เมื่อทาง Headlightmag.com ได้เปิดโอกาสให้บุคคลที่เป็นสมาชิกของเวปทำ Review รถของตัวเองขึ้นมา ผมจึงขอใช้โอกาสนี้เป็นเวทีฝึกหัดที่จะทำบททดสอบรถให้บุคคลทั่วไปได้อ่านกัน ซึ่งเป็นงานที่คนที่คลั่งใคล้รถยนต์อย่างผมมองว่า การที่ได้มีโอกาสไปทดสอบรถยนต์รุ่นใหม่ๆที่ออกสู่ตลาดหลายๆรุ่น แล้วนำมาทำ Review ให้บุคคลทั่วไปได้อ่านกันอย่างเช่นคุณจิมมี่และนักทดสอบรถอีกหลายๆคนนั้น ช่างเป็นงานที่น่าอิจฉามาก แต่ในขณะนี้ผมยังไม่มีโอกาสไปทดสอบรถรุ่นใหม่ๆ จึงมีอยู่ทางเดียวคือ การไปขอยืมรถคนรู้จักมาฝึกทำ Review ไปก่อนละครับ ^^
รีวิวแรกของผมนี้ขอเริ่มต้นด้วยยานยนต์จากค่ายดาวสามแฉก หนึ่งในตระกูล E-Class นั้นก็คือ Mercedes-Benz 300D รหัสตัวถังเป็นเลขเรียงครับ นั้นคือ W123 รถยนต์คันนี้เป็นรถของเพื่อนสนิทผมคนหนึ่งซึ่งเพื่อนคนนี้เล่าให้ผมฟังว่า เขาได้ซื้อเจ้า 300D คันนี้ต่อมาจากนายทหารคนหนึ่งเมื่อ 8 ปีที่แล้ว เป็นรถที่มีสภาพดีมากๆคันหนึ่งเลยทีเดียว มันวิ่งมาเพียง 8 หมื่นกว่ากิโลแท้ๆ และเป็นรถที่ไม่เคยมีอุบัติเหตุด้วย และการที่เพื่อนผมเป็นคนหลงใหลในรถยนต์ยี่ห้อที่มีดาวติดอยู่หน้าฝากระโปรง อันที่จริงเขาอยากได้ W124 มาก แต่ด้วยราคาที่เกินงบประมาณที่เขาตั้งไว้และการยุยงจากผมว่า ?ไอรถยี่ห้อนี้เนี่ยนะ ต่อให้ซื้อหลังจากนี้ไปอีก 50ปี จนเมียคุณหนีตามพนักงานขายตรงไป รูปแบบกระจังหน้ามันก็ไม่เปลี่ยนหรอก? เมื่อเขามาเจอเจ้า 300D สภาพดีคันนี้ เขาจึงตกลงซื้อมันทันที
E-CLASS รหัสตัวถัง W123 นี้ เป็น E-CLASS ที่พัฒนาต่อมาจากรุ่น W114 และ W115 หรือที่เราเรียกกันติดปากว่า ?เบนซ์ทับ8? นั้นเอง W123 นั้นเริ่มเข้ามาจำหน่ายในประเทศไทยจากการนำเข้ารถมาจากประเทศอังกฤษและญี่ปุ่น ปัญหาที่เจอสำหรับ W123 ยุคแรกๆที่นำเข้าก็คือ สนิม ครับ เนื่องมาจากส่วนมากเป็นรถมือสองที่จอดจนสนิมขึ้นแล้วนำมาทำใหม่เพื่อมาขายในไทย จะมีแต่รุ่นปีท้ายๆที่ประกอบในไทยโดยธนบุรีประกอบรถยนต์ จึงจะไม่มีปัญหาเรื่องสนิมครับ
W123 ที่วิ่งอยู่ในไทยนั้น คนไทยเรียกกันว่า ?เบนซ์โหล? มีจำหน่ายทั้งรุ่นเครื่องยนต์เบนซินและดีเซลครับ รุ่นเครื่องเบนซินได้แก่ 200E 230E 230CE 230TE 280E 280CE 300TE ครับ ส่วนในรุ่นเครื่องยนต์ดีเซลนั้นก็จะมีด้วยกัน 3 รุ่น 2เครื่องยนต์ ด้วยกันคือ 240D 300D และ 300TD ครับ
