนไม่เหมือนกัน ผมชอบนุ่มเงียบกว้างสบาย ผมก็บอกสิว่า lexus es ดีกว่า แต่คนชอบแบบสปอร์ตเทโค้ง ก็อาจจะบอก z4 สิดีกว่า

แต่ส่วนตัวผมชอบการขับขี่แบบรถญี่ปุ่นมากกว่านะ แต่ไม่ชอบ interface กับความสะดวกสบายเท่าไหร่ แบบ g20 เดินไปใกล้ๆก็ปลดล็อคแล้วไรงี้ ดีเทลหยุมหยิมอะคับมันทำให้ประทับใจว่าเออคิดมาดีนะ

ออฟไลน์ AlPha

  • Jr. Member
  • **
  • กระทู้: 66
ลองเทียบที่ segmentเดียวกัน ปีใกล้ๆกันจะเห็นภาพชัดกว่าครับ

ออฟไลน์ urangutang

  • Sr. Member
  • ****
  • กระทู้: 398
ผมว่าขึ้นกับกำลังเงินในกระเป๋าเป็นหลักครับ

คนส่วนใหญ่ก็จะปรับตัวเข้ากับฐานะได้เองครับ

ออฟไลน์ LoveYouToo

  • Full Member
  • ***
  • กระทู้: 166
ในความเห็นของผม ขึ้นกับคนขับแต่ละคนเลยว่า มีความคิดกับการใช้รถอย่างไร บางคนคิดแค่ว่ารถคือสิ่งที่นำเราจากจุดหนึ่งไปยังจุดหนึ่งเท่านั้น คนกลุ่มนี้มีแนวโน้มที่จะเลือกใช้รถตลาด ที่ไม่จุกจิก ราคาไม่แพงมาก เพื่อลดความเสี่ยงด้านต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นด้านคุณภาพและความเชื่อถือได้ของตัวรถ คุณภาพศูนย์บริการ ค่าบำรุงรักษา ราคาขายต่อ เน้นแค่ว่าการใช้รถอย่ามาทำให้เขาปวดหัวก็แล้วกัน ผมเชื่อว่าคนกลุ่มนี้สามารถกลับไปใช้รถตลาดได้อย่างไม่มีปัญหา

ในทางกลับกัน คนขับที่มองว่ารถเป็นยิ่งกว่ายานพาหนะ คนกลุ่มนี้มักคิดว่าการขับรถคือความสุข ความสนุก fun to drive หรือคิดว่ารถคือบ้านบนถนน แค่ขับชิลๆฟังเพลงเพราะๆก็มีความสุขคลายเครียดสมองปลอดโปร่ง คนกลุ่มนี้มีแนวโน้มที่จะไม่กลับไปใช้รถตลาด ไม่สนใจอะไรทั้งนั้นถ้าได้ใช้รถที่ตัวเองชอบ ขับแล้วฟินทุกครั้ง ซึ่งแน่นอนต้องแลกกับราคาค่าตัวค่าบำรุงรักษาที่สูงกว่า คนกลุ่มนี้จะมีความไวหรือ sensitive ต่อทุกๆอาการหรือการตอบสนองของรถ แค่สิ่งที่แตกต่างกัน ถึงอาจจะไม่มากสำหรับคนกลุ่มด้านบน แต่คนกลุ่มหลังถึงกลับหมดความฟินในการขับรถทีเดียว อารมณ์เทียบได้ประมาณการขับรถไปทำงานเครียดๆรถติดๆใน กทม กับการขับรถเที่ยวทะเลภูเขาชิลๆ บอกเป็นนัยๆสำหรับคนกลุ่มนี้คือ คุณภาพรอบด้านของ D-seg ตัว Top ยังไม่ตอบโจทย์การใช้งานของเขาครับ

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มกราคม 15, 2020, 20:31:02 โดย LoveYouToo »

