มีนักทฤษฏีเศรษฐศาสตร์คนนึงแถวนี้เค้าบอก Asean-China FTA เจรจากันไม่ถูกหลักการการค้าระหว่างประเทศ
หลักการที่เค้าว่าคือ "แต่ละประเทศจะผลิตสิ่งที่ตนเองถนัด และซื้อขายแลกเปลี่ยนกันในสิ่งที่ตนเองขาดแคลน ในกรณีของไทย
สิ่งที่ตนเองถนัดคือ อิเล็ค รถยนต์ เกษตร "
เอาง่ายๆ ลองมาแกะดูว่า จริงๆแล้วไทยมันเก่งถนัด BEV รึ? หรือพยายามเสร่อฝืนให้ได้เพราะ raw mat ไม่มี สกิล human capital เราไม่มี เรียกว่าเราโคตรถนัดผลิตเลยจริงๆ
แล้วเอาเข้าจริงๆ ไทยมีความถนัดผลิตรถแค่ไหนเพราะเอาแค่ตอนนี้ ICE ยังลากเลือดได้แต่รับจ้างขันน็อตประกอบไปวันๆมาตลอด 60 กว่าปี
แต่เราถนัดสินค้าเกษตร ส่วนจีน เมกาพวกนี้มันถนัด BEV พวกนี้ต้องการสินค้าเกษตร ก็มาแลกเปลี่ยนกัน
ด้านจีน คู่ค้ารายใหญ่ของไทย ถนัด BEV, สินค้า IT และอื่นๆร้อยแปดยกเว้นพวกยาแผนใหม่ วัคซีน (Sinojunk ตัวอย่างชัดเจน) ยิ่งสินค้าเกษตรอย่างพวกผลไม้ก็ไม่พอ มี demand ในประเทศเยอะ ก็แลกเปลี่ยนกับประเทศที่ถนัดสินค้าเกษตรอย่างไทย เวียดนาม
สรุปถ้าเอาหลักการตามที่นักทฤษฏีเศรษฐศาสตร์พล่ามมา เราก็เจรจา Asean-China FTA เพื่อแลกเปลี่ยนสิ่งที่เราถนัดกับจีนถนัด ; BEV จีนมา สินค้าเกษตรเช่นผลไม้เราส่งไปไม่มีภาษีนำเข้า win-win ทั้งคู่ ชอบธรรม happy ดีเพราะเราเลือกแบบนั่น จีนไม่ได้บังคับ จีนก็ happy ได้สินค้าจากเราที่เค้าต้องการ
นักทฤษฏีเศรษฐศาสตร์มาใหม่ บอกไม่ได้ เราไม่ถนัด BEV แต่เราเจรจาแลกเปลี่ยนกับคู่ค้าที่ถนัดอย่าง จีน เมกาไม่ได้
เพราะรถยนต์ ไม่ว่าจะรถแบบไหน มันก็เป็นสินค้าชนิดเดียวกัน เห็นชัดๆ อยู่ว่า bev เป็นสินค้าทดแทน สันดาป ได้ BEV เป็นสินค้าทดแทนรถน้ำมันที่เราไม่มีความถนัด ตามหลักการเราสมควรแลกเปลี่ยนซื้อขายกับคู่ค้าที่ถนัดด้าน BEV แต่ตามตรรกะนักทฤษฏีเศรษฐศาสตร์มันมาประมาณนี้ มันจะเป็นว่า เราไม่ถนัด BEV แต่เราต้องฝืนผลิต BEV ตั้งกำแพงภาษีนำเข้าประสาทแดก ไม่ต้องนำเข้าจาก ตปท. ซึ่งย้อนแย้งกับสิ่งที่นักทฤษฏีเศรษฐศาสตร์คนนี้เค้าอ้างตั้งแต่ตอนแรกว่า
แต่ละประเทศจะผลิตสิ่งที่ตนเองถนัด และซื้อขายแลกเปลี่ยนกันในสิ่งที่ตนเองขาดแคลน อืม.......