[Chitta_P]

สวัสดีเพื่อนๆสมาชิกชาว HLM ทุกท่านครับ หลังจากที่ผมได้รีวิวรถเช่า รถ test drive มาหลายรีวิว ตอนนี้ก็เป็นโอกาสดีที่จะขอนำรถตัวเองมารีวิวให้ทุกๆท่านได้อ่านกันครับ



Honda CR-V Generation ที่ 3 มีรหัสตัวถังว่า ‘RE’ หรือที่บ้านเรานิยมเรียกกันว่า CR-V G3 เปิดตัวแก่สายตาชาวโลกในปี 2006 และได้เปิดตัวในประเทศไทยในช่วงเดือนพฤศจิกายนในปีเดียวกัน โดยเปิดตัวใน 3 รุ่นย่อยได้แก่
2.0 S 2WD
2.0 E 4WD
2.4 EL 4WD



สำหรับรถของผมที่จะนำมารีวิววันนี้คือ Honda CR-V 2.0E 4WD ซึ่งเป็นรุ่นรองท็อป และรถคันนี้เป็นรถ MY2009 (Model Year 2009) ซึ่งมีการปรับจูนเครื่องยนต์ให้รองรับน้ำมัน E20 ได้ครับ

[Chitta_P]

Exterior

งานออกแบบภายนอกถือว่าเป็นจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญครั้งหนึ่งของ Honda CR-V โดยเปลี่ยนจากรถกึ่งๆสายลุยอเนกประสงค์ใน Generation ที่ 1 กับ 2 มาสู่ความเป็นรถยนต์นั่งที่ดูเรียบหรูมากขึ้น และส่งผลมาถึงยัง CR-V ในรุ่นหลังๆอีกเช่นกัน



กระจังหน้าอันเป็นเอกลักษณ์ คาดด้วยแถบโครเมียมขนาดใหญ่ พร้อมกับช่องดักลมด้านล่าง ซึ่งคาดด้วยเส้นโครเมียมอีก 3 แถบ





ไฟหน้าแบบโปรเจคเตอร์ขนาดใหญ่เบิ้ม ในโคมประกอบด้วยไฟหรี่ ไฟหน้า และไฟเลี้ยวตามลำดับ



ไฟตัดหมอกหน้าแบบวงกลมตามสมัยนิยมในสมัยนั้น และมีการตกแต่งขอบด้านล่างตัวถังด้วยกาบสีเทา (ในรุ่น 2.0 S ขับสองจะเป็นกาบสีดำ) ทำให้ตัวรถดูเป็นสีทูโทนกลายๆ



กระจกมองข้างขนาดใหญ่สีเดียวกับตัวรถ ปรับและพับเก็บด้วยไฟฟ้า พร้อมด้วยไฟเลี้ยว ซึ่งเป็นเรื่องใหม่ในยุคนั้นทีเดียวครับ



เส้นสายด้านข้างอันเป็นเอกลักษณ์ ซึ่งดูฉีกออกไปจากสองรุ่นก่อนอย่างเห็นได้ชัด



ด้านท้ายของรถถูกดีไซน์ให้ต่างจาก Generation ที่ 1 และ 2  โดยการเปลี่ยนฝาท้ายจากการเปิดออกแบบประตู มาเป็นแบบยกขึ้นเหมือนรถ SUV สมัยใหม่ และตำแหน่งที่เก็บยางอะไหล่นั้นถูกย้ายไปไว้ยังช่องด้านหลังรถ ตรงกลางของฝาท้ายจะถูกดีไซน์ให้โป่งนูนออกมาเพื่อให้ตัวรถดูบึกบึนขึ้น ตกแต่งด้วยแถบโครเมียมขนาดใหญ่เหนือช่องใส่แผ่นป้ายทะเบียน และที่เปิดฝาท้ายจะอยู่ตรงช่องด้านล่างอีกที หากใครไม่คุ้นเคยจริงๆ ควานหาที่เปิดตรงแถบโครเมียมด้านบนกันเพลินเลยครับ





