มีหลายเรื่องมากๆ เลย อยากมีส่วนร่วมด้วยอีกคน
เรื่อง ที่บริษัทรถยนต์จะย้ายฐานทั้งหมดไป อันนี้เกิดขึ้นได้ยากครับ เพราะว่า
1) รัฐบาล เราไม่ยอมแน่ๆ ล่ะ มีปัญหาอะไร ช่วยอะไรได้ ต้องช่วยสุดๆ เพราะถ้าไป ประเทศเราไม่ตายก็คางเหลืองครับ
2) อย่างที่พี่ Jimmy พูดเค้า forecast ไว้แล้ว แล้วอีกอย่าง การที่จะทำสิ่งที่เห็นแก่ตัวมากเช่นการเลิกจ้าง หรือการย้ายฐานผลิต จนทำให้เศรษฐกิจมีปัญหา
เค้าจะไม่ทำอย่างนั้นแน่นอน เพราะ วิกฤตเศรษฐกิจที่เกิดจากอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ จะเป็นผลเสียแบบลูกโซ่ และย้อนกลับไปที่ประเทศที่ตัวบริษัทนั้นๆ อยู่
สมมติ ถ้าบริษัทรถญี่ปุ่นย้ายไปเวียตนามหมด เศรษฐกิจไทยพังยับ จากนั้น เศรษฐกิจในอาเซี่ยนทั้งหมด รวมไปถึง ทั่วโลกจะค่อยๆ พังยับตาม และแน่นอน
ญีุ่ปุ่นสุดท้ายก็เละ เช่นกัน อย่างที่พี่ Jimmy ว่า มันอยู่ที่ scale ของอุตสหกรรมนั้นๆ ด้วย ถ้าเป็นเพียงโรงงานผลิตยา การจะย้ายโรงงานไปประเทศที่ 2 ที่ 3 ที่ 4
ผลกระทบมันไม่ค่อยมี
3) เท่าที่มีโรงงานตามประเทศต่างๆ อย่างที่มีในปัจจุบัน ญี่ปุ่นยัง Happy มากๆ ครับ และมีแนวโน้มจะลงทุนเพิ่มอีก ซึ่ง รัฐบาลก็มีหน้าที่ กระตุ้นตลาด
หาตลาดใหม่ๆ หาช่องทางส่งเสริมการลงทุน การมีนโยบายพิเศษช่วยลดภาษีต่างๆ อย่าง Eco car อย่าง FTA ต่างๆ
แต่ขออนุญาติพูดอีกด้านนึง ซึ่งก็เป็น fact ที่ถูกเหมือนกันนั่นก็คือ
หากทุกๆ อุตสาหกรรม ต้องพึ่งพาแต่เงินลงทุนต่างประเทศ โดยที่คนประเทศเราเปรียบเสมือนคนรับจ้างราคาถูก know-how ก็ไม่ได้
ทำอะไรเองไม่ได้ ต้องเป็นลูกจ้างเค้าอย่างเดียว ถูกต้องครับ เมื่อใดที่มีแหล่งแรงงานถูกกว่า และทุกๆ อย่างอำนวยกว่า เจ้าของเงินทุน
ก็จะย้ายไปประเทศนั้นๆ กันหมด สุดท้ายแล้ว เราจะไม่มีใครจ้าง และเราก็ทำอะไรเองไม่ได้
ตอนนี้แบรนด์ไทยเราก็มี แต่อาจจะไม่โดดเด่นอะไรนัก แต่ก็ถือว่าเป็นจุดเริ่มต้นที่ถูกต้อง การที่คนๆ นึง มีเงินทุนผลิตโรงงานอุตสาหกรรม
ได้ จุดเริ่มต้นของพวกเค้าอาจจะเป็นการรับจ้างทำ product ส่งให้กับต่างประเทศ แต่ในอีกด้านนึง เค้าต้องหัดทำแบรนด์ของตัวเอง และหัด
ทำตลาดของตัวเองไปด้วย เผื่อว่าวันนึง โรงงานเค้าถูกเลิกจ้างผลิต อย่างน้อยยังมีแบรนด์ของเค้าพอทำตลาดได้บ้าง คราวนี้ก็ต้องดูฝีมือกัน
