ระบบแบ่งปันพลังงานไฟฟ้าให้ “บ้าน” (Dendo Drive House) อนาคตของยานยนต์ไฟฟ้า

Gunther

ตั้งแต่ Mitsubishi เปิดตัวรุ่น Outlander PHEV ก็มีเทคโนโลยีแบ่งบันพลังงานไฟฟ้าจากแบตเตอรี่ในรถ EV/Plug-in Hybrid ให้ “บ้าน” ซึ่งเทคโนโลยีแบบนี้เรียกว่า Dendo Drive House

ซึ่ง Dendo Drive House ก็คือนวัตกรรมระบบนิเวศของพลังงานรูปแบบใหม่ ที่ช่วยบริหารจัดการพลังงานสำหรับบ้านและรถยนต์ ผลิต เก็บ และแบ่งปันพลังงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ประกอบไปด้วย
-แผงโซลาร์เซลล์ (Solar Panel)
-แบตเตอรี่ขับเคลื่อนในรถยนต์ EV/PHEV
-เครื่องอัดและจ่ายประจุไฟ (Bi-Directional Charger)
-แบตเตอรี่สำรองภายในบ้าน (Home Battery)

การทำงานของระบบ Dendo Drive House
-แผงโซลาร์เซลล์ เปลี่ยนพลังงานแสงอาทิตย์เป็นพลังงานไฟฟ้า เพื่อนำไปใช้ในบ้าน
-เครื่องอัดและจ่ายประจุไฟ ตัวกลางระหว่างรถยนต์และบ้าน ในการดึงพลังงานไฟฟ้ามาใช้
-แบตเตอรี่สำรองภายในบ้าน เป็นแหล่งพลังงานสำรองในบ้าน ในกรณีแหล่งพลังงานไฟฟ้าจากภายนอกไม่เพียงพอ

จุดเด่นของระบบ Dendo Drive House
-ลดค่าใช้จ่ายจากการใช้ไฟฟ้า
-มีแหล่งพลังงานสำรองใช้ เมื่อเกิดไฟฟ้าดับ
-ลดค่าใช้จ่าย จากการใช้น้ำมันเชื้อเพลิง (โดยเฉพาะรถยนต์ Plug-in Hybrid)
-เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม



ข้อมูลมาจาก https://www.brandbuffet.in.th/2020/12/dendo-drive-house-by-mitsubishi-motors-thailand/



ทุกท่านคิดว่า ระบบแบ่งปันพลังงานไฟฟ้าให้ “บ้าน” ซึ่งเป็นระบบนิเวศของพลังงานรูปแบบใหม่ ในอนาคต รถยนต์ไฟฟ้าจะได้รับความนิยมหรือไม่

และระบบนิเวศรูปแบบใหม่ แบ่งปันพลังงานไฟฟ้าจากยานยนต์ไฟฟ้าให้บ้าน ช่วยลด CO2 ได้หรือไม่และ
ค่ายรถหลายแบรนด์ที่มีรถยนต์ไฟฟ้าจำหน่ายอยู่ในไทย เช่น (Nissan,MG,GWM ORA,Fomm,Hyundai,Kia) จะทำตามหรือไม่

#สนับสนุนคนไทยใช้รถยนต์ไฟฟ้า100%ครับ🇹🇭
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กรกฎาคม 15, 2021, 19:07:05 โดย Gunther »



Weetting

รถยนต์ไฟฟ้าหลายค่ายก็ใช้ระบบนี้ได้อยู่แล้ว  แต่ลงทุนกับระบบพวกนี้ไม่ถูกนะครับ

ค่า Home Battery   ขนาด 12v จนถึง 500v    ราคาต่างกันเป็นล้านนะครับ   พร้อมด้วยค่าบำรุงรักษาที่ไม่ถูกแน่ๆ 
 
bi-directional charging   ก็หลักแสน 

ทำได้ขนาดนี้กับประเทศที่ค่าไฟแบบไทย  ผมว่าไม่คุ้ม     

แต่อาจจะเหมาะกับประเทศที่ค่าไฟแพงๆ 


THE Manual Gearbox Preservation Society
Drive diesel until last day



Fly to dream

For emergency only ไม่ใช่เอามาใช้แบบนี้ตลอด พัง
ขยะของโลกออนไลน์​ในปัจจุบั​นคือเชื่อคนโง่ที่มีคำพูดสวยหรู​ หาข้อมูล​ไม่จริงมาโกหกคำโตๆ​ อีกอย่างคือพูดความจริงไม่หมด กับพวก​ Avatar ที่ทำเป็น​เก่ง​แต่เก่งน้อยในโลกความจริง​ซึ่งจะหาได้ง่าย



