ผู้เขียน หัวข้อ: รถ ErEv จะสามารถลดต้นทุนการผลิต และลดเบี้ยประกันภัยจากขนาดแบตเล็กลงหรือไม่  (อ่าน 1614 ครั้ง)

ออฟไลน์ Fong

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 3,538
  • Make a Choice and Don't Look Back
    • อีเมล์
ขอความเห็นทุกท่านครับ ในแง่ค่าใช้จ่ายโดยรวมของรถ ErEv จะตอบโจทย์มากกว่ารถ BEV หรือไม่
(ErEV รถไฟฟ้าที่มี เครื่องยนต์ปั่นไฟเพื่อชาร์จแบต ขยายระยะทาง อารมณ์เหมือน Nissan Kicks ที่มีแบตใหญ่เสียบชาร์จไฟบ้านได้)

ผมได้ลองเปรียบเทียบราคาแบตใหม่ปี 2024 ของ BYD
[ ** ขออนุญาตอ้างอิง https://community.headlightmag.com/index.php?topic=88502.0 ** ]
แบต Seal Performance 82.56kWh ราคา 536,411.21 บาท
แบต Dolphin Standard 44.9kWh ราคา 309,364.49 บาท
ราคาต่างกัน 227,046.72 บาท (หรืออาจจะต่างกันได้ถึง 2.5 แสนบาท ถ้าให้แบตเล็กลงกว่านี้)

ถ้ายังไม่สนใจอัตราภาษีนำเข้า และภาษีสรรพสามิต

ถ้าลดขนาดแบตลงครึ่งหนึ่ง และไปเพิ่มเครื่องยนต์ขนาดเล็กพร้อม Generator ในการปั่นชาร์จแบตขยายระยะทางได้
โดยการซ่อมบำรุงเครื่องยนต์ ก็จะนับระยะเวลา 6 เดือน หรือตามชั่วโมงทำงานของเครื่องยนต์ (น่าจะทำระบบนับชั่วโมงทำงานเครื่องยนต์และแจ้งเตือนเข้าเช็คระยะได้ไม่ยาก)
 - รายการเปลี่ยนน้ำมันเกียร์ก็จะหายไป
 - หากใช้คอมแอร์ไฟฟ้า และไดร์สตาร์ต่อตรง ก็จะไม่ต้องมีสายพานหน้าเครื่อง
 - สายพานราวลิ้น หากเป็นแบบโซ่ก็จะลดความกังวลลงไปได้อีก (แต่อาจได้เสียงดังมาแทน)

ข้อดีที่อาจจะได้รับ
 - แบตไม่ต้องใหญ่มาก ค่าเปลี่ยนแบตในอนาคตก็อาจจะถูกลง
 - ไม่ต้องกังวลเรื่องการหาที่ชาร์จ ในการขับทางไกล
 - เครื่องยนต์เล็ก ใช้น้ำมันเครื่องน้อย กรองอากาศ กรองเครื่องก็ไม่ต้องใหญ่โต ทำราคาอะไหล่ได้ถูก
 - พอแบตเล็กลง และไม่มีความเสี่ยงแบตหมดรถตายกลางทาง ค่าประกันภัยก็อาจจะถูกลงได้ (ช่วยเหลือฉุกเฉิน / บริการรถสไลด์ ก็อาจจะไม่บ่อยเท่า)

ข้อเสียที่อาจจะเจอ
 - ซ่อมบำรุงทุก 6 เดือนแบบรถน้ำมัน หรืออาจเร็วกว่านั้นถ้าใช้รถเยอะ (ซึ่งบ่อยกว่ารถไฟฟ้าแน่นอน)
 - ค่าซ่อมบำรุงแพงกว่า (ไม่นับราคาเปลี่ยนแบต)
 - เครื่องยนต์อาจจะดังรบกวนในขณะชาร์จไฟ อาจมีต้นทุนในการบุฉนวนกันเสียงมากขึ้น
 - รถอาจจะสั่นมากขึ้นหากแท่นเครื่องเริ่มเสื่อมสภาพ
 - น้ำหนักรถอาจจะลดลงหรือมากขึ้น อยู่ที่น้ำหนักเครื่องยนต์ที่มาแทนขนาดแบตที่ลดลง แต่การ balance น้ำหนักอาจจะยุ่งยากกว่าเดิม และอาจจส่งผลกับการทรงตัว
 - อาจต้องเสียพื้นที่เก็บของด้านหน้า เพราะต้องมีเครื่องยนต์ (แต่รถไฟฟ้าบางรุ่นก็ไม่มีที่เก็บของด้านหน้าอยู่แล้ว)