เจ้า 300D W123 คันนี้เป็นรถที่ประกอบในประเทศอังกฤษ ผมได้ขอมูลมาจาก 1 ในแฟนพันธุ์แท้ MERCEDES-BENZ ว่า W123 คันนี้เป็นรถปลายๆปี1970-1983 นั้นก็หมายความว่ารถยนต์คันนี้ได้ผ่านหิมะที่อังกฤษขึ้นเรือมาฝ่าน้ำท่วมในประเทศไทยมาเกือบ30 ปีแล้ว แต่นั้นก็ไม่ได้ทำให้ประสิทธิภาพทั้งในส่วนของเครื่องยนต์ดีเซลแสนอึด และระบบช่วงล่างเดิมๆนั้น ไม่ได้ทำให้เราเชื่อเลยว่า นี่หรอ! รถอายุ 30 ปี เครื่องยนต์ดีเซลสมัยเก่ายังไม่มี TURBO ที่ต้องเผาหัวก่อน start 1ครั้งยังคงทำงานได้เต็มสูบ ไม่มีควันดำออกมาให้เห็น จะมีก็เฉพาะขวัญเทาจางๆออกมาตอนเร่งรอบสูงๆเท่านั้น ช่วงล่างที่ยังคงให้ความหนักแน่นและความมั่นคงได้สูง ห้องโดยสารที่ใช้วัสดุคุณภาพเยี่ยม ทำให้เข้าใจเลยว่า รถที่ถูกสร้างมาเพื่อใช้งานได้ตลอดไปอย่างที่พี่แพนพูดนั้นมันเป็นอย่างไร
ภายนอกเริ่มจากไฟหน้าที่เปลี่ยนจากของเดิมเป็นแบบ US SPEC 4 ดวง
เส้นสายที่โค้งมนเหมือนกับMercedes-Benz รุ่นก่อนๆในยุคนั้น
ข้อมูลบนฝาถังน้ำมันยังคงอยู่ครบ
ห้องโดยสาร หนังแผงประตูที่ยังคงสภาพดีแม้จะผ่านมากว่า 30ปีแล้วก็ตาม
คอลโซลกลาง ไล่จากกระปุกเกียร์ 4 จังหวะ ปุ่มเปิดกระจกทั้ง 4 บานและปุ่มไฟฉุกเฉิน
ห้องโดยสารของเจ้า 300D 30ยังแจ๋วนี้ ยังแจ๋วจริงๆครับ ดูได้จากภาพที่เจ้าของรถคอนเฟิรมว่า ตั้งแต่ซื้อมาเครื่องหนังทั้งหลายไม่ว่าจะเป็นแผงประตู รวมถึงขอบเบาะยังไม่เคยได้ซ่อมแซมเลย ยังคง ?เดิมๆ? อย่างที่ท่านเห็นในรูป แต่เขาดูแลรักษานะครับ ถ้าไม่ดูแลรักษาต่อให้รถที่ทนแค่ไหนก็คงไม่ได้สภาพอย่างที่เห็น
เครื่องมือปฐมพยาบาลยังอยู่ครบ
แพดานเดิมๆพร้อมไฟอ่านแผนที่
มาตรวัดของ VDO มีอยู่ 3 วงด้วยกันครับ ซ้ายสุดจะบอกปริมาณเชื้อเพลิง ความร้อนและแรงดันน้ำมันเครื่อง ส่วนตรงกลางเป็นมาตรวัดความเร็ว ขวาสุดจะเป็นนาฬิกาครับ
พวงมาลัยไม่ใช้ของเดิมครับ เปลี่ยนเป็นของใหม่ จะเห็นได้ใน 190E และอีกหลายรุ่น
ตำแหน่งท่านั่งคนขับอยู่ในตำแหน่งที่สูงครับ สามารถมองเห็นดาวบนฝากระโปรงใช้กะระยะได้สบาย ความกว้างของตัวเบาะหน้านั่งได้เต็มก้น
เบาะหลังนั่งสบายครับ ขอติที่ต้องชันเข่ามากไปหน่อย เบาะเป็นเบาะสปริงครับ เวลาผ่านไป 30 ปีทำให้สปริงใต้เบาะเสื่อมอายุไปตามกาลเวลา