Gunther

รถยนต์ไฟฟ้าหลายค่ายก็ใช้ระบบนี้ได้อยู่แล้ว  แต่ลงทุนกับระบบพวกนี้ไม่ถูกนะครับ

ค่า Home Battery   ขนาด 12v จนถึง 500v    ราคาต่างกันเป็นล้านนะครับ   พร้อมด้วยค่าบำรุงรักษาที่ไม่ถูกแน่ๆ 
 
bi-directional charging   ก็หลักแสน 

ทำได้ขนาดนี้กับประเทศที่ค่าไฟแบบไทย  ผมว่าไม่คุ้ม     

แต่อาจจะเหมาะกับประเทศที่ค่าไฟแพงๆ

ถ้า สถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้ามีมากขึ้น การชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าที่บ้าน น่าจะไม่จำเป็นแล้วครับ

ระบบแบ่งปันพลังงานไฟฟ้าจากรถยนต์ไฟฟ้าสู่บ้าน ในไทยนั้น
น่าจะเป็นแนวคิดต้นแบบครับ

ระบบแบ่งปันพลังงานไฟฟ้าจากรถยนต์ไฟฟ้าสู่บ้านเหมาะกับประเทศโลกที่ 1 (ประเทศพัฒนาแล้ว) เช่น อเมริกา อังกฤษ ญี่ปุ่น เยอรมัน ฝรั่งเศส เป็นต้น
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กรกฎาคม 16, 2021, 09:44:00 โดย Gunther »



คุณ นมๆ

อย่างมากระบบนี้เค้าก็ใช้กันแค่ตอนไฟดับแค่นั้นแหละครับ เอามาใช้แทนไฟจาการไฟฟ้าไม่เกิด ต่อให้ตู้ชาร์จเยอะก็ไม่เกิด เพราะถ้าเอาไฟในแบตไปให้บ้านหมดแล้วรถจะเอาไฟที่ไหนวิ่ง ไปเติมตู้ชาร์จตามปั๊มซึ่งก็ไม่มีทางทีราคาค่าไฟมันจะถูกกว่าไฟบ้านอยู่ดี อีกทั้งยังเสียefficiencyไปโดยเปล่าประโยชน์
ในรถไฟฟ้า ชาร์ไฟเข้ามา ผ่านอินเวอร์เตอร์ ผ่านแบต และอื่นๆอีกมากมาย เสียไฟไปน้อยๆเรื่อยๆ กับต่อไฟเค้าเครื่องใช้ไฟฟ้าโดยตรงอันไหนสูญเสียพลังงานน้อยกว่ากัน?


 



Gunther

For emergency only ไม่ใช่เอามาใช้แบบนี้ตลอด พัง

ถ้าแบบนี้ ติดตั้ง EV Charger อย่างเดียวก็เพียงพอแล้วครับ เสียค่าไฟในบ้านเพิ่มจากเดิม 20% จากการชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า



Weetting


ถ้า สถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้ามีมากขึ้น การชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าที่บ้าน น่าจะไม่จำเป็นแล้วครับ

ระบบแบ่งปันพลังงานไฟฟ้าจากรถยนต์ไฟฟ้าสู่บ้าน ในไทยนั้น
น่าจะเป็นแนวคิดต้นแบบครับ

ระบบแบ่งปันพลังงานไฟฟ้าจากรถยนต์ไฟฟ้าสู่บ้านเหมาะกับประเทศโลกที่ 1 (ประเทศพัฒนาแล้ว) เช่น อเมริกา อังกฤษ ญี่ปุ่น เยอรมัน ฝรั่งเศส เป็นต้น