นึกไม่ออกละครับ ทุกท่านมีความเห็นเสริมอย่างไร โปรดชี้แนะ
ปล1. ส่วนตัวคิดอยู่บ่อยๆว่าหาก Nissan Kicks ใส่แบตให้ใหญ่ขึ้นและเสียบชาร์จได้ เพียงพอต่อการขับสัก 150-200กิโลเมตร เราอาจจะแทบไม่ได้ใช้เครื่องยนต์เลยในการขับ Daily Use ก็คงจะมีคนสนใจมากขึ้น
แต่ราคาอาจจะสูงขึ้นกว่าเดิมมากกว่า 2 แสนบาท เป็นโจทย์ที่ยากจริงๆครับ

ปล2. โครงสร้างภาษีตอนนี้ ทำให้ตลาดบิดเบือน และอาจไม่เป็นธรรมกับบางราย เหนื่อยใจแทนจริงๆครับ
Isuzu มังกรทอง, Accord G4, Colorado, Hilux Tiger, Lancer MK I, Triton, D-Max Cab4, TiiDA, Mazda2 MK I, Mazda2 MK II, D-Max Space, Fortuner Champ, Sunny B14, Jazz GK, Accord G9, Mazda2 Sky, GLA200, Yaris, Alphard30, Lancer MK II, Lander MK III, Ranger MC, XL7, Forester SK, Swift

ออฟไลน์ mamaman

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 6,214
    • อีเมล์
ที่พูดมาไม่ต่างอะไรกับ รถ HEV หรือ PHEV เลยครับ
คุณจะแบก เครื่องปั่นไฟทำไม ในเมื่อ รถ HEV มันก้คือรถที่ปั่นไฟฟ้า มาขับเคลือน
รถ HEV จะทำราคาต่ำลงมาสู้กับ BEV จีนและ เป็นรถที่มีความทนทานและมีอัตราการประหยัดน้ำมัน สูง

การแบกเครื่อปั่นไฟ ERev ไม่ช่วยในแบต BEV มีขนาดเล้กลงครับ
สิ้นเปลือง ไร้สาระมาก

ถ้าอยากขับ EV แค่ในเมื่อง ก็แนะนำ PHEV ดีกว่า

ความเห็นผม ต้องเป็น รถ HEV ที่เพิ่มโหมด PHEV จะประหยัดกว่า

ออฟไลน์ Symphonic

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 2,549
บางทีคิดอะไรไปไกลมาก  ลองหันกลับมาดูอะไรที่ใกล้ตัวก็ดีนะครับ
รถ HEV ของ …  กินโซฮอล 95 ที่ กิโลละ 1.7 บาท (คิดที่ลิตรละ 40 ไปเลย)
ค่าบำรุงรักษาอื่นๆ ประกัน ยาง ก็ทั่วๆไป ไม่มีค่าแบตหลักแสนรออยู่ในวันนึงข้างหน้า

ไม่ต้องต่อสู้ ไม่ต้องทะเลาะ ไม่ต้องพลิกแพลง ไม่ต้องปรับตัว ไม่ต้องระแวง
ไม่มีอะไรให้กังวล

แล้วทำไมต้องไปคิดตลบตะแลงอะไรให้ยุ่งยากขนาดนั้นครับ

เพียงแค่เราตั้งแง่บางอย่างใช่มั้ย

ออฟไลน์ PaPaMan

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 1,095
เป็นสิ่งที่ผมรอคอยครับ และอยากให้มีมาขายบ้านเรา


รถแบบนี้ยอดขายในประเทศจีนเริ่มมากขึ้น สวนทางกับ BEV ที่เริ่มลดลง (จนรัฐต้องเข็นมาตรการเงินอุดหนุนออกมาอีกครั้ง) เพราะประเทศจีนมีขนาดใหญ่โต BEV มันไม่ค่อยตอบโจทย์การใช้งานตามต่างจังหวัดครับ