ที่เท้าแขนมีมาให้พร้อม เดินทางไกลๆอาจจะมีอากาสปวดคอได้ เหตุก็เพราะรุ่นนี้ Low Option ครับ ยังไม่มีที่หนุนหัวหลังมาให้
ที่เขียบุหรี่หรือไว้วางของจุกจิก
เครื่องยนต์ลองมาดูสเป็คเครื่องของเจ้า 300D คันนี้ตอนเพิ่งออกมาใหม่ๆกันครับ
Mercedes Benz W123 300 D
(1981 - 1984)
Engine: I 5 (5สูบแถวเรียง)
Engine Code : -
Fuel (เชื้อเพลิง) : Diesel
Fuel System : Injection Pump Bosch
Engine Alignment : Longitudinal
Drive : RWD
Displacement : 2998 cm3
Bore x Stroke : 90.9 x 92.4 mm
Type : 10 Valves
Aspiration : N/A
Compression Ratio : 21.0
Output : 88 cv (64 kW) @ 4400 rpm
Torque : 172 Nm (126 lb.ft) @ 2400 rpm
Gearbox : 5 speed Manual
Wheelbase : 279.5 cm
Length : 472.5 cm
Width : 178.6 cm
Height : 143.8 cm
Cx : -
Front Brakes : Discs ( mm)
Rear Brakes : Discs ( mm)
Front Tyres : 175/ R14
Rear Tyres : 175/ R14
Kerb Weight : 1450 kg
Weight/Output Ratio : 16.48 kg/cv
Front Suspension : -
Rear Suspension : -
Top Speed : 155 km/h (96 Mph)
0 to 100 km/h : 17.8 s
0 to 400m (1/4 mile) : -
0 to 1000m : -
Fuel Consumption* : 7.0L / 9.5L / 9.7L / 9.3L (25 mpg)
Range : 698 km
Fuel Tank : 65 L
Trunk : L
CO2 emissions : 216 g/Km
สมรรถนะต่างๆ นี่คือข้อมูลสมัยเครื่องยังฟิตปั๋งอยู่นะครับ เมื่อระยะเวลาผ่านเลยมา 30 ปี ม้าบางตัวก็วิ่งกลับเยอรมนีไปบ้าง เราจึงคิดจะลองจับ 0- 100 ดูสิว่า ตัวเลขจาก 17.8 วิเมื่อก่อน เมื่อผ่านมา 30 ปีแล้วมันจะได้ตัวเลขเท่าไร ผมทำนายว่า ต้องมี 18วิ ตี้ แฟนพันธุ์แท้เบนซ์บอกว่าให้18-19เลย แต่ไม่เกิน 20วิแน่ ส่วนเจ้าของรถบอก 20ขึ้นแน่นอนฟันธงและคอนเฟริม ผลที่ได้ออกมาก็คือ
อัตราเร่ง 0-100 0-100 เสียเวลาไป 20 วินาทีนิดๆ โดย 80กว่าจะถึง100 นี่รอเหงือกบานครับ สรุปแล้วเจ้าของรถทำนายไว้ใกล้เคียงที่สุด
ความเร็วสูงสุด 140กม./ชม. (อันนี้ไม่ได้ลองเองนะครับ เป็นข้อมูลจากเจ้าของรถลองเอาไว้ บอกว่าสุดที่ 140 ไม่ไหลต่อแล้ว)
ดูจากตัวเลขแล้วยอมรับครับว่ารถอืด เร่งแซงเหนื่อยหน่อยต้องเผื่อรถข้างหลังไว้ไกลๆหน่อย (นี่ขนาดเป็นเกียร์ธรรมดานะ ถ้าเป็นออโต้ผมว่าไม่ต้องสืบละครับ)
ตัวเลขต่างๆอาจจะไม่ละเอียดมากนะครับ เนื่องจากรถมันแก่แล้วอีกทั้งยังเกรงใจเจ้าของรถครับ
