[nobody123]

จากการแบบสอบถาม
https://community.headlightmag.com/index.php?topic=89620.0
จะเห็นได้ว่า ท่านทั้งหลายคิดว่า ชาร์จแบตรถ PHEV ด้วยน้ำมันไม่คุ้ม
ผมเห็นด้วยครับ มันแพงกว่าชาร์จที่บ้านเท่าตัวได้ หรือ ‘แพงเท่ากับตู้ชาร์จที่แพงสุดในไทย’ 10 บาทต่อ kW
ในอีกแง่ การไม่เสียเวลาจอดชาร์จ (จะแย่มากถ้าของรัฐที่จอดเต็มแล้วอยากชาร์จ แต่ต้องไปจอดชาร์จของเอกชนแพง ๆ) จขกท.มองว่า ‘คุ้มดี ไม่เสียเวลา’ โดยเมื่อมองจำนวนน้ำมันที่ผมเสียไปในการชาร์จ จะตรงกับที่สหรัฐสำรวจ เป๊ะเลย
‘According to the EIA (Energy Information Administration), in the US, approximately 0.08 gallons of petroleum liquids (including gasoline) are used to produce 1 kilowatt-hour (kWh) of electricity, which roughly translates to 0.3 liters of gasoline per kWh.‘

อีกประเด็นในประทู้ใหม่นี้ คือ เรื่องผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม เรามาดูกันครับ
จากกระทู้เดิม ผมได้ไฟ 2.9 kW ทำให้รถผมวิ่งในเมืองได้ 13 km
คำถามคือ รถผมปล่อย CO2equivalent เท่าใด?
เมื่อใช้ Gemini AI จะพบผลการปล่อย CO2e ต่อการปั่นไฟ 1 kWh ด้วยน้ำมันเบนซิน ‘263 g’
รถในแบบสอบถามผมชาร์จ 2.9 kW จึงปล่อย CO2e 263*2.9 = 762.7 g
เมื่อหาร 13 km จะตก km ละ 58.67 g CO2e
นับว่า ปล่อยมลพิษ จากการแปลงน้ำมันมาเป็นไฟฟ้า *น้อยมาก* ต่อ กิโลเมตร คือ มันสะอาดต่อประเทศ *มหาศาล* เทียบได้กับ BEV (หรืออาจดีกว่า)
ถ้าไม่มีท่านอื่นให้ความเห็นในทางอื่นจนผมเชื่อได้ ผมว่าพฤติกรรมผมตอนออกต่างจังหวัด จะเปลี่ยนเป็น ‘วิ่งเร็ว ๆ ผมชาร์จแบตด้วยน้ำมันแน่นอน เพื่อเอามาวิ่งไฟฟ้าตอนวิ่งช้า ๆ’
(เดิม ผมแทบไม่ชาร์จแบตด้วยน้ำมันตอนทริปไกล ๆ เลย)
ปล. ดังนั้น BEV และ PHEV สำหรับผม ตอนนี้ ปล่อยมลพิษเท่ากันแม้วิ่งระยะ หลักร้อยกิโลเมตร (เดิม ผมคิดว่ารถผมแย่กว่า BEV ถ้าขับไกล ๆ เพราะตอนความเร็วไม่สูงผมดันเผาเบนซิน แต่ตอนนี้ ผมรู้แล้วว่า *ถ้าผมชาร์จด้วยน้ำมันตอนความเร็วสูง ด้วยเงินเท่าจอดชาร์จตู้แพง จะทำให้ทุกย่านความเร็ว PHEV จขกท.ปล่อย CO2e เท่า BEV ทั่วไป)

[apinui]

ชาร์จแบ็ตด้วยน้ำมัน ความเห็นส่วนตัวผมคิดว่า คุ้มนะครับ คุ้มในแง่การใช้งานได้มากกว่าไปชาร์จตู้มากมาย

อย่างแรกก็ไม่เสียเวลา อย่างสองคือไม่ต้องกังวลระยะทางวิ่ง แค่เรามีเงินเติมน้ำมันด้วย แค่นี้ก็ไปได้ทั่วไทยแล้ว ไม่ต้องมากด MAP เปิดแผนที่วางแผนหาที่ชาร์จเอาเวลาไปหาที่เที่ยวดีกว่า

