ผู้เขียน หัวข้อ: เพราะเหตุใดรถยนต์เกียร์ at ถึงประหยัดน้ำมันได้เทียบเท่าเกียร์ mt แต่มอไซค์ไม่เป็นอย่างนั้นครับ  (อ่าน 6011 ครั้ง)

ออฟไลน์ final

  • Sr. Member
  • ****
  • กระทู้: 582
    • อีเมล์
ถ้าสมัยก่อนจะต่างกันเยอะ แต่ดูในสเปครถสมัยนี้หลายๆรุ่น เกียร์ at กับ mt จะประหยัดพอๆกัน ขณะที่ wave กับ click เอาขนาดเครื่องเท่ากันก็ต่างกันเกือบ 10 กม.ต่อลิตร

มันเป็นเพราะเทคโนโลยีหรืออะไรครับ

ออฟไลน์ tnp_super

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 2,927
    • อีเมล์
เหมือนกับว่าชุดขับเคลื่อนของมอไซค์ออโต้จะหมุนตลอดเวลาที่สตาร์ทเครื่องหรือเปล่าครับเพราะมีเกียร์เดียว พอเราบิดคันเร่งสายพานก็จะหมุนเร็วขึ้นมันก็เลยทำให้สิ้นเปลืองน้ำมันมากกว่าเกียร์ธรรมดา ไม่เหมือนรถยนต์ที่จะมีเกียร์ว่างด้วย ถ้าเราไม่เข้าเกียร์ระบบขับเคลื่อนก็ยังไม่ทำงาน อันนี้ความเข้าใจส่วนตัวนะครับ

ออฟไลน์ Weetting

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 3,961
  • ช่วงล่าง+เครื่องยนต์
รอบเครื่องครับ​

อัตราทดเกียร์ออโต้​ กับเกียร์ธรรมดานี่ต่างกันมาก

ทั้งเฟืองท้าย​ที่หลายรุ่นธรรมดาจะทดสูงกว่า
และอัตราทดเกียร์สุดท้าย​ ออโต้จะต่ำกว่าเกียร์ธรรมดา

THE Manual Gearbox Preservation Society
Drive diesel until last day

ออนไลน์ เนื้อน่องไม่หนัง

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 1,692
ในรถยนต์ รุ่นหลังๆ เกียร์mt กับ CVT ประหยัดน้ำมันใกล้เคียงกันนะครับ
MT ทำได้ดี เพราะศูนย์เสียกำลังในระบบ น้อยกว่า AT
CVT ก็ทำได้ดี เพราะคารอบเครื่องในช่วงที่ให้กำลังสูงสุด หรือ ประหยัดสุดได้

อัตราเร่ง เหมือนว่า CVT อาจทำได้ดีที่สุด แต่ฟิลลิ่งจะไปแบบ เนิบๆ ไม่ได้กระชากเท่าไร่
AT เองหลังๆนี้ ก็ฉลาดและไว จนบางตัวไวกว่าสับ MT เองอีก

คิดว่าเทคโนโลยีที่ใส่ใน มอเตอร์ไซ น่าจะไม่เหมือนของรถยนต์
ถ้าเข้าใจไม่ผิด CVT ในมอเตอร์ไซ ใช้แรงเหวียงในการ ปรับอัตราทดเกียร์
แต่ของรถยนต์ มี ECU คุม น่าจะทำให้ปรับอัตราทดละเอียดกว่า ตัวเลขเลยดีกว่าของ มอเตอร์ไซ


ออฟไลน์ bodin

  • Sr. Member
  • ****
  • กระทู้: 997
รถยนต์นี่ไม่รวมรถกระบะหรือครับ กระบะเกียร์ATกระบะกินกว่าMTชัดเจน ยิ่งบรรทุกหนักๆยิ่งแตกต่าง

ออฟไลน์ Peet Sayumpoo

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 1,002
ถ้าอัตราทดเท่ากัน ผมยังไม่เคยเจอเกียร์ AT ประหยัดเท่า MT เลยครับ