ลองดูรถ PHEV บ้านเราสิครับ รุ่นใหม่ๆก็พยายามใส่แบตให้โตขึ้นเพื่อให้เพียงพอกับการใช้งานในเมืองประจำวัน ถ้ามี EREV ออกมาจะช่วยลดจุดด้อยของการใช้ BEV เมื่อเดินทางไกลได้ ส่วนการใช้งานประจำวันในเมืองก็เทียบเท่ากับ PHEV ที่มีขนาดแบตที่ใหญ่ขึ้นครับ


สรุปรวมมันคือการหาจุดสมดุลของ BEV และ PHEV โดยการนำจุดเด่นของรถทั้งสองแบบมาใช้นั่นเองครับ

ออฟไลน์ apinui

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 4,124
    • อีเมล์
บางคนก็เห็นด้วย บางคนก็ไม่เห็นด้วย ก็ต่างๆกันไป .. แต่สำหรับผมเนี่ย ... ชอบนะและเห็นด้วยที่จะมีรถแบบ Kick ออกมาขายมากๆ

ที่ชอบเหตุผลก็ดังนี้ครับ

1.รถวิ่งด้วยกำลังมอเตอร์ไฟฟ้า ได้อัตราเร่ง แรงบิด ที่ดีจากมอเตอร์
2.ไม่ต้องกังวลหาที่ชาร์จ เติมน้ำมันวิ่ง ทางไกลได้ ในเมืองก็ประหยัด ขึ้นเขาเข้าดอยไปได้หมด
3.เป็นรถคันเดียวของบ้านได้

เพียงแต่รถที่มีในตอนนี้ ยังไม่พัฒนาเท่าที่ควรครับ จาก Kick เนี่ย อย่างแรกเลย
-เครื่องยนต์ทำงานมากเกินไปในการเดินทางไกล
-เครื่องยนต์ ทำงานเสียงดัง ไม่นิ่งเงียบ ทำให้รู้สึกว่ายังขับรถน้ำมันอยู่

ตามความคิดเห็นผมแนวการพัฒนาคือ ทำยังไงก็ได้ให้เครื่องยนต์ที่ปั่นไฟ ทำงานนิ่งและเงียบกว่านี้ ไม่จำเป็นต้องติดๆดับๆก็ได้ แบบติดตลอด แต่ให้ทำงานในรอบเดินเบาที่พอเหมาะ ส่วนความเร็วสูง ก็ทำให้เครื่องทำงานเงียบ เรียบขึ้นกว่าเดิม ซึ่งตอนนี้ที่เห็นคือ  kick เอาเครื่องเก่าเครื่องโบราณมาใช้ ซึ่งถ้าเอาเครื่องยนต์ที่ดีกว่านี้ เทคโนโลยีสูงกว่านี้ก็น่าจะตอบโจทย์ตรงนี้ได้

ส่วนการดูแลรักษา ก็ยืดจากเข้าศูนย์ที่ 1หมื่นโล ก็ลากไปสัก 2 หมื่นโลก็น่าจะได้  เครื่องยนต์ที่เป็นเครื่องปั่นไฟ ทำงานที่รอบคงที่ตลอดเวลา การสึกหรอมันไม่มากอยู่แล้ว

ออฟไลน์ nmd

  • Full Member
  • ***
  • กระทู้: 224
ผมสังสัยเรื่องราคาแบตที่แท้จริงของรถ EV มากกว่าครับ

เพราะการที่สามารถกดราคาขายได้ต่ำขนาดนั้น แต่การเปลี่ยนแบตใหม่กลับแพงมาก

ไม่แน่ใจว่าตอนขายยอมขาดทุน หรือที่จริงแล้วแบตอาจจะราคาถูกก็ได้

ออฟไลน์ punn

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 1,587
  • may the force lead your way ...
ต้นทุนการผลิตคงไม่น่าลดแน่ๆ เพราะเหมือนเอา 2 ระบบมาจอยกัน
ส่วนเบี้ยประกันภัยถ้ารถที่เป็น erev รุ่นใหญ่ๆก็จะมีขนาดแบตไม่ต่างจากรถ bev รุ่นเล็กๆกันเลย