ไฟท้ายแนวตั้ง เป็นแบบหลอดไส้ทั้งหมด ประกอบด้วยไฟท้าย/ไฟเบรก ไฟเลี้ยว และไฟถอยตามลำดับ



ไฟเบรกดวงที่ 3 นั้นจะอยู่ด้านบนของกระจกหลัง และมีรูฉีดน้ำที่ปัดน้ำฝนหลังอยู่ด้านข้าง



แผ่นสะท้อนแสงจะอยู่ตรงบริเวณกาบสีเทาด้านล่าง เหนือท่อไอเสีย



เสาอากาศเป็นแบบเส้นตามสมัยนิยมของรถ 5 ประตูในยุคนั้น ติดตั้งบริเวณด้านท้ายของรถครับ






ปล. สำหรับบันไดข้าง, กันกระแทกใต้ท้องหน้า-หลัง, คิ้วกันสาด, ปลายท่อไอเสียแสตนเลส และสปอยเลอร์หลังนั้นเป็นอุปกรณ์ตกแต่งที่แถมจากศูนย์มาครับ

[Chitta_P]

Interior

มือเปิดประตูแบบ Grip Type สีเดียวกับตัวรถ



กุญแจรีโมทสหกรณ์ของค่ายฮอนด้ายุคปี 2000 ต้นๆ พ่วงด้วยระบบ Immobilizer ซึ่งถือว่าเป็นเทคโนโลยีใหม่ในตอนนั้นครับ





แผงประตูข้างเป็นวัสดุ Hard Touch อัดขึ้นรูป บุนุ่มพร้อมหุ้มด้วยหนังบริเวณที่วางแขน ตกแต่งคาดด้วยแถบพลาสติกสีเงินด้าน มือจับเป็นก้านขนาดใหญ่สะดวกมือ
บริเวณด้านล่างของแผงประตูจะเป็นช่องเก็บเอกสาร และที่วางขวดน้ำขนาด 7 บาทเท่านั้น ไม่สามารถแหย่แก้วขนาดใหญ่อย่าง Yeti ลงไปได้นะครับ



มือเปิดด้านในแบบชุบโครเมียม พร้อมด้วยสวิตซ์ควบคุมกระจกทั้ง 4 บาน (เป็น One Touch ฝั่งคนขับเพียงบานเดียว) และปุ่ม Central Lock ถัดมาจะมีช่องเก็บเหรียญขนาดเล็กตรงที่เท้าแขน





แผงคอนโซลหน้าจะเป็นเป็นวัสดุ Hard Touch (ล้วนๆ)อัดขึ้นรูปสีดำ ตกแต่งด้วยสีเงินด้านตามแบบยุค Millennium มีช่องแอร์ขนาดใหญ่ 4 ช่อง ตามมาตรฐานรถญี่ปุ่น การจัดวางสวิตช์ควบคุมต่างๆ นั้นถือว่าเป็นมิตรกับผู้ใช้ดีครับ





ที่บังแดดขนาดใหญ่ เหมาะสมตัวรถ มาพร้อมกระจกแต่งหน้า 2 ข้าง ตัววัสดุถือว่าคุณภาพดีเลยครับ เพราะตัวรถที่ผ่านมา 10 กว่าปี ยังไม่ร่อน ไม่ย้วย





กระจกมองหลังจะเป็นแบบตัดแสงอัตโนมือ หรือแบบโยกตัดแสงนั่นเองครับ



ไฟอ่านแผนที่บริเวณห้องโดยสารตอนหน้าเป็นหลอดไส้ พร้อมด้วยกล่องเก็บแว่นตา ซึ่งมีลูกเล่นเล็กๆน้อยๆ ซ่อนเอาไว้ด้วยครับ

[Chitta_P]