แต่ที่เห็นรถ AT ทำได้ใกล้เคียง MT นะ มี 2 ตัวแปรหลักครับคือ (เปรียบเทียบจากรถรุ่นเดียวกันน่ะครับ แต่ต่างแค่เกียร์)

1. ตำแหน่งเกียร์สูง รุ่นเกียร์ AT มักทดต่ำว่าเสมอ เช่นรุ่นเกียร์ AT ความเร็ว 100km/h จะใช้รอบ 1,800 rpm
ส่วนรุ่นเกียร์ MT จะต้องใช้รอบ 2,000 rpm ประมาณนี้ครับ ทำให้เกียร์ทั้ง 2 แบบวิ่งยาวๆกินน้ำมันไมต่างกันมาก

2. รถสมัยใหม่ รุ่นเกียร์ AT มักมีจำนวนเกียร์มากกว่า MT เสมอ (เช่น AT จะมี 8 หรือ 9 หรือ 10 Speed ส่วนรุ่น MT จะมีแค่ 5 หรือ 6 Speed)
หรืออย่างแย่สุดก็คือมีจำนวนเกียร์เท่ากัน....อัตราทดที่มีจำนวนมากกว่า ทำให้เร่งได้ง่ายและต่อเนื่องกว่าในช่วงต้นและกลาง มาชดเชยกัน
ทำให้รุ่นเกียร์ AT วิ่งในเมืองก็อาจกินน้ำมันไม่ต่างจากรุ่น MT (หากรุ่น AT มีจำนวนเกียร์มากกว่า)

ถ้าเอากันแฟร์ๆ ทดให้เหมือนกันทุกอย่าง เช่นเป็น 6 speed ทั้งคู่ แล้วทดอัตราทดเท่ากันเป๊ะทุกเกียร์และเฟืองท้าย (หรืออย่างน้อยใกล้เคียง)
AT จะด้อยกว่า MT แบบเห็นได้ชัด ทุกมิติ ทั้ง ต้น กลาง ปลาย และอัตราบริโภคน้ำมันครับ 

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: พฤษภาคม 10, 2020, 17:20:28 โดย Peet Sayumpoo »

ออฟไลน์ Gordon Freeman

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 1,206
ผมว่าขึ้นอยู่กับลักษณะของเกียร์ด้วยอีกทีนะครับ ในรถยนต์

ถ้าอัตราทดเท่ากันหมดทุกประการ เกียร์ AT แบบ Torque Converter หรือ CVT จะกินกว่า แต่ถ้าเป็นเกียร์พวก DCT หรือ AMT มันไม่ได้กินกว่า MT เท่าไหร่เลย ถ้าอัตราทดเท่ากัน

ส่วนของมอเตอร์ไซต์ เอารถรุ่นเดียวกันที่มีเกียร์หลายแบบมาเทียบ

Wave ธรรมดา จะประหยัดกว่า Wave AT (CVT)

แต่ถ้าเป็นพวก NC750X MT/DCT, Africa Twin MT/DCT หรือ Goldwing 1800 MT/DCT เผลอๆ DCT จะประหยัดกว่าไปแล้ว
2011 Kawasaki Ninja 650 (Sold)
2012 Ford Fiesta 1.6 Sport Ultimate (Sold)
2013 Suzuki Swift Eco GLX 1.25 (Sold)
2015 Honda Civic 1.8 (Sold)
2017 Toyota Fortuner 2.4 (Sold)
2019 Honda Jazz S MT (Sold)
2020 Nissan Almera VL 1.0T
2022 Isuzu D-Max Cab 4 1.9 AT
2023 Neta V

ออฟไลน์ final

  • Sr. Member
  • ****
  • กระทู้: 582
    • อีเมล์
ถ้าอัตราทดเท่ากัน ผมยังไม่เคยเจอเกียร์ AT ประหยัดเท่า MT เลยครับ

แต่ที่เห็นรถ AT ทำได้ใกล้เคียง MT นะ มี 2 ตัวแปรหลักครับคือ (เปรียบเทียบจากรถรุ่นเดียวกันน่ะครับ แต่ต่างแค่เกียร์)