ช่วงล่าง
สมรรถนะของระบบช่วงล่างนั้นก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ผมประทับใจมากๆเข้าโค้งระดับ 80 กม./ชม. ในโค้งจากสุขาภิบาล 3 ไปโพล่ตรงหมู่บ้านนวธานี สุขาภิบาล2นั้นนิ่งมากๆ Honda civic dimension คันเก่าผมที่เปลี่ยนช่วงล่างของ Bilstein ยังเข้า 80 ไม่มั่นใจขนานนี้เลยครับ วิ่งความเร็ว 120 ขึ้นไปก็ยังนิ่งอยู่ จะเสียแต่พวงมาลัยที่ระยะฟรีมากเกินไป และพอความเร็ว 100ขึ้นไปจะมีอาการพวงมาลัยเบา พอความเบาของพวงมาลัยมาพร้อมกับระยะฟรีที่มากทำให้เสียความมั่นใจไปบ้างครับ แต่ช่วงล่างนั้นให้ความมั่นใจได้ดีมากๆ ผ่านเนินสะพานต่างๆไม่ต้องชะลอมากครับ ใส่ขึ้นไปเลยไม่มีกระเด้งกระดอนแต่อย่างใด การตอบสนองของระบบช่วงล่างนั้น จะไปทางหนึบนุ่มแต่ไม่ได้นิ่มจนย้วยครับ เป็นเรื่องที่น่าประทับใจสำหรับช่วงล่างที่เรียกได้ว่าเดิมๆหมดทั้งโช๊คอัพและสปริง จะมีเปลี่ยนก็เฉพาะลูกหมากตามอายุเท่านั้น
ทัศนวิสัย เรื่องทัศนวิสัยโดยรอบนั่นดีมากครับ มองได้ทะลุปรุโปรงไม่ว่าจะถอยหลังคุณสามารถมองกระจกหลังจนเห็นสุดฝากระโปรงหลังที่ช่วยกะระยะได้อย่างชัดเจน และด้วยตำแหน่งการขับที่สูงด้วยจึงทำให้คนขับรู้สึกผ่อนคลายไม่เครียดมาก แต่จะเครียดก็คือเวลาจะเปลี่ยนเลนครับ เนื่องจากกระจกมองข้างที่มีมุมอับมากเหลือเกิน ทำให้บ่อยครั้งที่จะเปลี่ยนเลนนั้นต้องใช้บริการกระจกมองหลังช่วยด้วย
สิ่งที่เสื่อมไปเมื่อคุณทวด 300D ผ่านมา 30 ปี เจ้าของรถเล่าให้ฟังว่า ตั้งแต่ซื้อรถมาสิ่งที่เสียนั้นเป็นสิ่งที่มันต้องเสียตามกาลเวลาครับ ถือเป็นเรื่องปกติ ส่วนเรื่องระบบเครื่องยนต์กลไก ระบบเกียร์ เฟืองท้าย ยังไม่เคยพบปัญหาตั้งแต่ซื้อมาครับ ส่วนของที่เสียแต่ได้ทำการซ่อมไปแล้วก็มี
-กระจกไฟฟ้าที่ซ่อมไปแล้วและตอนที่กำลังทดสอบอยู่กระจกด้านคนขับเปิดลงได้ แต่ดันเอาขึ้นไม่ได้ซะงั้น ต้องรอประมาณ 10 นาทีครับ ถึงจะสามารถเอาขึ้นได้
-ปะผุตัวถัง เป็นเรื่องธรรมดาสำหรับรถอายุปูนนี้ ที่ปะผุไปแล้วก็จะมีบริเวณหลังบังโคลนหลังที่ผุทะลุมาถึงห้องเก็บของท้ายรถและบริเวณที่วางเท้าผู้โดยสารด้านหน้าของทั้งคนนั่งและคนขับ และตอนนี้ก็พบว่าเวลาฝนตกนั้น น้ำจะหยดบริเวณที่วางเท้าทั้งด้านคนนั่งและคนขับโดยไม่ใช่ที่ผุเดิม ก็ต้องหากันต่อไปครับว่ามันรั่วมาจากไหน!?!