ล่ะว่า ใครทำตลาดเก่งหรือไม่อย่างไร ทำไมสินค้าชื่อไทยๆ ทั้งหลายมันหายไปเยอะ ส่วนหนึ่ง เพราะ ชื่อไทย มันไม่เหมาะสมจะเป็น logo
หรือ brand ในระดับ inter รึเปล่า ? จะเอาง่ายที่สุด ก็ต้องใช้ชื่อภาษาอังกฤษ หากกังวลว่า ชื่อไทยๆ จะทำ brand ได้ไม่แกร่งพอ ซึ่งมันก็แล้ว
แต่ vision ของแต่ละบริษัท ผมไม่พูดว่ามันถูก หรือมันผิด ทุกอย่างมันมีหมด ไม่ว่าจะชื่อ ไทย จีน อินเดีย ฝรั่ง เกาหลี เชื่อว่า บริษัทไทยๆ ของ
เรานี่แหล่ะ คงสรรหาชื่อมาใช้กันทั่วไปหมด
การที่ประเทศเราพยายามจะทำตัวเป็นอู่ข้าวอู่น้ำ เป็นครัวของโลกก็ดี ซึ่งทำได้อยู่แล้วล่ะ เพราะทุกอย่างมันอำนวยขนาดนี้ แต่ถ้าไม่ตั้งใจพัฒนา
ด้านอุตสาหกรรมของประเทศหน่อย ก็ต้องทำใจให้ได้ กับการมีความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจระดับสูงแบบนี้ให้ได้ไปเรื่อยๆ ตัวอย่างชัดเจนที่สุดคือ
ลักษณะโครงสร้างทางเศรษฐกิจของบ้านเราปัจจุบัน กับเมื่อ 100-200 ปีก่อนแทบไม่เปลี่ยนแปลงเลย นั่นก็คือ ฝ่ายผลิตทางการเกษตร ก็ผลิตๆ ไป
มีฐานะความเป็นอยู่แบบจนๆ ต่อไป ในขณะที่ นักธุรกิจที่เป็นคนกลางนั้นรวยขึ้นๆ เปรียบเสมือน จ้าวขุนบุญนายสมัยก่อน ที่รวยขึ้นๆ ในขณะที่ ไพร่
ที่เป็นชาวไร่ ต้องคอยส่งสวย ส่งผลิตผลให้ และมีชีวิตอย่างยากไร้ ในโลกตะวันตก หรือในญี่ปุ่นเอง เมื่อก่อนก็เป็นแบบนี้
จะรัก จะเป็นประเทศเกษตรกรรม ต้องรับสภาพกับความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจอย่างรุนแรงให้ได้
อย่างที่ผมเป็นอยู่ปัจจุบัน ก็อยู่ได้สบายๆ ไม่เดือด ไม่ร้อน แต่ยอมรับว่า เห็นเพื่อนร่วมแผ่นดิน หลายๆ คน ยากจนเหลือเกิน สงสารก็สงสาร
แต่ไม่รู้จะช่วยอะไรได้มาก
หากคนรุ่นก่อนเรา มี vision ตรงนี้มากๆ และรักประเทศอย่างจริงจัง จะต้องไม่ปล่อยให้เป็นแบบนี้ การที่ญี่ปุ่น หันมาผลิตทุกอย่างทาง
อุตสาหกรรม แบบชาติตะวันตก ไม่ใช่ว่าเค้าอยากได้เงินมากจนขึ้นสมอง แบบเศรษฐีบ้านเรา อย่าเข้าใจผิด แต่เพราะว่าเค้ารักชาติ และ
การผลิตนวัตรกรรม หรือการผลิตชนะชาวตะวันตกได้ ถือว่าเป็นการทำเพื่อประเทศชาติ ในขณะที่นักธุรกิจบ้านเรา เวลาจะลงทุน หรือจะ
มองอะไรก็แล้วแต่ มองแต่ว่า จะทำยังไงให้ได้เงินมามากที่สุด ถึงแม้ว่า ชาวนา ที่เค้ามาส่งข้าวให้จะดูยากไร้แค่ไหน ก็ไม่คิดอะไรมาก
กดราคาได้ยิ่งกด ต้องการเพียงแต่เงินเท่านั้น การที่บริษัทส่วนใหญ่ในประเทศไทย รวยได้ จากกระดูกสันหลังของชาติ มันไม่ต่างอะไรจาก