1. ตำแหน่งเกียร์สูง รุ่นเกียร์ AT มักทดต่ำว่าเสมอ เช่นรุ่นเกียร์ AT ความเร็ว 100km/h จะใช้รอบ 1,800 rpm
ส่วนรุ่นเกียร์ MT จะต้องใช้รอบ 2,000 rpm ประมาณนี้ครับ ทำให้เกียร์ทั้ง 2 แบบวิ่งยาวๆกินน้ำมันไมต่างกันมาก

2. รถสมัยใหม่ รุ่นเกียร์ AT มักมีจำนวนเกียร์มากกว่า MT เสมอ (เช่น AT จะมี 8 หรือ 9 หรือ 10 Speed ส่วนรุ่น MT จะมีแค่ 5 หรือ 6 Speed)
หรืออย่างแย่สุดก็คือมีจำนวนเกียร์เท่ากัน....อัตราทดที่มีจำนวนมากกว่า ทำให้เร่งได้ง่ายและต่อเนื่องกว่าในช่วงต้นและกลาง มาชดเชยกัน
ทำให้รุ่นเกียร์ AT วิ่งในเมืองก็อาจกินน้ำมันไม่ต่างจากรุ่น MT (หากรุ่น AT มีจำนวนเกียร์มากกว่า)

ถ้าเอากันแฟร์ๆ ทดให้เหมือนกันทุกอย่าง เช่นเป็น 6 speed ทั้งคู่ แล้วทดอัตราทดเท่ากันเป๊ะทุกเกียร์และเฟืองท้าย (หรืออย่างน้อยใกล้เคียง)
AT จะด้อยกว่า MT แบบเห็นได้ชัด ทุกมิติ ทั้ง ต้น กลาง ปลาย และอัตราบริโภคน้ำมันครับ

ถ้าแบบนั้นก็คงไม่แฟร์กับเกียร์ at เหมือนกันน่ะสิครับ เพราะจุดเด่นคือการมี speed เยอะเท่าไหร่ก็ได้ (เกียร์มันเปลี่ยนให้เองอยู่แล้ว)

ออฟไลน์ locomotive

  • Sr. Member
  • ****
  • กระทู้: 791
มอไซค์ AT มันใช้ระบบก้อนครัชแรงเหวี่ยง มาดันกระโหลกครัชขับกำลังขับเคลื่อนจากชุดชามหน้าไปยังเฟืองท้ายไปหมุนแกนล้อหลัง หลักการคลั้ายชุดดรัมเบรคนะละ จุดสำคัญที่มอไซค์ AT เสียกำลังก้อยุ่ตรงชุดครัชกับกะโหลกครัชนี้ละ ชุดหน้าสัมผัสก้อนครัช กับในกะโหลกใช้ไปนานๆจะลื่น เสียกำลังขับเคลื่อน ต้องแก้ดวยชุดครัชที่เหนี่ยวขึ้นด้วย คาร์บอนหรือทองแดง กับการกัดลายในกะโหลกครัช ให้การจับตัวดีขึ้นถ่ายทอดกำลังได้มากขึ้น จากการบีบตัวของสายพาน จากชุดชาม หน้าหลัง เมื่อออกตัว ชุดชามหน้าจะบีบดันให้สายพานขยายตัว รอบใหญ่ขึ้น ยิ่งสายพานขยับตัวพองมากเท่าไหร ยิ่งทำให้รอบส่งกำลังสุงขึ้น รถยิ่งแรงขึ้น ด้วยการมีเม็ดตุ้มน้ำหนักอยู่หลังชาม 6 ร่อง เพื่อรักษารอบ และชุดขับชามหน้าจะเป้นแกนจากข้อเหวียงจากเครื่องโดยตรง ส่วนชุดชามหลังจะถ่างตัวให้สายพานหดตัวลดขนาดรอบเล็กลง  บ้านผมมีมอไซค์ทั้งแบบ เกียร์ กับ Auto เอาตรงนะครับ สาเหตุมันมาจากพฤติกรรมการขี่รถล้วนๆ รถ AT ยิ่งบิดมันยิ่งติดมือไง มันไม่มีรอบทด คนขี่ถ้าใช้แต่รถ  AT นิสัยที่ตามมาคือ มือจะติดเร่ง ยิ่งบิดยิ่งมัน เมื่อใส่คันเร่งเยอะๆ รอบยิ่งจัด มันก้ ชดดิ คือถ้าบิดไปเรื่อยๆ ผ่อนๆ บิดเติมเรื่อยๆ มันก้กินพอๆกับพวกรถเกียร์นะละ ผมใช้ PCX 150 ขี่ไปทำงาน นครชัยศรี พระราม 5 ไปกลับ 150 กิโลกทุกวัน ผมยังได้ 40 กม/ล. ผมเรื่อง 90-100 สบายๆ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: พฤษภาคม 11, 2020, 10:41:52 โดย locomotive »