การบำรุงรักษา การบำรุงรักษาเจ้า 300D นั้นไม่มีอะไรยุ่งยากหรือสลับซับซ้อนเลยครับ เครื่องยนต์ที่แสนทนของมันที่ฝรั่งบอกว่า เจ้าเครื่องตัวนี้นะ ตัวรถพังเครื่องมันยัง start ติดอยู่เลย ก็ต้องการเพียงแค่การถ่ายน้ำมันเครื่องตามระยะธรรมดาที่อู่ BENZ ทั่วไปทำได้หมด ส่วนช่วงล่างนั้น เปลี่ยนลูกหมากครั้งเดียวใช้กันลืมเลยครับ
เรื่องของอะไหล่นั้นตอนนี้เริ่มหายากบ่างแต่ก็ไม่ถึงกับเลือดตากระเด็นครับ อะไหล่ตัวถังต่างๆยังมีวางเกลือนอยู่หลังวัดโสมครับ
MERCEDES-BENZ 300D W123 นี่ถือเป็นเบนซ์อีกรุ่นหนึ่งที่ยังคงความเป็นเบนซ์ไว้อย่างครบถ้วน ทั้งในเรื่องของคุณภาพในทุกๆด้านที่ Mercedes-Benz ควรจะเป็น ความทนทานที่ตกจากรุ่นพ่อมาสู่ลูกและยังใช้งานได้ดีอยู่เหมือนคันนี้ หากใครกำลังมองหารุ่น 300D ที่ขนาดนี้ถือว่าเป็น W123 เดิมๆที่มีมูลค่ามากที่สุดเมื่อเทียบกับรุ่นอื่นๆที่มีจำหน่ายในประเทศไทยคืออยู่ที่หลัก1แสนนิดๆ สำหรับรถที่มีสภาพสวยๆนั้นเจ้าของคงไม่ปล่อยอยู่แล้ว แต่ที่ยังมีสภาพที่ยังรับได้ก็ยังมีให้เห็นกันอยู่หลายคันครับ ผู้ที่สนใจต้องมีงบที่จะฟื้นฟูสภาพตัวถัง ทำสีใหม่ ปะผุ น่าจะเตรียมเงินไว้สัก 2 แสน หากันชนใหญ่(Big Bumper) มาใส่ก็ดูดีไปอีกแบบ หรือวัยรุ่นที่อยากจะนำมาวาง 1หรือ2เจโบไว้อัดหลังจากโมโหที่แม้ไม่ให้เงินค่าขนมแต่บอกให้ไปหางานทำซะ ก็สามารถทำได้ครับ เดี๋ยวลองดู W123วางเจที่แต่งกำลังสวย ดูดี ดุขึ้นแต่ยังคงความสง่า ไม่ออกอวกาศมากเกินไป ที่กำลังจะมีผู้ทำ Review ต่อไปครับ
ขอขอบคุณเจ้าของรถที่เอื้อเฟื้อรถให้ทดสอบ >>>>>>>นายมหาโชค อวนกลิ่น(โชค)
ภาพสวยๆบางส่วน>>>>>>>Tee ณ ถลุง
ข้อมูลทางเทคนิค>>>>>>>
http://www.ultimatespecs.comBy?TUM_COWBOY เกรียนนน
ผมเองครับ
เจ้าของรถ