ส่วนโจทย์การใช้งาน ผมมองว่า erev , phev เหมาะสำหรับคนที่ใช้รถไม่นานเท่าไหร่ เต็มที่ไม่เกิน 10 ปี
เพราะเมื่อเกินแล้วส่วนที่เป็นน้ำมันก็จะเริ่มจุกจิก ส่วนที่เป็นไฟฟ้าก็จะเริ่มเสื่อม
ซ่อมส่วนน้ำมันเสร็จไฟฟ้ามีปัญหาหรือซ่อมไฟฟ้าเสร็จส่วนน้ำมันมีปัญหา  :-X

จุดแข็งของ bev คือการลดชิ้นส่วนจากรถน้ำมัน ตั้งแต่ 10 ถึง 100 เท่า
พอเป็นรถ erev ชิ้นส่วนก็จะมากขึ้น 101% จนถึง 110 กว่าเปอร์เซ็นต์ของรถน้ำมันอย่างเดียว

สำหรับสายใช้รถยาวๆน่าจะไปทางระบบใดระบบหนึ่งเป็นหลักมากกว่า
ซึ่ง hybrid พวก toyota ยังตอบโจทย์การใช้ระยะยาวในระดับหนึ่ง
พอส่วนไฟฟ้ามีปัญหาก็ไปปิดใช้แต่ส่วนน้ำมันต่อได้เป็นต้น

เหมือนค่าย V ที่ใช้แต่ไฟฟ้าก็จะหมด warranty รถ
คือบังคับให้ต้องใช้น้ำมันวิ่งบ้าง แสดงให้เห็นถึงความเป็นภาระซึ่งกันและกัน(เมื่อมีทั้ง 2 ส่วน)

หรือพวกรถไฟฟ้า bev พอใช้ระยะยาวเราก็สามารถวางแผน maintenance ได้ง่ายเพราะชิ้นส่วนน้อย

ที่จีนเขารวยกันสามารถเปลี่ยนรถได้บ่อยๆจากรายได้ต่อหัวที่สูง ใช้ไปไม่ชอบก็เปลี่ยน
แต่ในไทยคาดว่าโดนสงครามการเมืองระดับท้องถิ่นและระดับโลก จีน- เมกา คอยตัดกำลัง
ถ้าจะมีรายได้ต่อหัวระดับประเทศที่พัฒนาแล้วคงอีกนาน

ผมเลยมองว่าตลาดในไทยไม่น่าตอบโจทย์ erev หรือ phev
เพราะประเทศไทยก็ไม่ได้ใหญ่มาก ปั๊มน้ำมันก็หาเติมได้ง่าย แล้วจะแบกแบตใหญ่ๆให้หนักไปทำไม

ส่วนโจทย์การใช้งานในแต่ละวัน พวก erev หรือ phev ก็อาจตอบโจทย์พวกวิ่งระยะยาวต้องการความประหยัดบ้าง แต่เน้นเวลามากกว่า
เพราะถ้าต้องการความประหยัดเต็มที่รถ bev ตอบโจทย์กว่า อาจจะต้องวางแผนเพิ่มอีกสักเล็กน้อย
แต่ถ้าคิดในมุมกลับกันคือการวางแผนของเราเป็นเงินเป็นทองเพื่อช่วยในการประหยัด ทำไมจะทำไม่ได้ ฮา

เป็นข้อมูลเท่าที่พอนึกออกในตอนนี้ครับ  :-\
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กรกฎาคม 29, 2024, 14:40:40 โดย punn »
เป็นคนโลกปกติธรรมดา :)
ไม่โลกสวย และไม่โลกมืด อยู่กับความเป็นจริงและพลังงานบวก ..

ปราชญ์สอนสิ่งไหน คนก็จะจำสิ่งนั้น
ประสบการณ์เจอแบบไหน คนก็จะคิดทางนั้น
ต่างคนต่างประสบการณ์เรียนรู้สิ่งเดียวกัน ก็จะออกมาแตกต่างกันไปครับ

ออฟไลน์ Floppy-T

  • Sr. Member
  • ****
  • กระทู้: 850
PHEV น่าจะตอบโจทย์สุด แต่เหมือนยังไม่มีใครทำ HEV + PHEV

ออฟไลน์ NNIICCKK

  • Jr. Member
  • **
  • กระทู้: 122
เห็นด้วยกับ Er-ev นะครับ ส่วนตัวมีทั้ง Kick และ Tesla