ออฟไลน์ Peet Sayumpoo

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 1,002
ถ้าอัตราทดเท่ากัน ผมยังไม่เคยเจอเกียร์ AT ประหยัดเท่า MT เลยครับ

แต่ที่เห็นรถ AT ทำได้ใกล้เคียง MT นะ มี 2 ตัวแปรหลักครับคือ (เปรียบเทียบจากรถรุ่นเดียวกันน่ะครับ แต่ต่างแค่เกียร์)

1. ตำแหน่งเกียร์สูง รุ่นเกียร์ AT มักทดต่ำว่าเสมอ เช่นรุ่นเกียร์ AT ความเร็ว 100km/h จะใช้รอบ 1,800 rpm
ส่วนรุ่นเกียร์ MT จะต้องใช้รอบ 2,000 rpm ประมาณนี้ครับ ทำให้เกียร์ทั้ง 2 แบบวิ่งยาวๆกินน้ำมันไมต่างกันมาก

2. รถสมัยใหม่ รุ่นเกียร์ AT มักมีจำนวนเกียร์มากกว่า MT เสมอ (เช่น AT จะมี 8 หรือ 9 หรือ 10 Speed ส่วนรุ่น MT จะมีแค่ 5 หรือ 6 Speed)
หรืออย่างแย่สุดก็คือมีจำนวนเกียร์เท่ากัน....อัตราทดที่มีจำนวนมากกว่า ทำให้เร่งได้ง่ายและต่อเนื่องกว่าในช่วงต้นและกลาง มาชดเชยกัน
ทำให้รุ่นเกียร์ AT วิ่งในเมืองก็อาจกินน้ำมันไม่ต่างจากรุ่น MT (หากรุ่น AT มีจำนวนเกียร์มากกว่า)

ถ้าเอากันแฟร์ๆ ทดให้เหมือนกันทุกอย่าง เช่นเป็น 6 speed ทั้งคู่ แล้วทดอัตราทดเท่ากันเป๊ะทุกเกียร์และเฟืองท้าย (หรืออย่างน้อยใกล้เคียง)
AT จะด้อยกว่า MT แบบเห็นได้ชัด ทุกมิติ ทั้ง ต้น กลาง ปลาย และอัตราบริโภคน้ำมันครับ

ถ้าแบบนั้นก็คงไม่แฟร์กับเกียร์ at เหมือนกันน่ะสิครับ เพราะจุดเด่นคือการมี speed เยอะเท่าไหร่ก็ได้ (เกียร์มันเปลี่ยนให้เองอยู่แล้ว)

ตรงนี้งงนิดนึงครับว่าทำไมถึงไม่แฟร์ ก็ในเมื่อเกียร์ MT มันก็สามารถจะทำกี่สปีดก็ได้เหมือนกัน ถ้าจะทำนะครับ
ถ้าท่านเข้าใจว่าจุดเด่นของ AT คือทำกี่สปีดก็ได้ แต่ MT ทำไม่ได้ MT ได้จำกัดที่ 6 สปีด อันนี้เข้าใจผิดแล้วครับ
(ผมขอพูดถึงเกียร์ AT แท้ๆแบบปกติน่ะครับ ไม่นับพวกแปรผันอัตราทดอย่าง CVT)
ลองไปดูเกียร์รถบรรทุกก็ได้ครับ 8 10 12 สปีด โยกกันมันส์เลย