การชาร์จไฟในบ้านยังจำเป็นอยู่ครับ  ไม่ว่าจุดชาร์ทจะเยอะแค่ไหน 
ระบบการแบ่งปันไม่เชิงว่าเป็นต้นแบบในไทย   เอาตอนนี้ในไทยถ้าจะทำก็ทำได้  ไม่ได้เหมาะกับประเทศโลกที่ 1 เท่านั้น ผมเน้นว่ามันเหมาะกับประเทศที่ค่าไฟฟ้าแพง เช่น เดนมาร์ค เยอรมันนี   ซึ่งค่าไฟบ้านก็แปรผันตามช่วงเวลาเหมือนกันฉะนั้นการลดค่าใช้จ่ายพวกนี้ก็ชาร์จช่วงเวลาที่ค่าไฟถูกพอถึงช่วงเวลาที่ค่าไฟแพงก็ดึงไฟจากแบตสำรอง จากรถมาใช้งาน  มันอาจจะคุ้มเพราะประเทศพวกนี้เปลี่ยนรถกันบ่อย
ทีนี้ถึงต่อให้เป็นประเทศโลกที่ 1 คือ จีนค่าไฟแพงกว่าเรานิดหน่อยระบบพวกนี้ก็ไม่จำเป็น เพราะแบตไซเคิ้ลของรถมันก็ลดลงไปด้วย  อย่างที่ผมเคยพูดไปว่า รถแบต 2 แสนโลแบตจะเหลือประสิทธิภาพที่ราว 75-85%   ลองคิดว่าถ้าเอาแบตรถมาสำรอง % คงจะน้อยลงว่านี้อีกเยอะ ซึ่งอาจจะไม่คุ้มกับส่วนต่างค่าไฟฟ้า 
THE Manual Gearbox Preservation Society
Drive diesel until last day



zionzz

มันก็คือ Powerwall แหละ ผมอยากใช้นะ แต่คิดว่ามันยังแพงเกินไปอยู่เยอะ

และก็คิดว่า เอารถมาผูกกับบ้านได้นี่ก็ดีอย่างเสียอย่าง เช่นไฟดับตลอดทั้งคืน เช้ามาแบตรถหมดนี่ลำบากเลย
ไม่รู้ตั้งได้ไหม



Gunther

อย่างมากระบบนี้เค้าก็ใช้กันแค่ตอนไฟดับแค่นั้นแหละครับ เอามาใช้แทนไฟจาการไฟฟ้าไม่เกิด ต่อให้ตู้ชาร์จเยอะก็ไม่เกิด เพราะถ้าเอาไฟในแบตไปให้บ้านหมดแล้วรถจะเอาไฟที่ไหนวิ่ง ไปเติมตู้ชาร์จตามปั๊มซึ่งก็ไม่มีทางทีราคาค่าไฟมันจะถูกกว่าไฟบ้านอยู่ดี อีกทั้งยังเสียefficiencyไปโดยเปล่าประโยชน์
ในรถไฟฟ้า ชาร์ไฟเข้ามา ผ่านอินเวอร์เตอร์ ผ่านแบต และอื่นๆอีกมากมาย เสียไฟไปน้อยๆเรื่อยๆ กับต่อไฟเค้าเครื่องใช้ไฟฟ้าโดยตรงอันไหนสูญเสียพลังงานน้อยกว่ากัน?

นี่แหละครับ ข้อดีของระบบแบ่งปันพลังงานไฟฟ้าจากรถยนต์ไฟฟ้าให้บ้าน ก็คือ แบตเตอรี่สำรองภายในบ้าน หรือ Home Battery ซึ่งเป็นแหล่งพลังงานสำรองในบ้าน สามารถนำไปใช้ได้ในกรณีแหล่งพลังงานไฟฟ้าจากภายนอกไม่เพียงพอหรือเมื่อเกิดไฟฟ้าภายในบ้านดับ



Gunther


ถ้า สถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้ามีมากขึ้น การชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าที่บ้าน น่าจะไม่จำเป็นแล้วครับ

ระบบแบ่งปันพลังงานไฟฟ้าจากรถยนต์ไฟฟ้าสู่บ้าน ในไทยนั้น
น่าจะเป็นแนวคิดต้นแบบครับ

ระบบแบ่งปันพลังงานไฟฟ้าจากรถยนต์ไฟฟ้าสู่บ้านเหมาะกับประเทศโลกที่ 1 (ประเทศพัฒนาแล้ว) เช่น อเมริกา อังกฤษ ญี่ปุ่น เยอรมัน ฝรั่งเศส เป็นต้น