รถในฝันตอนนี้คืออยากให้มีรถแบบ Kick ที่มอเตอร์แรงขึ้น แบตใหญ่ขึ้น ขอสัก 200 Km ให้ขับไปทำทุระทั้งวันได้ และยังมีเครื่องปั่นไฟไว้เติมน้ำมันเวลาขับทางไกล

ซึ่งมันคือการรวมข้อดีของทั้งระบบ EV และ ICE เข้าด้วยกัน และมันไม่เหมือนกับ HEV หรือ PHEV แน่ๆ

ออฟไลน์ MyName

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 6,985
  • I'm............................
ประเด็นที่ทำให้รถ xEV มีต้นทุนสูงจริงๆ ก็คือแบตนี่แหละครับ
EREV / PHEV ต่อให้มีแบตที่เล็ก แต่ต้นทุนสันดาปบวกกับแบตที่มี ก็ไม่ทำให้ต้นทุนการผลิตลงได้มากนัก
ส่วนเบี้ยประกันภัยก็อีกเรื่อง

จริงๆ Kicks นี่ concept เกือบจะดีนะครับ แต่พอได้ขับยาวๆ ก็เห็นจุดบกพร่องที่ยังสามารถนำไปปรับปรุงแก้ไขได้อีกมาก
แต่ถ้าเทียบราคาตอนนี้ก็ยอมรับว่ามันก็สมเหตุสมผลกับที่เป็นอยู่
2022 - Nissan Almera 1.0 Turbo VL
2016 - Mazda 2 1.5XD High Plus L
2008 - Mitsubishi Space Wagon 2.4 GLS Ltd. !User'Review Click here!
1997 - Daihatsu Mira Mint 850cc AT

ออฟไลน์ Auto

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 4,601
ผมสังสัยเรื่องราคาแบตที่แท้จริงของรถ EV มากกว่าครับ

เพราะการที่สามารถกดราคาขายได้ต่ำขนาดนั้น แต่การเปลี่ยนแบตใหม่กลับแพงมาก

ไม่แน่ใจว่าตอนขายยอมขาดทุน หรือที่จริงแล้วแบตอาจจะราคาถูกก็ได้
  เหมือนน้ำมันนะ  โอเปกขายถูกกว่านี้ก็ได้ แต่เขารวมกลุ่มพยายามดันราคาขายให้มากที่สุด ถ้าราคาถูกก็ลดกำลังการผลิตลง    ผู้ผลิตแบตมีไม่กี่รายในโลกนี้เท่านั้น  แถมทรัพยากรแร่ธาตุมีจำกัดคนที่ถือสัมปทานอยู่ก็คงไม่ขายราคาถูกให้แน่นอน    คงเอากำไรสูงสุดทุกฝ่ายนั่นละ เพราะตอนนี้ใครมีทรัพยากรเหล่านี้ในมือก็มีโอกาสแจ้งเกิดรถ EV ได้
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กรกฎาคม 30, 2024, 16:05:38 โดย Auto »

ออฟไลน์ Todd

  • Newbie
  • *
  • กระทู้: 38
ผมสังสัยเรื่องราคาแบตที่แท้จริงของรถ EV มากกว่าครับ

เพราะการที่สามารถกดราคาขายได้ต่ำขนาดนั้น แต่การเปลี่ยนแบตใหม่กลับแพงมาก

ไม่แน่ใจว่าตอนขายยอมขาดทุน หรือที่จริงแล้วแบตอาจจะราคาถูกก็ได้
  เหมือนน้ำมันนะ  โอเปกขายถูกกว่านี้ก็ได้ แต่เขารวมกลุ่มพยายามดันราคาขายให้มากที่สุด ถ้าราคาถูกก็ลดกำลังการผลิตลง    ผู้ผลิตแบตมีไม่กี่รายในโลกนี้เท่านั้น  แถมทรัพยากรแร่ธาตุมีจำกัดคนที่ถือสัมปทานอยู่ก็คงไม่ขายราคาถูกให้แน่นอน    คงเอากำไรสูงสุดทุกฝ่ายนั่นละ เพราะตอนนี้ใครมีทรัพยากรเหล่านี้ในมือก็มีโอกาสแจ้งเกิดรถ EV ได้

นั่นสิครับ หนีมาใช้รถไฟฟ้าก็ยังไม่พ้นเรื่องกลุ่มทุนพวกนี้อยู่ดี