ส่วนการปล่อย CO2 ผมคิดว่ามันไม่น่ากังวลอะไรเลย ความเห็นผมอาจจะดูเห็นแก่ตัวไปหน่อย แต่ที่รู้ๆกัน CO2 มันดูดซับได้จากพืช ต้นไม้อยู่แล้ว ตราบใดที่โลกเรามีพืชไม่ว่าจะบนบกหรือในทะเล ที่ไหนผลิตออกซิเจนได้ ตรงนั้นมันก็ดูด CO2 ไปใช้ด้วยนั้นแหละ

ส่วนโลกร้อนนั้น ก็ดูท่าทีอเมริกาดูครับ โลกร้อนจริงๆ หรือ  Scam ปั่นกันขึ้นมาเป็นกระแส  ถ้ามันสำคัญ อเมริกาคงไม่ถอนตัวจากข้อตกลงปารีส

เพิ่มเติมว่า ประเทศจีนเป็นประเทศที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกมากที่สุดในโลก และมีเป้าหมายในการพัฒนาโรงงานอุตสาหกรรมให้เป็นโรงงานสีเขียว (green factory) ในเศรษฐกิจรูปแบบใหม่ที่ใช้คาร์บอนต่ำ โดยเพิ่มแหล่งพลังงานทดแทน (renewable energy) และทักษะความเชี่ยวชาญในเทคโนโลยี เช่น แบตเตอรี่และรถยนต์พลังงานไฟฟ้า

แต่การทำเหมืองแร่ในจีนกลับสร้างมลภาวะหรือมลพิษที่อันตรายกว่าการสร้าง CO2 หลายเท่า

[nobody123]

ครับ
ผมเห็นข้อดีอีกข้อพอดี ปั่นไฟจากรถ ไม่มี Loss ในสายส่ง 5-15%

[demo2]

นิสสันคิ๊กก็เจ๋งสุดเลย

[nobody123]

ขึ้นกับย่านความเร็วด้วยครับ
เมื่อวาน ผมลองชาร์จที่ความเร็วเฉลี่ยต่ำกว่า 100 km/h แล้ว ด้วยปริมาณน้ำมันเท่าเดิม ได้ไฟไม่เท่าเดิม (น้อยลง) ครับ
แต่มันเทียบยากระหว่างลิงค์ด้านบน กับ เมื่อวาน
เพราะ
ลิงค์ด้านบน ผมขับสี่
เมื่อวาน ผมขับหน้า

[PaPaMan]

ถ้าไฟไม่พอใช้จนถึงบ้านแล้วมีวิ่งลอยตัวแบบไปได้เรื่อยๆผมกดชาร์จหมดแหละครับ แล้วไปใช้ไฟฟ้าตอนวิ่งในเมืองวิ่งช้าๆหรือมีไฟแดงเยอะๆวิ่ง + จอดสลับกัน
ที่สำคัญคือไม่ควรชาร์จเกิน 80-90% เพราะช่วงที่ไฟเกิน 80-90% ประสิทธิภาพการชาร์จไฟมันจะไม่ดีครับ ทำให้เปลืองน้ำมัน เอาแค่ 80% จะดีที่สุดครับ
การเสียบชาร์จตามตู้สาธารณะมันเสียเวลาครับ ก็ต้องคิดเรื่องค่าเสียเวลาด้วยเพราะเวลาเป็นสิ่งที่มีค่า แต่ผู้ที่ใช้รถไฟฟ้ามักไม่ค่อยเอามาคิดกัน

[nobody123]

ขอบคุณที่ยืนยันครับ วันนี้ออกต่างจังหวัดอีกเส้น แล้วจะมารายงานให้ทราบครับ ว่า
เปลี่ยนพฤติกรรมจาก
ไม่ชาร์จที่ความเร็วสูง แล้วแบตหมด ต้องมานั่งเผาเบนซินที่ความเร็วกลาง
กับ
ชาร์จที่ความเร็วสูงไปเลย แล้วใช้ไฟฟ้าขับที่ความเร็วกลาง
เป็นอย่างไร

[davidom001]