คนที่กอบโกยเงินเข้ากระเป๋าตัวเอง ทำหน้าที่เสียภาษีตามกฎหมายไปวันๆ แต่ไม่ได้ทำอะไรเพื่อประเทศชาติอย่างที่ควรจะเป็น เพราะ
ตัวเกษตรกร ไม่ได้รวยร่วมไปกับตัวบริษัทใหญ่ มีแต่บริษัทใหญ่ และเจ้าของบริษัทนั้นที่ร่ำรวยมากขึ้นเรื่อยๆ
ถ้ามี know-how ที่ดี แบรนด์ไทยจะมีโอกาสอยู่รอดได้หรือไม่
คำตอบคือ ได้ เพราะสมัยนี้มีบริษัทรับทำการตลาดมือดีมากมาย เพียงแต่การลงทุน ย่อมมีความเสี่ยง มีทั้งได้และไม่ได้
แต่ถ้ามี know-how ดีและแข็งแกร่ง โอกาสย่อมมีมากกว่า ฝ่ายที่มี แต่มีน้อย และไม่รู้จักการทำทุกอย่างให้ดีที่สุด หรือเรียกว่า
ทำอะไรต้องทำให้ดีที่สุด ไม่ใช่แค่ทำนั่นเอง รถแบรนด์ไทย ก็อาจเข้าข่ายแบบนั้น คือเคยทำออกมาได้ แต่ก็ไม่ได้ทำให้ดีที่สุด อย่าโทษ
ว่าเป็นแบรนด์ไทยแล้วคนไม่ซื้อ การทำธุรกิจที่แท้จริง ถ้าจะเจ๊ง ก็ต้องโทษตัวเอง อย่าโทษใคร อย่าโทษองค์ประกอบ อย่าโทษ
สิ่งแวดล้อม อย่าโทษค่านิยม ไม่งั้นก็เหมือนกับ การสร้างหนัง พอเจ๊งขึ้นมา ก็โทษ เทปผีซีดีเถื่อน ไม่รู้จักมองเลยว่า หนังที่
ทำออกมาดีจริงๆ หรือว่าห่วย ถึงมีเทปผีซีดีเถื่อน ถ้ามันทำออกมาดีจริงๆ มันก็ประสบความสำเร็จได้ มีอะไรก็โปรดโทษแต่ตนเองบ้าง
นี่คือปรัชญาของ CEO ที่แท้จริง
สิ่งที่เราเฝ้าใฝ่ฝันมานานนั่นก็คือ รถยนต์ไทย แต่ในขณะเดียวกัน ทุกคนก็จะพูดว่า มันไปไม่รอด เพราะมันจะไม่มีคนซื้อ
ประโยคนี้ คงเป็นประโยคฮิต อมตะนิรันดร์กาลกันอยู่ต่อไป ประโยคนี้ สำหรับผม จะบอกว่าถูกต้องก็ได้ ไม่ถูกต้อง
ก็ได้ เราไม่ควรไปยึดติดอะไรกับประโยคนี้มากมาย เมื่อมีใครที่รวยระดับ จะสร้างโรงงานผลิตรถยนต์ขึ้นมาได้ซักแห่งนึง ก็
ต้องให้การสนับสนุนเค้า อย่าไปด่าเค้า เพราะเค้านี่แหล่ะ กำลังเสียสละตนครั้งยิ่งใหญ่ ทำเพื่อชาติ การสร้างรถยนต์
ไม่ใช่ มาจากความสะใจ ความชอบส่วนตัว หรือเป็นงานอดิเรกของใคร หากริเริ่มอุตหสกรรมนี้ให้กับประเทศได้ เงิน
ก้อนนั้น จะหมุนเวียนในเศรษฐกิจได้อีก หลายพันหลายหมื่นรอบ และสร้างการเจริญเติบโตให้กับเศรษฐกิจอย่าง
มหาศาล แบรนด์นั้นไม่ต้องเยอะ อย่างเกาหลี หลักๆ ก็มีแค่ Hyundai-Kia แค่นี้ เศรษฐกิจ ก็แข็งแกร่งอย่างมากมาย
มหาศาล ส่วนผลสำเร็จ มันจะได้ หรือไม่ได้ เรามีหน้าที่เอาใจช่วยเค้า
หากข้ามเวลาไปในอนาคต หากบ้านเราเข้มแข็งได้ ทั้งทางด้านเกษตรกรรม และอุตสาหกรรม ไม่ต้องสนใจหรอกว่า