พวงมาลัยเป็นแบบ 3 ก้านหุ้มหนัง ขนาดพอเหมาะ วัสดุกระชับมือ ปรับได้ 2 ทิศทาง (สูง-ต่ำ) ตกแต่งด้วยวัสดุสีเงินด้าน (อีกแล้ว) ซึ่งหากผ่านเวลาไปนานๆ ก็จะมีการหลุดลอกของสีอย่างที่เห็นในภาพ
นอกเหนือจากนั้น ยังมีการตกแต่งด้วยลายตาข่ายบริเวณด้านล่างของก้านพวงมาลัยมาด้วย



ก้านพวงมาลัยฝั่งซ้ายจะมีปุ่มควบคุมเครื่องเสียง ก้านพวงมาลัยด้านขวาจะมีปุ่มระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติหรือ Cruise Control แบบธรรมดา





ก้านไฟเลี้ยวและไฟหน้าจะอยู่ด้านขวาของพวงมาลัย ก้านที่ปัดน้ำฝนจะอยู่ด้านซ้ายตามแบบฉบับรถญี่ปุ่นทั่วไปครับ





หน้าปัดจะเป็นแบบกึ่งดิจิตอล ด้านซ้ายเป็นที่วัดรอบและบอกตำแหน่งเกียร์ ด้านขวาเป็นเข็มวัดความเร็ว ส่วนตรงกลางเป็นจอแสดงผลซึ่งบอกอัตราสิ้นเปลือง เลขไมล์ อุณหภูมิภายนอกรถ แจ้งเตือนลืมปิดประตู ซึ่งมีความเก๋ไก๋ (ของยุคนั้น) ตรงที่บอกว่าลืมปิดประตูบานไหนฝั่งไหนมาด้วย แถบบอกปริมาณน้ำมัน และแถบวัดอุณหภูมิเครื่องยนต์



รูเสียบกุญแจจะอยู่บริเวณคอพวงมาลัยด้านขวาตามแบบรถทั่วไป ด้านล่างเป็นปุ่มปรับและพับกระจกมองข้างไฟฟ้า





ที่เปิดฝาถังน้ำมันจะอยู่ใกล้กับแป้นเบรก และเข้าไปในหลืบอีกหน่อยจะเป็นปุ่มเปิดฝากระโปรงหน้า ซึ่งถือว่าอยู่ในตำแหน่งที่ไม่ดีเอามากๆครับ ตอนได้รถมาใหม่ๆ ควานหากันตาเหลือกเลยทีเดียว





จากขวาไปซ้ายจะเป็นแป้นเบรก แป้นคันเร่ง และเบรกมือแบบเหยียบ ตามฉบับรถราคาแพงในสมัยนั้น ซึ่งวัสดุหุ้มก็โรยราไปตามกาลครับ



ตรงกลางคอนโซลจากบนลงล่าง ประกอบด้วยช่องแอร์ขนาดใหญ่ 2 ช่อง, ปุ่มไฟฉุกเฉินขนาดใหญ่สังเกตง่าย



ลงมาจะเป็นเครื่องเสียงติดรถขนาด 2 Din พร้อมเครื่องเล่น CD และ MP3 แบบ 6 แผ่นที่มี CD-Changer ในตัว ที่ให้คุณภาพเสียงในระดับใช้ได้ ฟังเสียงเบสเป็นเบส ฟังแหลมเป็นแหลม ไม่แบนราบเป็นดั้งผู้เขียน (ฮา)



ถัดลงมาอีกจะเป็นเครื่องปรับอากาศอัตโนมัติแบบดิจิตอล แยกฝั่งซ้าย-ขวา Dual Zone (เหมือนเดิมครับ...ถือว่าล้ำในสมัยนั้น)



คันเกียร์หุ้มด้วยหนังสังเคาะห์จะอยู่บริเวณคอนโซลหน้า แสดงถึงความอเนกประสงค์ที่ส่งต่อมาจนถึง Gen ปัจจุบัน (Gen 5) ส่วนรุ่นพี่ 2 รุ่นก่อนหน้านั้น จะอยู่ตรงคอพวงมาลัยครับ



