วันที่ 23 ธันวาคม 2564 กรณี แหล่งข่าวคณะกรรมการนโยบายยานยนต์ไฟฟ้าแห่งชาติ (บอร์ดอีวี) เปิดเผย ประชาชาติธุรกิจ ว่า ขณะนี้บอร์ดอีวีได้จัดทำหลักเกณฑ์เงื่อนไขมาตรการส่งเสริมการใช้รถยนต์ไฟฟ้า (อีวี) ในประเทศไทย ตามนโยบายของรัฐบาลเสร็จเรียบร้อยแล้ว โดยจะนำเสนอให้คณะรัฐมนตรีเห็นชอบเป็นสัปดาห์หน้า หรือวันที่ 28 ธันวาคม 2564 เพื่อให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2565 เป็นต้นไป เพื่อเป็นของขวัญปีใหม่ให้กับประชาชน และเพื่อสนับสนุนให้คนไทยปรับมาใช้รถอีวีกันมากขึ้น
รายละเอียดมาตรการจะมีทั้งการลดภาษีสรรพสามิต ภาษีศุลกากร และรัฐบาลให้เงินอุดหนุนภายใต้กรอบวงเงิน 40,000 ล้านบาท โดยมีเป้าหมายจูงใจให้ประชาชนหันมาใช้รถอีวีประมาณ 300,000 คันในระยะเวลา 5 ปีตั้งแต่ปี 2565
ภายใต้มาตรการดังกล่าวจำแนกรถยนต์อีวีที่จะได้รับประโยชน์ออกเป็น 2 กลุ่ม ได้แก่
1.กลุ่มรถยนต์อีวี ราคาไม่เกิน 2 ล้านบาท นอกจากจะได้รับการลดภาษีศุลกากร 40% และลดภาษีสรรพสามิตเหลือ 2% แล้ว จะได้รับเงินอุดหนุนจากรัฐบาลอีกทางหนึ่ง ซึ่งวงเงินสูงสุดที่รัฐบาลจะสนับสนุนอยู่ที่ 150,000 บาท โดยจะพิจารณาตามขนาดของแบตเตอรี่
หากแบตเตอรี่ต่ำกว่า 30 กิโลวัตต์ต่อชั่วโมง จะได้รับเงินอุดหนุนประมาณ 70,000 บาท ส่วนใหญ่เป็นรถยนต์ที่มีราคาขายประมาณคันละ 400,000-500,000 บาท ถ้าขนาดแบตเตอรี่มากกว่า 30 กิโลวัตต์ต่อชั่วโมง จะได้รับเงินอุดหนุน 150,000 บาท ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นรถยนต์อีวีที่มีราคาขายประมาณคันละ 900,000 บาท
สำหรับรถยนต์อีวีราคาไม่เกิน 2 ล้านบาท เมื่อเข้าร่วมโครงการนี้สามารถคำนวณได้ง่าย ๆ เช่น รถยนต์อีวีที่นำเข้ามาจากญี่ปุ่น ราคาประมาณคันละ 2 ล้านบาท จะได้ลดราคาจากอัตราอากรขาเข้าหรือลดภาษีศุลกากร จากเดิมต้องเสียภาษี 20% ลดลงเหลือ 0% เท่ากับราคาลดลง 350,000 บาท ได้ลดอัตราภาษีสรรพสามิตจาก 8% เหลือ 2% คิดเป็นส่วนลดอีก 120,000 บาท บวกกับเงินอุดหนุนจากรัฐบาลอีก 150,000 บาท
รวมทั้ง 3 รายการแล้วผู้ซื้อจะซื้อรถอีวีจากญี่ปุ่นได้ในราคาถูกลงกว่า 570,000 บาท อย่างไรก็ตาม เพื่อดึงดูดผู้บริโภคส่วนนี้ ผู้ประกอบการแต่ละค่ายรถสามารถนำไปจัดทำโปรโมชั่นส่งเสริมการขายเพิ่มเติมได้
ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า สำหรับราคาขายรถอีวีที่มีจำหน่ายในประเทศ ราว ๆ 10 รุ่น ราคาไม่เกิน 2 ล้านบาท นิสสัน ลีฟ จากราคาขายปัจจุบัน 1.5 ล้านบาท ประเมินว่าส่วนลดภาษีนำเข้าและภาษีสรรพสามิตพร้อมเงินอุดหนุนราว ๆ 4-4.5 แสนบาท
ขณะที่รถจีนราคาขายราว ๆ 1 ล้านบาท ทั้งเอ็มจี แซดเอส, เอ็มจี อีพี, โอร่า กู๊ดแคต ก็น่าจะได้ส่วนลดจากภาษีสรรพสามิต บวกเงินอุดหนุนราว ๆ 3-4 แสนบาท เนื่องจากรถอีวีปัจจุบันภาษีนำเข้าเป็น 0% อยู่แล้ว
2. กลุ่มรถอีวีที่ราคามากกว่า 2 ล้านบาท ซึ่งมีเมอร์เซเดส-เบนซ์ อีคิวเอส, บีเอ็มดับเบิลยู ตั้งแต่ i3, i8, iX, iX3, ออดี้ อี-ตรอน ซึ่งมีระดับราคาตั้งแต่ 5-10 ล้านบาท คาดว่าจะได้ส่วนลดภาษี ทำให้มีราคาถูกลง 7-8 แสนบาท เพราะภาษีนำเข้าลดลงครึ่งหนึ่ง และส่วนลดภาษีสรรพสามิตอีก 6% ทำให้ราคาขยับลงได้เยอะมาก
ข้อมูลจาก
https://www.prachachat.net/motoring/news-827683ทุกท่านคิดอย่างไรครับ