ข้อมูลอาจจะมีความคลาดเคลือนหน่อยครับ อ้างอิงจากข้อมูลจาก อปก.
น้ำมันเบนซิน 1 ลิตรจะปล่อยคาร์บอนประมาณ 2.7080 kgCO2e = 2708 gCO2e
น้ำมันเบนซิน 1 ลิตรสามารถผลิตไฟฟ้าได้ประมาณ 3kw

ฉะนั้น ไฟฟ้าที่ผลิตจากน้ำมันเบนซินก็จะปล่อยคาร์บอนอยู่ที่ 2708/3 =902.667 gCO2e
ซึ่งจากข้อมูลรถของ จขกท แล้วจะปล่อยอยู่ที่ 902.667*2.9/13=201.364 gCO2e/km ครับ

ถ้าข้อมูลผิดพลาดอะไรสามารถแย้งได้เลยนะครับ

[nobody123]

ที่ระบุ 1 l -> 3 kW ค่อนข้างตรงกับผมวิ่งครับ (ผมวิ่งจริงได้ประสิทธิภาพสูงกว่านิด ๆ ด้วยซ้ำ)
แต่ท่านความเห็นก่อนหน้าอาจอ่านพลาด คือ ที่ผมค้น ไม่ใช่ CO2 ครับ แต่เป็น 'CO2equivalent' (ตัวเลข Gemini AI เป๊ะ ๆ เลย)

ส่วนเรื่องการเบิร์นเบนซินก่อ CO2 เท่าใด ผมค้น Gemini AI และ Natural Resource Canada และ comcar.co.uk และ http://localcfo.tgo.or.th และ  https://www.n-squared.co.th/post/environmental-impact-of-ev
ได้ต่ำกว่าตัวเลขคุณครับ คือ ประมาณ 1 l -> 2.275 kg of CO2

หากเราจะนำตัวเลขที่เจอในเน็ตส่วนใหญ่ เฉพาะ CO2 (ไม่ใช่ CO2e) มาคิด
PHEV จขกท.จะปล่อย CO2 = 0.84 l * 2275 gCO2ต่อl / 13 km  = 147 gCO2/km ครับ
แม้รถวิ่งชะลอตัว มีเกือบหยุดนิ่งด้วย (ดังที่บอกในลิงค์แบบสอบถาม ความเร็วเฉลี่ย 60 km/h) ซึ่ง ก็ยังออกมาดีอยู่ดี เมื่อเทียบกับฉลากผลิตภัณฑ์รถยนต์ต่าง ๆ
(ไม่เอาฉลาก EV ที่เอาตัวเลขกริดเมืองนอกมาติดเมื่อก่อนนะครับ เชื่อถือไม่ได้เลย กริดเรากริดเขา คนละเรื่องเลย)

[nobody123]

ครับ ไม่มีท่านใดให้ความเห็นอื่นแล้ว
(ขอบคุณท่านที่ให้ความเห็นแย้งมา ซึ่งผมก็เชื่อท่านครับ ผมคิดว่า Gemini AI มันเอาตัวเลขเครื่องผลิตไฟฟ้าเทพอะไรบางอย่างมาบอก)
สรุปจากข้อมูลที่ถกกัน เชิง CO2 เฉย ๆ (ไม่ CO2e ละกันนะครับ เพราะเพื่อนสมาชิกให้ข้อมูล CO2)
เสมือนขับในเมือง ประมาณ 0-90 km/h (ด้วยไฟที่ชาร์จด้วยน้ำมันนอกเมือง) 15 km/l
ย่อมสะอาดกว่า ICE คันเท่า ๆ กัน
แต่ไม่ได้ดีกว่า BEV แล้ว เพราะ BEV ไทย ปล่อย CO2 (ไม่ e) ตีกลม ๆ 100 g/km ที่ความเร็วดังกล่าว (ถ้าย่านความเร็ว 120 km/h จะเป็น 150 g/km)
ดังนั้น เสมือน การดำเนินการชาร์จด้วยน้ำมันด้วยความเร็วสูงถึงความเร็วอนุโลมนี้ ปล่อย CO2 เยอะกว่ารถ PHEV คันเดียวกันชาร์จบ้าน ประมาณ 50 g/km ครับ