ด้านล่างสุดเป็นช่อง Power Outlet 1 ช่อง พร้อมช่องเก็บเหรียญอีก 2 ช่อง



ช่องเก็บของบริเวณคอนโซลแบ่งเป็น 2 ช่องบน-ล่าง ด้านบนมีขนาดเล็กกว่าด้านล่าง สามารถเก็บของได้ในขนาดซองจดหมาย และเป็นอีกจุดที่ส่วนตัวชอบเป็นพิเศษ ด้วยการออกแบบการเปิด-ปิดที่ลงตัวครับ



ช่องเก็บของด้านล่างนั้นมีขนาดใหญ่สะใจทีเดียวครับ

[Chitta_P]

เบาะนั่งคู่หน้าหุ้มด้วยหนังสังเคราะห์สีดำ (ที่มากับตัวถังภายนอกสีเงิน, สีเทาฟ้า ส่วนรถตัวถังสีเงินเข้ม, สีทอง, สีขาว และสีดำ จะได้ภายในสีเบจครับ) ซึ่งมีรอยยับย่น แตกตามกาลเวลา ปรับด้วยมือ โดยฝั่งคนขับปรับได้ 6 ทิศทาง และฝั่งผู้โดยสารตอนหน้า 4 ทิศทาง ตามความเห็นส่วนตัว เบาะคู่หน้าของรถรุ่นนี้ถือเป็นอีกรุ่นที่ออกแบบได้มาดีครับ โอบกระชับกำลังพอดี หมอนรองศีรษะรองรับได้เต็มหัว และไม่ดันจนเกินไป เดินทางไกลนั่งสบายพอสมควรเลยครับ









นอกจากนี้ เบาะคู่หน้าของ CRV G3 จะมีที่พักแขนแบบพับขึ้น-ลงมาให้ด้วยครับ

]

ด้านหลังของเบาะคู่หน้า จะมีช่องกระเป๋าจิงโจ้มาให้ทั้ง 2 ตัว



เข็มขัดนิรภัยปรับสูง-ต่ำได้



คอนโซลกลางเป็นอีก 1 สิ่งที่ถูกเพิ่มเข้ามาใน CR-V รุ่นที่ 3 ซึ่งหลายคนอาจมองว่าลดทอนความอเนกประสงค์ในการ walk-through จากเบาะแถว 1 ไปยังแถว 2 แต่ทางวิศวกรของฮอนด้าในสมัยนั้นได้ให้เหตุผลเรื่องความปลอดภัย ที่เด็กน้อยทั้งหลายจะวิ่งจากแถวหลังไปหาผู้ปกครองซึ่งกำลังขับรถในแถวหน้า และอาจก่อให้เกิดอุบัติเหตุขึ้นได้

จากซ้ายไปขวาจะเป็นช่องเก็บเหรียญ 2 ช่อง ที่สามารถเอาที่กั้นออกเพื่อรวมเป็นช่องเดียวได้ ช่องเก็บของแบบกด 1 ช่อง และช่องเก็บของแบบเลื่อนเปิด-ปิด ซึ่งส่วนตัวชอบการดีไซน์มาก อีก 1ช่อง



ภายในช่องเก็บของนั้นจะมีช่องเสียบ AUX 1 จุด และช่อง Power Outlet อีก 1 ช่อง





ประตูคู่หลังมีขนาดใหญ่ มีองศาการเปิดที่กว้าง ทำให้สะดวกต่อการเข้าออกครับ
แผงประตูจะตกแต่งเหมือนกับแผงประตูคู่หน้าทุกประการ





เมื่อตะกี้ผมได้ชมความดีงามของเบาะนั่งคู่หน้าไปแล้ว แต่กลับกัน เบาะนั่งแถวสองของรถรุ่นนี้กลับนั่งสบายสู้เบาะคู่หน้าไม่ได้ ด้วยพนักพิงที่ค่อนข้างแข็ง เบาะรองนั่งที่สั้นกว่า และหมอนรองศีรษะที่ปรับขึ้น-ลงได้ยากเย็น แต่ก็เข้าใจว่าเพื่อความอเนกประสงค์ในการพับเบาะนั่นเอง