คือทำได้ครับ อยู่ที่ว่าเค้าจะทำรึเปล่า แต่ผมว่าจริงๆรถยนต์ใช้งานปกติ ถ้าเครื่องมีกำลังสูงหน่อย ทำสัก 7 สปีดก็โอเคแล้ว
เหมือนที่ของ Porsche เคยทำ บางที 6 มันก็น้อยไป
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: พฤษภาคม 10, 2020, 21:43:09 โดย Peet Sayumpoo »

ออฟไลน์ toonze

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 1,967
    • อีเมล์
คลิก 150 ผมขับได้ประมาณ 50 กิโลลิตรอยู่นะ

ออฟไลน์ CNX

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 2,303
    • อีเมล์
ใช้Honda Scoopy I Auto100cc วิ่งส่งอาหารเชียงใหม่ วันละ50-200กม. เติมE20 E10-95 ได้อัตราสิ้นเปลือง40-60กม./ลิตรครับ
บางทีถ้าบิดมิดแช่ยาว100km./ชม.(สุดแล้ว100cc)ไปอำเภอนอกเมืองได้ไม่เกิน40กม./ลิตร

คันต่อไปอยากได้ Auto300cc ไว้แว้นส่งอาหาร ;)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: พฤษภาคม 11, 2020, 00:49:19 โดย CNX »
วิถีพอเพียง วิถียั่งยืน

ออฟไลน์ Devil13

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 4,985
น้ำหนัก ขนาดของบอดี้ เทคโลโลยีมั้งครับ
เคยขี่ CBR150i วิ่ง 110-120 ได้ ประมาน 45 กิโล/ลิตร
ฟีโน่ขี่110 คลานๆในเมืองแบบรถไม่ติดก็ได้ประมานเท่าๆกัน (2คันเติมน้ำมันตัวเดียวกัน คนขี่คนเดียวกัน แต่คนละเส้นทาง)
ดรีม110ที่บ้านเก่าแล้วน่าจะได้ 50กิโล/ลิตรมั้ง ไม่เคยจับจริงจังสักที

ออฟไลน์ KATANA

  • Full Member
  • ***
  • กระทู้: 258
ของมอเตอร์ไซค์ ระบบจ่ายเชื้อเพลิงสำคัญครับ ส่วนระบบส่งกำลังมันกลไกล้วนๆ และไม่มีทอร์คคอนเวอร์เตอร์ด้วย

ในสมัยมอเตอร์ไซค์ออโต้ยุคแรกๆ ใช้คาร์บูเรเตอร์อย่างพวกฟีโน่ มีโอ นูโว รุ่นแรกๆ นี่รับประทานดุดันครับ

แต่พอมายุคตัวฉีดก็พัฒนาไปเยอะจนประหยัดน้ำมันได้มากใกล้เคียงรถเกียร์ธรรมดาไปแล้ว แต่ขี่สบาย ตีนต้นจี๊ดจ๊าดอีกต่างหาก

แต่ข้อเสียของมอเตอร์ไซค์ออโตเมติคที่พ่วงมาด้วยดันเป็นเรื่องกันสะเทือนหลังที่แย่ เพราะ (ส่วนใหญ่) จะพ่วงเอาเครื่องยนต์ทั้งยวงไปกับแขนสวิงอาร์มหลัง ทำให้เกิด "น้ำหนักใต้สปริง" มากมายจนหลายคนบอกรถออโต "โช้คแข็ง" ทั้งๆ ที่ลองก้มไปดูโช้คเดิมๆ มันซิครับ ตัวนิดเดียวเอง