ประเทศ จะรวยขึ้นหรือจนลง แต่ทุกๆ คนในประเทศ จะมีรายได้ใกล้เคียงกันอย่างแน่นอน อาจจะไม่มีคนเงินเดือนระดับ
1-2 แสน แต่ทุกๆ คนอาจจะมีเงินระดับ 2 -3 หมื่น ไม่มีคนตกยาก ไม่มีเด็กขอทาน ไม่มีคนที่จนสุดๆ อย่างที่ปัจจุบันเป็น
อย่างแน่นอน การที่ปัจจุบัน มีคนเงินเดือนเป็นสิบล้าน กับมีคนเงินเดือนเพียงหลักร้อยบาท เป็นความน่าเกลียดน่าขยะแขยง
ของสังคมที่แข็งแกร่งแต่ด้านเกษตรกรรมเพียงอย่างเดียว แง่คิดนี้ อาจจะไม่ absolutely true 100% นัก แต่ผมคิดว่า มัน
มีส่วนถูกบ้างไม่มากก็น้อย สิ่งที่ง่ายที่สุดที่เราแต่ละคนจะทำได้ ก็คือ หัดรู้จักผลิตเอง ถ้ามีเงินมาก ก็หัดผลิตมาก จะเปิด
โรงงานเลยก็ได้ ถ้ามีเงินน้อย ก็ทำสิ่งเล็กๆ น้อยๆ ส่วนหนึ่งของคำว่าเศรษฐกิจพอเพียงของในหลวง ก็คือการรู้จักผลิตเอง
ไม่ใช่หรือ ไม่ได้ให้ประเทศเราเป็นเกษตรกรรมสุดโต่ง แต่รู้จักพึ่งพาตัวเอง ผลิตเองได้ ทำเองใช้เองได้ และจะใช้หรือลงทุน
อะไรก็อย่าใช้ให้มันเกินตัว
(มีแก้คำผิดเพียบ เลยต้อง edit บ่อย)
อืมๆ เหมือนจะเป็น Marxist หน่อยๆ นะ (ซึ่งก็ไม่ผิดอะไร)
ถ้าทุกคนมีเงินเดือนใกล้เคียงกัน ก็ต้องมีหลักประกันว่างานที่ได้ทั้งคุณภาพ และปริมาณ จากคนหนึ่งคน ใกล้เคียงกันด้วยนะ ไม่ว่าจะอ้วนผอม หญิงชาย สูงต่ำ ดำขาว ไม่งั้นก็จะกลับไปเป็นความล้มเหลวแบบเดิมๆ ของ Communist ครับ
"ถ้าเราได้กินเท่ากัน เราจะทำงานมากกว่าคนอื่นทำไม"
อย่าลืมว่า คนเราไม่อยากทำอะไรเพื่อองค์กรจริงๆ หรอกครับ (ถึงแม้จะปฏิญาณตนทุกเช้าก็เถอะ) ผู้บริหารที่เก่งจะต้องกระตุ้นให้ "ลูกน้องทำเพื่อให้ตัวเองรู้สึกดี" และ "ความดีนั้นช่วงส่งเสริมให้องค์กรนั้นพัฒนาก้าวหน้า" เราจึงต้องมี Incentive ครับ คำว่ารักองค์กรในสมัยนี้ คุณค่าของมันก็หดลงไปเยอะ เพราะเราไม่ได้อยู่ในยุคชาตินิยม Facist เหมือนเมื่อ 60-70 ปีที่แล้ว เรื่องพวก Kamikaze อะไรแบบนั้น มันก็ไม่เหลือแล้ว
ผมไม่ได้ส่งเสริมให้คนเป็นคนเลว เพราะคำว่าทำดีให้ตัวเองนั้น มันต้องประกอบด้วยสามัญสำนึก ว่าสิ่งที่ทำนั้นถูกต้องหรือไม่เข้าไปด้วย แต่สิ่งที่พึงระลึกเสมอคือ สิ่งนั้นจะทำให้เรามีความสุขเป็นสำคัญครับ
คนเก่ง คนขยันกว่า ย่อมมีกินมากกว่า อันนี้เป็นของตายครับ เพราะทุกอย่างย่อมเป็นไปตามกรรม เพียงแต่อาจจะต้องใส่ คุณธรรม และจิตสำนึกลงไปสักเล็กน้อย จะกินก็กินแต่ของที่ควร ของที่ไม่ควรก็ไม่ควรไปยุ่งเกี่ยว มันก็อิ่มได้เหมือนกันครับ