ตรงกลางมีที่พักแขน พร้อมช่องวางแก้ว 2 ช่องมาให้ สามารถแหย่แก้วขนาดใหญ่ลงไปได้ แต่ไม่กระชับนะครับ



ตัวเบาะสามารถเลื่อนเข้าออกได้ และปรับเอนได้สูงสุดตามภาพนะครับ



พนักพิงเบาะแถวสองปรับพับแบบ 40 : 20 : 40 ด้วยการดึงห่วงบริเวณพนักพิง ซึ่งได้อิทธิพลมาจาก CR-V G1 แต่รุ่นพี่ G2 และรุ่นน้องรุ่นต่อๆมา จะเป็นสลักฝังลงไปในพนักพิงแทน








ส่วนตัวคิดว่าที่วางแขนเล็กไป เลยชื่นชอบการพับเบาะแบบนี้เป็นพิเศษ ถ้าต้องนั่งในเบาะแถวสองครับ



หากการพับเบาะราบลงไป ไม่สามารถจุสัมภาระที่มีความสูงได้พอ สามารถดึงสลักจากข้างหลังเบาะ เพื่อพับเบาะกระดกขึ้นอีกทีแบบ 60 : 40 ได้ แต่ต้องเลื่อนเบาะให้อยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสมก่อนนะครับ





มือจับศาสดามี 4 จุดรอบคัน และมีไฟเก๋งอยู่ตรงกลาง





ฝาท้ายด้านหลังเปิดด้วยระบบอัตโนมือนะครับ



ที่เก็บของด้านท้ายมีขนาดใหญ่ มีแผงปิดสัมภาระที่สามารถพับและยกออกได้ ตัววัสดุแข็งแรง คงทนครับ





เมื่อพับเบาะราบลง และเมื่อพับเบาะกระดกขึ้น ก็จะมีพื้นที่เก็บสัมภาระเพิ่มขึ้นตามภาพครับ





ยางอะไหล่เป็นล้ออัลลอย 17 นิ้ว จะถูกซ่อนไว้ด้านล่างของแผ่นรองพื้น พร้อมกับอุปกรณ์ทั้งหลายครับ



นอกจากนี้ยังมีไฟเก๋งด้านหลัง และมีช่อง Power Outlet ด้านหลังอีก 1 ช่อง

[Chitta_P]

Performance

Honda CR-V G3 ในรุ่นเครื่องยนต์ 2.0 ลิตร จะเป็นเครื่องรหัส R20A เบนซิน 4 สูบ SOHC 16 วาล์ว 1,998 CC พร้อมระบบแปรผันวาล์ว i-VTEC ให้กำลังสูงสุด 150 แรงม้า (PS) ที่ 6,200 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 19.36 กก.-ม.ที่ 4,200 รอบ/นาที รองรับน้ำมัน E20 ได้







เครื่องตัวนี้เมื่อเทียบกับขนาดรถ จะอืดและมีการตอบสนองของคันเร่งช้าในช่วงออกตัว และในย่านความเร็วต่ำ แต่ถ้าเลยช่วง 90-100 ไปแล้วก็ถือว่ามีเรี่ยวแรงพอสมควรครับ
อัตราสิ้นเปลืองในเมือง 6-8 กิโลเมตร/ลิตร และนอกเมือง 9-11 กิโลเมตร/ลิตร โดยถือว่ากินน้อยกว่ารุ่นพี่ก่อนหน้านี้ แต่ก็ถือว่าซดอยู่ดีครับ

สำหรับอัตราเร่ง 0-100 ที่เกียร์ D ได้ตามนี้ครับ



ระบบส่งกำลังจะเป็นเกียร์อัตโนมัติ 5  สปีด พร้อมปุ่ม Overdrive
ให้อัตราทดเกียร์ที่เกียร์ 1 : 2.785
      เกียร์ 2 : 1.684
      เกียร์ 3 : 1.128
      เกียร์ 4 : 0.772
      เกียร์ 5 : 0.592
      เกียร์ถอย : 2.000



ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อจะเป็นแบบอัตโนมัติ โดยจะขับเคลื่อนล้อหน้าในเวลาปกติ แต่เมื่อล้อใดล้อนึงสูญเสียการทรงตัว ระบบจะปรับเป็นขับเคลื่อน 4 ล้อให้ (สติ๊กเกอร์กรอบแตกตามกาลเวลา)



พวงมาลัยพาวเวอร์แร็คแอนด์พีเนียน แบบ EPS (Electronic Power Steering System) ให้การตอบสนองที่เบาในความเร็วต่ำ และจะนิ่งขึ้นในย่านความเร็วที่สูงขึ้น เนื่องด้วยการเซ็ตที่เน้นการใช้งานในเมืองมากขึ้นครับ



ช่วงล่างด้านหน้าเป็นแบบอิสระ แมคเฟอร์สันสตรัท พร้อมเหล็กกันโคลง ด้านหลังเป็นแบบอิสระปีกนกคู่ ดับเบิลวิชโบนส์ พร้อมเหล็กกันโคลง ฟีลลิ่งในการขับขี่ ในย่านความเร็วต่ำนั้น ค่อนข้างแข็งไปจนถึงกระด้าง มีตึงตังเวลาขับผ่านหลุมหรือลูกระนาด ในย่านความเร็วสูง ค่อนข้างเฟิร์ม กระชับพอสมควร แต่ก็ยังมีอาการโคลงตามแบบฉบับของรถยกสูง แต่ข้อเสียหลักๆของรถค่าย H ที่สืบทอดมาถึงทุกวันนี้คือการเก็บเสียง เพราะคุณสามารถรู้เลยว่าคุณกำลังขับผ่านพื้นกรวด พื้นหิน คุณภาพเสียงคมชัดขนาด Dolby Digital กันเลยทีเดียว

ล้อติดรถของรุ่น 2.0 ลิตร จะเป็นล้อขนาด 17 นิ้ว 5 ก้านลายกลีบดอกไม้ สวมยางขยาด 225/65/R17 ระบบเบรกจะเป็นดิสก์เบรกทั้ง 4 ล้อ ซึ่งกดตามเท้าเลย ตอนใช้ใหม่ๆยังไม่ชิน มีหัวทิ่มกันบ้างครับ

[Chitta_P]

Safety & Security

ด้านระบบความปลอดภัย ทางค่ายฮอนด้าในสมัยนั้นก็ใส่มาให้พอสมควร(??) ไม่ว่าจะเป็น

- ระบบเบรก ABS
- ระบบกระจายแรงเบรก EBD
- ระบบเสริมแรงเบรก (BA)
- ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ Cruise Control
- ระบบกันขโมยแบบ Immobilizer



- เซนเซอร์กะระยะถอย 4 จุด



- ถุงลมนิรภัยคู่หน้า 2 จุด

[Chitta_P]

สรุป

สำหรับ Honda CR-V G3 เป็นรถรุ่นหนึ่งที่ได้รับความนิยมในบ้านเราเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะรุ่น 2.0 ลิตรที่พบปะเพื่อนพี่น้องได้มากมายบนท้องถนนมาจนถึงปัจจุบัน และยังถือว่าเป็นรถมือสองยอดนิยมอีกรุ่นหนึ่ง หากจะหาเหตุผลว่าทำไม ก็คงเป็นเพราะความอเนกประสงค์ที่เป็นจุดขายของ CR-V มาตั้งแต่รถรุ่นนี้ถือกำเนิดในปี 1995 และที่สำคัญคือ ดีไซน์ที่ดูฉีกจากรุ่นก่อนหน้านี้ทั้ง 2 รุ่น ซึ่งดูลงตัว สวยงาม เป็นเอกลักษณ์ และดูไม่เชย ไม่ตกรุ่น หรือที่หลายๆคนเรียกติดปากกันว่า  Timeless Design แม้ว่าเวลาจะผ่านมาร่วม 16 ปีนับตั้งแต่เปิดตัว