ออฟไลน์ final

  • Sr. Member
  • ****
  • กระทู้: 582
    • อีเมล์
มอไซค์ AT มันใช้ระบบก้อนครัชแรงเหวี่ยง มาดันกระโหลกครัชขับกำลังขับเคลื่อนจากชุดชามหน้าไปยังเฟืองท้ายไปหมุนแกนล้อหลัง หลักการคลั้ายชุดดรัมเบรคนะละ จุดสำคัญที่มอไซค์ AT เสียกำลังก้อยุ่ตรงชุดครัชกับกะโหลกครัชนี้ละ ชุดหน้าสัมผัสก้อนครัช กับในกะโหลกใช้ไปนานๆจะลื่น เสียกำลังขับเคลื่อน ต้องแก้ดวยชุดครัชที่เหนี่ยวขึ้นด้วย คาร์บอนหรือทองแดง กับการกัดลายในกะโหลกครัช ให้การจับตัวดีขึ้นถ่ายทอดกำลังได้มากขึ้น จากการบีบตัวของสายพาน จากชุดชาม หน้าหลัง เมื่อออกตัว ชุดชามหน้าจะบีบดันให้สายพานขยายตัว รอบใหญ่ขึ้น ยิ่งสายพานขยับตัวพองมากเท่าไหร ยิ่งทำให้รอบส่งกำลังสุงขึ้น รถยิ่งแรงขึ้น ด้วยการมีเม็ดตุ้มน้ำหนักอยู่หลังชาม 6 ร่อง เพื่อรักษารอบ และชุดขับชามหน้าจะเป้นแกนจากข้อเหวียงจากเครื่องโดยตรง ส่วนชุดชามหลังจะถ่างตัวให้สายพานหดตัวลดขนาดรอบเล็กลง  บ้านผมมีมอไซค์ทั้งแบบ เกียร์ กับ Auto เอาตรงนะครับ สาเหตุมันมาจากพฤติกรรมการขี่รถล้วนๆ รถ AT ยิ่งบิดมันยิ่งติดมือไง มันไม่มีรอบทด คนขี่ถ้าใช้แต่รถ  AT นิสัยที่ตามมาคือ มือจะติดเร่ง ยิ่งบิดยิ่งมัน เมื่อใส่คันเร่งเยอะๆ รอบยิ่งจัด มันก้ ชดดิ คือถ้าบิดไปเรื่อยๆ ผ่อนๆ บิดเติมเรื่อยๆ มันก้กินพอๆกับพวกรถเกียร์นะละ ผมใช้ PCX 150 ขี่ไปทำงาน นครชัยศรี พระราม 5 ไปกลับ 150 กิโลกทุกวัน ผมยังได้ 40 กม/ล. ผมเรื่อง 90-100 สบายๆ

ความรู้เน้นๆเลย ขอบคุณครับ

ออฟไลน์ final

  • Sr. Member
  • ****
  • กระทู้: 582
    • อีเมล์
ถ้าอัตราทดเท่ากัน ผมยังไม่เคยเจอเกียร์ AT ประหยัดเท่า MT เลยครับ

แต่ที่เห็นรถ AT ทำได้ใกล้เคียง MT นะ มี 2 ตัวแปรหลักครับคือ (เปรียบเทียบจากรถรุ่นเดียวกันน่ะครับ แต่ต่างแค่เกียร์)

1. ตำแหน่งเกียร์สูง รุ่นเกียร์ AT มักทดต่ำว่าเสมอ เช่นรุ่นเกียร์ AT ความเร็ว 100km/h จะใช้รอบ 1,800 rpm
ส่วนรุ่นเกียร์ MT จะต้องใช้รอบ 2,000 rpm ประมาณนี้ครับ ทำให้เกียร์ทั้ง 2 แบบวิ่งยาวๆกินน้ำมันไมต่างกันมาก

2. รถสมัยใหม่ รุ่นเกียร์ AT มักมีจำนวนเกียร์มากกว่า MT เสมอ (เช่น AT จะมี 8 หรือ 9 หรือ 10 Speed ส่วนรุ่น MT จะมีแค่ 5 หรือ 6 Speed)
หรืออย่างแย่สุดก็คือมีจำนวนเกียร์เท่ากัน....อัตราทดที่มีจำนวนมากกว่า ทำให้เร่งได้ง่ายและต่อเนื่องกว่าในช่วงต้นและกลาง มาชดเชยกัน
ทำให้รุ่นเกียร์ AT วิ่งในเมืองก็อาจกินน้ำมันไม่ต่างจากรุ่น MT (หากรุ่น AT มีจำนวนเกียร์มากกว่า)