การชาร์จไฟในบ้านยังจำเป็นอยู่ครับ  ไม่ว่าจุดชาร์ทจะเยอะแค่ไหน 
ระบบการแบ่งปันไม่เชิงว่าเป็นต้นแบบในไทย   เอาตอนนี้ในไทยถ้าจะทำก็ทำได้  ไม่ได้เหมาะกับประเทศโลกที่ 1 เท่านั้น ผมเน้นว่ามันเหมาะกับประเทศที่ค่าไฟฟ้าแพง เช่น เดนมาร์ค เยอรมันนี   ซึ่งค่าไฟบ้านก็แปรผันตามช่วงเวลาเหมือนกันฉะนั้นการลดค่าใช้จ่ายพวกนี้ก็ชาร์จช่วงเวลาที่ค่าไฟถูกพอถึงช่วงเวลาที่ค่าไฟแพงก็ดึงไฟจากแบตสำรอง จากรถมาใช้งาน  มันอาจจะคุ้มเพราะประเทศพวกนี้เปลี่ยนรถกันบ่อย
ทีนี้ถึงต่อให้เป็นประเทศโลกที่ 1 คือ จีนค่าไฟแพงกว่าเรานิดหน่อยระบบพวกนี้ก็ไม่จำเป็น เพราะแบตไซเคิ้ลของรถมันก็ลดลงไปด้วย  อย่างที่ผมเคยพูดไปว่า รถแบต 2 แสนโลแบตจะเหลือประสิทธิภาพที่ราว 75-85%   ลองคิดว่าถ้าเอาแบตรถมาสำรอง % คงจะน้อยลงว่านี้อีกเยอะ ซึ่งอาจจะไม่คุ้มกับส่วนต่างค่าไฟฟ้า

ในไทย การชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าที่บ้าน ก็มีแค่ EV Charger
(เครื่องชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า) อย่างเดียวก็เพียงพอแล้วครับ



axister

ราคาไม่คุ้มแน่ๆครับ ณ ปัจจุบัน

แค่ติด solar ปัจจุบันกว่าจะคืนทุนยังเป็นปี ถ้ามีแบตด้วย สำรองเล็กๆ 130a 4ลูก ongrid 5kw ทั้งระบบยัง 2แสนนิดๆ เอาจิงติดระบบนี้ แค่เปิดเครื่องทำน้ำอุ่นกับแอร์พร้อมกันก็ harvest ไม่ทันแล้วครับ

อีกอย่างถ้าไม่ใช่ระบบ off-grid เลยการถ่ายไฟจากรถเข้าบ้านผมยังไม่เห็นประโยชน์เลยอะครับ เพราะบ้านใช้ไฟเยอะแน่ๆ

ถ้าเป็นบ้าน off-grid อยู่ในที่ๆไม่ร้อนมาก ไม่หนาวมาก แบบไม่ต้องการแอร์หรือฮิตเตอร์ทำงาน full time การมีแบตในบ้านให้กลางวัน harvest พลังงานจาก solar แล้วเอารถมาต่อพ่วงเผื่อแบตหมดก่อนแดดออกของอีกวัน ก็มีประโยชน์อยู่ครับ

แต่คงต้องเป็นบ้านครอบครัวเล็ก แล้วอยู่เชียงใหม่นะครับถึงจะรอด สำหรับ 1คัน

เหมาะกับประเทศเมืองหนาวครับ เช่าบ้านที่อังกฤษ แทบไม่ใช้ไฟฟ้าเหมือนกัน heater ด้วย gas อุ่นพื้นด้วยระบบน้ำร้อน กลางคืนนอนไม่เปิดเครื่องใช้ไฟฟ้าเลย เลี้ยงตู้เย็นเลี้ยงไฟ ไว้เปิดอะไรตอนแดดยังไม่ออก แบตพอครับถ้ามันเต็ม



PaPaMan

ถ้าแค่ต้องการใช้ตอนไฟดับ ไปซื้อเครื่องปั่นไฟดีกว่าครับ ขนาด 3.5 kW ราคาไม่เกินหมื่น เปิดแอร์ inverter ขนาด 12000btu 2ตัวได้สบายๆ ขอแค่อย่าเปิดเครื่องทำน้ำอุ่น เตาอบ เตารีดหรืออุปกรณ์ที่กินไฟเยอะๆพอ สำคัญเรื่องการตัด braker ต้องระมัดระวังมากๆด้วย ห้ามต่อสลับขั้วเด็ดขาด