ดังนั้น นิยามที่จะมีให้กับ CR-V G3 ก็คงเป็นเนื้อเพลงท่อนนึงของพี่กบ ทรงสิทธิ์ที่ว่า
“รักของเรายังใหม่...ยังไม่เก่าเลย” นั่นเองครับ



---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ขอบคุณสำหรับทุกการรับชมและทุกความคิดเห็นนะครับ



---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
สงวนลิขสิทธิ์รีวิว และลิขสิทธิ์ภาพถ่าย ทั้งหมดเป็นผลงานของผู้เขียนแต่เพียงผู้เดียว
ห้ามคัดลอก หรือดัดแปลงโดยไม่ได้รับอนุญาต ไม่ว่ากรณีใดๆทั้งสิ้น

[คุณ นมๆ]

ผมว่าhondaยุคนั้นออกแบบได้Timelessทุกรุ่นเลยนะคับ city, jazz ge, civic fd, crvรุ่นนี้ก็สวย

[Chitta_P]

ผมว่าhondaยุคนั้นออกแบบได้Timelessทุกรุ่นเลยนะคับ city, jazz ge, civic fd, crvรุ่นนี้ก็สวย

ใช่ครับ แต่ละคันยังเห็นบนถนนบ่อยมากๆ แถมมือสองก็ยังคงได้รับความนิยมกันอยู่ด้วย

[Trafalgar]

ถ่ายรูปสวยมากครับ ใช้กล้องอะไรถ่ายครับ

[Chitta_P]

ถ่ายรูปสวยมากครับ ใช้กล้องอะไรถ่ายครับ

ขอบคุณครับ
ใช้กล้อง Canon 7D mark II ครับ

[Tien.W]

ไม่รู้สิ .. ผมยังรู้สึกดี รู้สึกพรีเมี่ยม ทุกครั้ง ที่ขึ้นขับ G3 ถึงภายในจะพลาสติคซะเกือบหมด แต่ก็พลาสติคเกรดดี ไม่ดู low cost แบบ City Turbo

อัตราเร่ง .. ขอกล่องคันเร่งสักใบ เดี๋ยวนี้พันกว่าบาท ตั้งเบอร์ต้นๆ แค่นี้ก็ว่องไวขึ้นเยอะจนแทบจะเป็นคนละคันแล้วครับ

ช่วงล่าง .. แข็ง แต่โยน มีคนนั่งหลังหน่อย เจอลูกระนาดสูง ท้ายจะเด้งดึ๋งเชียว ทางแก้ คือ หาโช้คอัพ อัพเกรดครับ พวก Tein ไม่ได้แข็งกว่าเดิม แต่อาการโยนหายหมด ขับดีกว่าเดิมเยอะ

เบรค .. ตัว MC จะถูกตัด BA ออก อาการแตะแล้วหน้าทิ่มแบบก่อน MC จะไม่มี แต่สำหรับผม มันก็ไหลอยู่ดีแหละ ข้อดีของผ้าเบรคติดรถคือ มันทน คุยกันแสนกว่ากม.ยังไม่หมดเลย แถมไม่กินจานด้วย

ภายใน .. ผมติเรื่องหมอนอิงศีรษะ มันดันหัวมากไปหน่อย ขับทางไกล แล้วปวดคอ ครับ แต่ที่ท้าวแขนถือว่าดีงามเลยล่ะ

จุดอ่อน

1. ท้าวแขน ที่แผงประตู ถ้าเอาศอกท้าวประจำ หนังจะย่นและขาด ด้านคนขับ ผมเปลี่ยนมาแล้ว เหมือนเป็น part upgrade หนังลายไม่เหมือน แต่นี่พองอีกแล้ว (อันละ 900)

2. คิ้วรีดน้ำกระจกประตู ทั้ง 4 บาน ตัวยางเปื่อย ละลาย .. เส้นละ 1.7 พัน แต่ของเทียมก็ถูกกว่าครึ่งนึง