ถ้าเอากันแฟร์ๆ ทดให้เหมือนกันทุกอย่าง เช่นเป็น 6 speed ทั้งคู่ แล้วทดอัตราทดเท่ากันเป๊ะทุกเกียร์และเฟืองท้าย (หรืออย่างน้อยใกล้เคียง)
AT จะด้อยกว่า MT แบบเห็นได้ชัด ทุกมิติ ทั้ง ต้น กลาง ปลาย และอัตราบริโภคน้ำมันครับ

ถ้าแบบนั้นก็คงไม่แฟร์กับเกียร์ at เหมือนกันน่ะสิครับ เพราะจุดเด่นคือการมี speed เยอะเท่าไหร่ก็ได้ (เกียร์มันเปลี่ยนให้เองอยู่แล้ว)

ตรงนี้งงนิดนึงครับว่าทำไมถึงไม่แฟร์ ก็ในเมื่อเกียร์ MT มันก็สามารถจะทำกี่สปีดก็ได้เหมือนกัน ถ้าจะทำนะครับ
ถ้าท่านเข้าใจว่าจุดเด่นของ AT คือทำกี่สปีดก็ได้ แต่ MT ทำไม่ได้ MT ได้จำกัดที่ 6 สปีด อันนี้เข้าใจผิดแล้วครับ
(ผมขอพูดถึงเกียร์ AT แท้ๆแบบปกติน่ะครับ ไม่นับพวกแปรผันอัตราทดอย่าง CVT)
ลองไปดูเกียร์รถบรรทุกก็ได้ครับ 8 10 12 สปีด โยกกันมันส์เลย

คือทำได้ครับ อยู่ที่ว่าเค้าจะทำรึเปล่า แต่ผมว่าจริงๆรถยนต์ใช้งานปกติ ถ้าเครื่องมีกำลังสูงหน่อย ทำสัก 7 สปีดก็โอเคแล้ว
เหมือนที่ของ Porsche เคยทำ บางที 6 มันก็น้อยไป

ตามที่ผมเข้าใจคือ
จุดเด่นเกียร์ at คือสามารถมีกี่เกียร์ก็ได้โดยไม่มีผลต่อการใช้งาน จุดด้อยคือความซับซ้อนของระบบทำให้เสียกำลังในการขับเคลื่อน
จุดเด่นเกียร์ mt คือระบบไม่ซับซ้อน ถ่ายทอดกำลังได้เต็มๆ จุดด้อยคือเพิ่มจำนวน speed มากไม่ได้ มันจะลำบากในการใช้งาน

ถ้าให้เกียร์ at มี 6 speed เท่า mt แน่นอนว่าอัตราสิ้นเปลืองแพ้ เนื่องจากระบบมันเสียกำลังกว่า
ถ้าให้เกียร์ mt มี 9 speed เท่า at อาจจะไม่ได้ประหยัดกว่าก็ได้ คงสับเกียร์ผิดบ่อย ไม่แม่นเท่าเครื่องจักร

ออฟไลน์ XMSL

  • Sr. Member
  • ****
  • กระทู้: 827
แค่เห็นชุดชามหน้าที่ต่อตรงอยู่กับข้อเหวียง..พยายามหนีบสู้กับสายพานยางที่รอบเครื่องสูงๆก็รู้ว่าหนืดและเสียพลังงานขนาดไหน ลงชุดคลัชเสียไม่เท่าไหร่ครับจับแล้วจับเลย.

ออฟไลน์ DiKiBoyZ

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 7,190
    • อีเมล์
อัตราการกินน้ำมัน แปรผันตาม รอบเครื่อง vs load ของคันเร่ง

ซึ่ง รอบสูงกว่า ยังไงก็กินน้ำมันมากกว่า

ดังนั้น เกียร์ AT vs MT ใครทำรอบได้ต่ำกว่า ก็ประหยัดกว่า ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับ อัตราทด ของเกียร์(และเฟืองท้าย) ครับ