ถ้าปลดภาษีนำเข้าเป็น 0%
ผู้บริโภคเฮแน่ ผู้นำเข้ารายย่อยเฮแน่
แต่บริษัทรถยนต์ ที่มีโรงงานประกอบในประเทศ จะถึงตาย ขอย้ำว่า "ตายแบบเหมือนถูกยิงด้วย M16 ไม่ต้องคิดเลย"
ผมว่าถ้าภาษี 0%
น่าจะได้เห็น c classเป็นแท็กซี่
คนมีเงินเปลี่ยนจากe class, 5seriesเป็นpanamera, xj
เศรษฐีเปลี่ยนcaymanเป็นgallardo
อภิมหาเศรษฐีเปลี่ยนslr mclarenเป็นbugatti veyron...
ตอนนี้รถหลายคัน กลายเป็นเป้าหมายที่เกินเอื้อมของใครหลายๆคน
แต่ใช่ว่า เมื่อมีการเปลี่ยนแปลง กลายเป็นโอกาสที่เอื้อมถึง
แล้วทุกคนจะเอื้อมไปหยิบมันนะครับ
พอพูดถึงเรื่องการลดภาษีนำเข้ารถยนต์
เราก็จะชอบคิดเล่นๆกันแบบนี้ว่า MB BMW คงเกลื่อนเมือง
คงไม่มีใครซื้อรถญี่ปุ่นบ้านๆ มาใช้กันอีก
แต่เอาเข้าจริงๆ มันไม่เป็นแบบนั้นหรอกครับ เพราะความจำเป็น
ในการใช้จ่ายเงินทองมันมีหลายทางด้วยกัน ประหยัดจากรถได้
ก็จะได้เอาเงินไปทำอย่างอื่น ใช่ว่าทุกคนอยากจะรับภาระผ่อนรถยนต์หนักเท่าเดิม
ปีแรกๆอาจจะมีบ้าง ที่พวกพ่อค้า นักธุรกิจเจ้าของกิจการ จะอัพเกรดรถตัวเอง
บรรดาลูกหลานของพวกเขาเหล่านั้น จะซื้อรถสปอร์ตมาวิ่งเล่นเกลื่อนถนน
แต่ก็เป็นสัดส่วนที่น้อยมาก เมื่อเทียบกับประชาชนทั่วๆไปที่จำเป็นจะต้องใช้รถ
กับประชาชนส่วนใหญ่ น่าจะยังมีพฤติกรรมการเลือกซื้อรถยนต์ไม่ต่างจากเดิมนัก
แต่ภาระที่จะต้องผ่อนรถซักคันจะเบาลง มีเงินเก็บมากขึ้น มีเงินไปใช้จ่ายในด้านอื่นมากขึ้น
คุณภาพชีวิตก็น่าจะดีขึ้นด้วยรึเปล่า? เช่นผ่อนบ้านได้สั้นลง หรือได้ใช้รถยนต์ที่มีคุณภาพมากขึ้น
ราคารถยนต์ถูกลง ใช่ว่าค่าบำรุงรักษาจะถูกลงตามไปด้วยนะครับ
ไอ้เรื่องที่ จะเอา MB มาเป็น Taxi อู่ส่วนใหญ่คงจะไม่ทำ
หรือเคสพนักงานออฟฟิส และเซลล์ต่างๆ
จะขับ MB ไปทำงานให้เกินหน้าเกินตาเจ้านาย และทำให้เพื่อนร่วมงานหมั่นไส้รึเปล่า?
จะขับรถสปอร์ตไปแวะเยี่ยมเก็บเช็คและขายของให้ลูกค้า แล้วโดนลูกค้าต่อราคายับเพราะดูรวย ก็คงใช่ที่?
จะเอากระบะยักษ์เครื่อง v6 v8 มาขนผักเข้าตลาดก็คงไม่มีใครทำอีกเช่นกัน?
เพราะฉะนั้นรถบ้านและรถกระบะธรรมดาๆ ก็ยังคงจำเป็นต้องใช้อยู่
เพื่อรักษารูปแบบและภาพลักษณ์ในการทำธุรกิจ
ส่วนผู้ใช้รถตามบ้านทั่วไป สองสามปีแรก ก็คงมีเห่อ กันแน่นอน
แต่สุดท้ายพอเจอค่าบำรุงรักษาเข้าไป ผมคิดว่า....ในระยะยาว
คนส่วนใหญ่ก็จะกลับมาเลือกใช้งานรถยนต์ที่เหมาะสมกับฐานะของตนเอง
แต่ปัญหาที่จะหนักหนาสาหัส คือ รัฐจะขาดรายได้ก้อนโตจากภาษีตรงนี้
มี topic ในวงเหล้า กะเพื่อนๆ ขึั้นมาว่า ถ้าให้เลือกระหว่าง
รัฐที่เก็บภาษีได้จนอู้ฟู่ แต่ผลาญงบประมาณไปอย่างไร้สาระ ผลประโยชน์ตกแค่คนบางกลุ่ม
กับรัฐที่เก็บภาษีได้พอบริหารประเทศไปเรื่อย แต่ค่าใข้จ่ายต่อครัวเรือนลดลง
ประชาชนอยู่กันอย่างหายใจหายคอได้ง่ายขึ้น แบบไหนจะดีกว่ากัน
ส่วนอีกปัญหาที่ต้องเจอแน่ๆ ถ้าเรายังไม่มีโครงข่ายรถไฟฟ้าให้บริการได้ครอบคลุม
ก็คือ ปัญหารถติด อาจจะหนักหนาถึงขั้นไม่มีถนนให้วิ่ง ห้างสรรพสินค้า ร้านอาหาร
สถานบันเทิงต่างๆ จะไม่สามารถหาที่จอดรถมารองรับความต้องการของลูกค้าได้
การขนส่งสินค้าต่างๆ ด้วยรถยนต์จะต้องล่าช้ามากขึ้น
ซึ่งในวงเหล้า เราก็คุยกันว่า ถ้ามันเป็นแบบนั้นจริง พฤติกรรมการใช้รถก็คงจะเปลี่ยนไป
หรือไม่ก็ต้องมีกฎเกณท์บางอย่างเพิ่มเข้ามา เพื่อแชร์การใช้ถนนร่วมกัน