ออฟไลน์ IS2000

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 2,183
    • อีเมล์
ถ้าพูดถึงยุค E9x ผมว่าช่วงล่าง BMW ซีรี่ย์ 3 ตอนนั้นเรียกว่าแทบจะไม่มีคู่แข่งเทียบได้ครับ ฟีลลิ่งอาจจะไม่ถึงกับหนักแน่นมากแต่ถ้าได้ลองความเร็วสูงๆหรือโค้งเยอะๆจะรู้เลยว่ารถเซ็ทมาเยี่ยมเลยทุกอย่างทำงานสมานกันหมด E90 ถ้าช่วงล่างสมบูรณ์ขับทางตรงไกลๆอาจจะไม่แตกต่างจากรถใหม่ๆแต่ถ้าลองไปขับต่างจังหวัดเล่นโค้งเยอะๆจะรู้เลยครับว่ารถเซ็ทมาดีขนาดไหน ผมเคยมีคันนึงยังประทับใจอยู่เลยและชอบมากกว่า F30 328i ที่เคยมีหลังจากนั้น
1 3 5
├┼┼╕
2 4 6 R

ออฟไลน์ paulmoderndog

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 1,783
    • อีเมล์
ผมก็หนี Benz Volvo Bmw ไปหาLexus

ออฟไลน์ Symphonic

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 2,698
ผมได้ยินหลายๆ คนบอกว่าถ้าได้ใช้รถยุโรปแล้วจะไม่ยอมไปขับรถญี่ปุ่นอีกเลยนี่มันจริงไหมครับ หลายๆ ท่านในนี้น่าจะได้สัมผัสทั้งรถญี่ปุ่นและรถยุโรปมากกว่าผมเยอะ มันต่างกันขนาดนั้นเลยเหรอครับ ผมเองใช้ CX-5 2.0 ตัวเก่าอยู่ และพึ่งซื้อ BMW E90 325i M Sport ปี 10 เข้ามาเพิ่ม ส่วนตัวผมว่ามันก็ไม่ได้ต่างอะไรกันขนาดนั้นนะ ที่ต่างกันก็พวก option ที่ BMW มีมาให้มากกว่า แต่บางอย่าง BMW ก็ไม่มีเหมือน Mazda โดยการขับขี่ผมว่าความมั่นคงแทบไม่ต่างกัน ที่ต่างกันคือความแข็งของช่วงล่าง จากที่เคยคิด CX-5 ก็ช่วงล่างแข็งพอประมาณแล้ว พอไปขับ BMW นี่คนละเรื่องเลย เจอรอยต่อถนน หรือถนนเป็นคลื่นพ่อแม่นั่งทีบ่นอุบเลยครับ มันสะเทือนมาก (ช่วงล่าง M Sport) กลายเป็นว่า CX-5 นั่งนุ่มซับแรงได้ดีกว่าเยอะ น้ำหนักพวงมาลัยกลายเป็นว่า CX-5 เบามาก คล่องตัวมากในเมือง แต่ E90 พวงมาลัยมันหนักเลยทำให้ไม่รู้สึกคล่องตัวเท่าไหร่ เรื่องเครื่องยนต์ 325i เดินเบานิ่งกว่า CX-5 แต่ตอนออกตัว BMW กลับวิ่งไม่ค่อยออกในเกียร์ 1 จะไปมีกำลังหลังเกียร์ 2 เป็นต้นไป และการเซ็ตคันเร่งไม่ฉับไวเหมือน CX-5 สามารถใช้เท้าคุมให้ลด 1 เกียร์ 2 เกียร์ได้ง่ายกว่า แต่ BMW กดไปนิดนึงยังไม่ค่อยตอบสนอง ถ้ากดลึกไปหน่อยก็รอบก็จะโดดขึ้นเยอะไป ทำให้มันแรงเกินไปหน่อย แต่อัตราเร่งต่างกันเยอะครับ BMW นี่เข็มความเร็วกวาดขึ้นง่ายๆ เลย อีกอย่างนึงที่ต่างกันชัดคือการเก็บเสียง BMW เงียบกว่าเยอะ เสียงลมวิ่ง 140 ถึงจะมีเข้ามาเบาๆ แต่ CX-5 วิ่ง 110 นี่ก็มีฟิ้วๆ ละครับ 140 นี่หูตึงเลยทีเดียว

สำหรับผมมันก็ดีกันคนละด้านนะ แต่เอาตรงๆ ความนิ่งของช่วงล่างไม่ค่อยต่างกันมาก แต่ถ้าตอนผมใช้ altis หน้าหมูแล้วเปลี่ยนมา CX-5 มันต่างกันคนละโลกเลย แต่พอ CX-5 ไป BMW ไม่ค่อยต่างกันเท่าไหร่ สำหรับผมนะ ท่านสมาชิกน่าจะเคยผ่านรถมามากกว่าผมคิดว่ายังไงกันบ้างครับ