3. ยางรองแป้นเบรคมือ(ที่เท้า) อันนึงไม่ถึงร้อย แต่หลังๆแตกง่ายมาก

4. ไฟเพดาน ติดบ้าง ไม่ติดบ้าง เบิกใหม่ 700 มั้ง แต่ถอดมาขัดขั้วได้ แต่ต้องงัดดีๆไม่งั้นบิ่น

นอกนั้น ว่ากันตามอายุรถ กับ ความซนของเจ้าของเอง นี่แหละ

[Chitta_P]

ไม่รู้สิ .. ผมยังรู้สึกดี รู้สึกพรีเมี่ยม ทุกครั้ง ที่ขึ้นขับ G3 ถึงภายในจะพลาสติคซะเกือบหมด แต่ก็พลาสติคเกรดดี ไม่ดู low cost แบบ City Turbo

อัตราเร่ง .. ขอกล่องคันเร่งสักใบ เดี๋ยวนี้พันกว่าบาท ตั้งเบอร์ต้นๆ แค่นี้ก็ว่องไวขึ้นเยอะจนแทบจะเป็นคนละคันแล้วครับ

ช่วงล่าง .. แข็ง แต่โยน มีคนนั่งหลังหน่อย เจอลูกระนาดสูง ท้ายจะเด้งดึ๋งเชียว ทางแก้ คือ หาโช้คอัพ อัพเกรดครับ พวก Tein ไม่ได้แข็งกว่าเดิม แต่อาการโยนหายหมด ขับดีกว่าเดิมเยอะ

เบรค .. ตัว MC จะถูกตัด BA ออก อาการแตะแล้วหน้าทิ่มแบบก่อน MC จะไม่มี แต่สำหรับผม มันก็ไหลอยู่ดีแหละ ข้อดีของผ้าเบรคติดรถคือ มันทน คุยกันแสนกว่ากม.ยังไม่หมดเลย แถมไม่กินจานด้วย

ภายใน .. ผมติเรื่องหมอนอิงศีรษะ มันดันหัวมากไปหน่อย ขับทางไกล แล้วปวดคอ ครับ แต่ที่ท้าวแขนถือว่าดีงามเลยล่ะ

จุดอ่อน

1. ท้าวแขน ที่แผงประตู ถ้าเอาศอกท้าวประจำ หนังจะย่นและขาด ด้านคนขับ ผมเปลี่ยนมาแล้ว เหมือนเป็น part upgrade หนังลายไม่เหมือน แต่นี่พองอีกแล้ว (อันละ 900)

2. คิ้วรีดน้ำกระจกประตู ทั้ง 4 บาน ตัวยางเปื่อย ละลาย .. เส้นละ 1.7 พัน แต่ของเทียมก็ถูกกว่าครึ่งนึง

3. ยางรองแป้นเบรคมือ(ที่เท้า) อันนึงไม่ถึงร้อย แต่หลังๆแตกง่ายมาก

4. ไฟเพดาน ติดบ้าง ไม่ติดบ้าง เบิกใหม่ 700 มั้ง แต่ถอดมาขัดขั้วได้ แต่ต้องงัดดีๆไม่งั้นบิ่น

นอกนั้น ว่ากันตามอายุรถ กับ ความซนของเจ้าของเอง นี่แหละ

อาการรถที่ว่ามา เจอมาครบเลยครับ โดยเฉพาะไฟเพดานนี่ เหนื่อยจะแก้ละครับผม

[Tien.W]

ล่าสุด ไฟเพดาน เจอใน shopee ของใหม่ made in japan พันกว่าบาท ตัวปุ่มเลื่อน มันมีสปริง เลื่อนแล้วดูแข็งแรง วัสดุ ดูดีกว่าชัดเจนครับ

[Chitta_P]

ล่าสุด ไฟเพดาน เจอใน shopee ของใหม่ made in japan พันกว่าบาท ตัวปุ่มเลื่อน มันมีสปริง เลื่อนแล้วดูแข็งแรง วัสดุ ดูดีกว่าชัดเจนครับ

ขอบคุณครับ 
เดี๋ยวจะลองแนะนำให้ที่บ้านดูครับผม