แต่คนที่มีคุณลักษณะต่างกัน กินอิ่มเท่ากัน อันนี้คงต้องเรียกว่าไม่ยุติธรรมครับ
ส่วนเรื่องแบรนด์เนี่ย ผมเห็นด้วยนะ ต่อให้บริษัทญี่ปุ่นไม่ย้ายฐานการผลิต แต่ถ้าเกิดบริษัทเหล่านั้นเจ๊งเลย จะทำยังไงต่อเหรอครับ ถ้าเราไม่มีความรู้ที่จะเปิดโรงงานต่อไปได้ อืมม อยากให้ไปดูหนังเรื่อง Gung Ho ที่ Michael Keaton เล่นจังครับ
ไม่ใช่ครับ มีบางประเด็นหรือบางย่อหน้า ที่อ่านเข้าใจผิดไปแล้ว
ยังแข่งรวยกันได้เหมือนเดิม แต่ ช่องว่างทางเศรษฐกิจ จะต่ำลงมากครับ ชาติที่พัฒนาแล้ว
ความเหลื่อมล้ำตรงนี้จะน้อย แต่บ้านเรา ที่ยังห่างกันมาก ไม่ใช่ว่า เศรษฐกิจ เสรีจัด ครับ แต่
เป็นเศรษฐกิจบ้านเราออกแนวผูกขาดต่างหาก โดย เครือข่ายของนักธุรกิจ เพียงไม่กี่รายครับ
ส่วนเรื่องแนว Marxist, communist ไม่ได้สนใจครับ คำว่า รายได้ทุกๆ คนเท่ากันกับ
ช่องว่างความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ น้อย มันเป็นคนละเรื่องคนล่ะราวกันเลยครับ
ถึงผมจะใช้คำว่ารายได้ใกล้เคียงกัน แต่นั่นแค่เปรียบเปรย ไม่ได้หมายความว่าทุกคนต้อง
2-30,000 บาท มันไม่ใช่ เข้าใจผิดประเด็นนี่ไป เพราะตัวอักษรซะแล้ว ถ้า อ่าน concept ดีๆ
กับเหตุผลที่มาที่ไปจะเห็นภาพครับ ที่จริง มันก็มีสิทธิ์จะรวยกันหมด แต่ก็ไม่อยากฟันธงแบบนั้น
ความเหลื่อมล้ำมันจะน้อยลงมาก ไม่มีคนจนสุดๆ หรือรวยสุดๆ แต่ถ้าอยากจะเป็นกลุ่มคนที่รวยขึ้นๆ
ได้เรื่อยๆ ก็ทำได้ ไม่มีปัญหาครับ ทุกอย่าง unlimited ครับ
จะโยงมาเรื่องนี้ครับ มนุษย์เราเกิดมาเพื่อสร้างสิ่งต่างๆ มันเป็นสัญชาติญาณครับ ไม่ว่าจะสร้างสรรค์สิ่งใดๆ หรือ
สร้างลูก สร้างหลาน ประเทศใดก็ตามที่เป็นนักสร้าง ได้ทำตามสัญชาิิติญาณนั้นได้ครบถ้วนอย่างแท้จริง จะ
พึ่งพาตนเองได้ และประสบความสำเร็จครับ เศรษฐกิจก็ดี ค้าขายเสรีได้เต็มที่ครับ
ยกตัวอย่างเช่น นักธุรกิจบ้านเรา ล้วนจะซื้อเครื่องจักรจากต่างประเทศ ไปเรื่อยๆ แต่ไม่รู้จักเรียนรู้ที่จะผลิตเองบ้าง
เด็กจบวิศวะเครื่องกลก็มีเยอะแยะ แต่จ้างมาเพื่อคุมเครื่องที่นำเข้ามาเท่านั้น การจะซื้อมาใช้ก่อนนั้นไม่ผิด แต่ในที่สุด
น่าจะหัดผลิตกันเอง ซึ่งถ้ามีพื้นฐานความคิดแบบนี้ ในที่สุด บ้านเราก็จะผลิตเครื่องจักรในอุตสาหกรรมกันเองได้
ซึ่งจะทำให้ด้านอุตสาหกรรมเข้มแข็งขึ้น