แล้วถ้าผมบอกว่า ลองถ้าพี่ได้ขับมาสด้าแล้ว จะไม่กลับไปขับโตโยต้าอีก พี่คิดว่ายังไงอ่ะครับ

คืออารมณ์มันประมาณพี่เปลี่ยนจากอัลติสหน้าหมูมาเป็น CX-5 แล้วพี่แบบโห.. มันคนละโลกกันเลย
เพราะโตโยต้าในภาพจำของพี่มันคือแบบหน้าหมู

แต่ถ้าพี่ไปพูดกับคนอื่น เขาก็อาจจะบอกว่า เออ C-HR กับ CX-3 มันก็ไม่ถึงกับต่างกันคนละโลกนะ
อะไรแบบนี้อ่ะครับ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มกราคม 15, 2020, 21:24:28 โดย Symphonic »

ออฟไลน์ Odd_yim

  • Sr. Member
  • ****
  • กระทู้: 439
    • อีเมล์
เห็นด้วยเลยครับ เคยดูคลิปรีวิวนึง ผญ ขับ Fortuner โดนถามว่าทำไมถึงเลือก คำตอบคือ เพราะชอบ คันเก่าก็ใช้ Fortuner ขับเยอะด้วยนะครับ 2 ปี แสนโลกว่า ๆ

ส่วนความเห็นผมง่าย ๆ ครับ ผมจะเลือกรถที่ขับทน (ใช้ได้นาน ๆ) มากกว่ารถที่ต้องทนขับ


ในความเห็นของผม ขึ้นกับคนขับแต่ละคนเลยว่า มีความคิดกับการใช้รถอย่างไร บางคนคิดแค่ว่ารถคือสิ่งที่นำเราจากจุดหนึ่งไปยังจุดหนึ่งเท่านั้น คนกลุ่มนี้มีแนวโน้มที่จะเลือกใช้รถตลาด ที่ไม่จุกจิก ราคาไม่แพงมาก เพื่อลดความเสี่ยงด้านต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นด้านคุณภาพและความเชื่อถือได้ของตัวรถ คุณภาพศูนย์บริการ ค่าบำรุงรักษา ราคาขายต่อ เน้นแค่ว่าการใช้รถอย่ามาทำให้เขาปวดหัวก็แล้วกัน ผมเชื่อว่าคนกลุ่มนี้สามารถกลับไปใช้รถตลาดได้อย่างไม่มีปัญหา

ในทางกลับกัน คนขับที่มองว่ารถเป็นยิ่งกว่ายานพาหนะ คนกลุ่มนี้มักคิดว่าการขับรถคือความสุข ความสนุก fun to drive หรือคิดว่ารถคือบ้านบนถนน แค่ขับชิลๆฟังเพลงเพราะๆก็มีความสุขคลายเครียดสมองปลอดโปร่ง คนกลุ่มนี้มีแนวโน้มที่จะไม่กลับไปใช้รถตลาด ไม่สนใจอะไรทั้งนั้นถ้าได้ใช้รถที่ตัวเองชอบ ขับแล้วฟินทุกครั้ง ซึ่งแน่นอนต้องแลกกับราคาค่าตัวค่าบำรุงรักษาที่สูงกว่า คนกลุ่มนี้จะมีความไวหรือ sensitive ต่อทุกๆอาการหรือการตอบสนองของรถ แค่สิ่งที่แตกต่างกัน ถึงอาจจะไม่มากสำหรับคนกลุ่มด้านบน แต่คนกลุ่มหลังถึงกลับหมดความฟินในการขับรถทีเดียว อารมณ์เทียบได้ประมาณการขับรถไปทำงานเครียดๆรถติดๆใน กทม กับการขับรถเที่ยวทะเลภูเขาชิลๆ บอกเป็นนัยๆสำหรับคนกลุ่มนี้คือ คุณภาพรอบด้านของ D-seg ตัว Top ยังไม่ตอบโจทย์การใช้งานของเขาครับ