สวัสดีครับคุณผู้อ่าน Headlightmag ทุกท่านนะครับ รีวิวนี้เป็นรีวิวชิ้นแรกของผมนะครับ ฝากเนื้อฝากตัวด้วยครับ
Generation 1 นั้นทำตลาดในปี 1961 ใช้ชื่อ Pubilca 700 รหัส UP10
ใช้เครื่องยนต์ สูบนอน 2 สูบ 700 cc. ระบายความร้อนด้วย อากาศ รหัส 1U
ต่อมา มาในปี 1962 มีการเพิ่มรุ่น Deluxe โดยเพิ่มเบาะหน้าพับได้ วิทยุ และ แถบโครเมี่ยม ขายควบคู่กับรุ่น Standard
Generation 2 นั้นทำตลาดในปี 1966 ใช้ชื่อ Publica 800 รหัส UP20
ใช้เครื่องยนต์ สูบนอน 2 สูบ คาร์บูเรเตอร์คู่ 800 cc. ระบายความร้อนด้วย อากาศ รหัส 2U
Generation 3 นั้นทำตลาดในปี 1969 ใช้ชื่อ Publica 1000 รหัส UP30/KP30
ใน Model นี้ รุ่น Standard ใช้เครื่องยนต์ 2U และรุ่น TOP ใช้เครื่องยนต์ 2K 1000 cc. 4สูบระบายความร้อนด้วยน้ำ
ในปี 1973 ได้มี Minor Change และได้ทำตลาดรุ่น Van รหัส KP36
Generation 4 นั้นทำตลาดในปี 1973 ใช้ชื่อ Publica Starlet รหัส KP47
ชื่อ Starlet เริ่มใช้ใน Model นี้ ครับ ใช้เครื่องยนต์ 2K เหมือนเดิม
Generation 5 ก็ใช้ชื่อ Publica Starlet รหัส KP51
Generation 6 นั้นทำตลาดในปี 1978 ใช้ชื่อ Starlet รหัส KP60
มีเครื่องยนต์ 3 แบบ คือ 2K 1000cc. 3K 1200cc. และ 4K 1300cc.
Generation 7 นั้นทำตลาดในปี 1985 ใช้ชื่อ Starlet รหัส EP/NP70
มีเครื่องยนต์ 3 แบบ คือ 1E 1000cc. 2E 1300cc. และ 1N 1500cc. Diesel
ในรุ่นนี้ จะมี รุ่น 1.3S เป็นตัว TOP โดยมี เหล็กกันโคลง, Spoiler และ ภายในสปอร์ต
ส่วนตัวTurbo จะมี 2 รุ่น คือ Turbo S และ Turbo R ใช้เครื่องยนต์ 2E-TELU
แตกต่างกันคือ Turbo R Option น้อยกว่า และไม่มีชุดสปอยเลอร์
รุ่น แรก มีไฟ Spot Light ที่กันชน
รุ่น Minor จะย้ายไฟมาที่กระจัง และเพิ่ม Spoiler บริเวณที่ปัดน้ำฝนด้านหลัง
Generation 8 ทำตลาดในปี 1990 ใช้ชื่อ Starlet รหัส EP/NP80
มีเครื่องยนต์ 2 แบบ คือ 4E 1300cc. และ 1N 1500cc. Diesel
ส่วนตัวTurbo จะใช้ชื่อว่า GT Turbo เครื่องยนต์ 4E-FTE ฝาขาว
มี Minor Change ไปใช้ไฟตากลม และเปลี่ยนไฟท้ายใหม่
มี ญาติ ฝาแฝด คือ Sera
Generation 9 ในปี 1996 ใช้ชื่อ Starlet Glanza รหัส EP90
ใช้เครื่องยนต์ 4E-FE
ตัว Turbo ใช้ชื่อว่า GT Turbo เครื่องยนต์ 4E-FTE ฝาดำ
ตัว Minor ต่างกันที่ กันชนหน้า และ ไฟท้าย
มีญาติ ฝาแฝด คือ Paseo
Generation 10 ทำคลาดในปี 1996 ใช้ชื่อ Vitz / Yaris รหัส NCP10
มีเครื่องยนต์ 4 แบบ คือ 1.0 VVTI 1.3 VVTI 1.4D4D Turbo และ 1.5 VVTI
Minor Change ปี 2003 ครับ
บ้านเราไม่ได้จำหน่ายฮ๊ะ ^^
Generation 11 ทำตลาดในปี 2005 ใช้ชื่อ Vitz / Yaris รหัส NCP91
เครื่อง 1.5VVTI 1nz 1.5vvti
_____________________________
ย้อนเวลากลับไปเมื่อหลายปีก่อนตอนผมอายุ 3 ขวบ ถ้าจำไม่ผิด กำลังเล่นปีนประตูบ้านอยู่ ก็เห็นพ่อขับรถเข้ามาจอดในบ้าน แล้วแม่ก็บอกว่า "พ่อๆ เค้าขอขับคันเล็กนะ ^^" รถคันนี้เป็นรถมือ 3 เหตุผลที่พ่อเลือกคันนี้เพราะ ตอนนั้นพ่อกำลังหา astina pop up อยู่ เพราะคิดจะเอามาทำแท็กซี่ขับช่วงเสาร์ - อาทิตย์ ประมาณว่า จ - ศ ทำงานการไฟฟ้าปกติส-อ ขับแท็กซี่ (ขยันเกินไปและ) แต่แล้วก๋มีคนที่ทำงานแผนงเดียวกัน เสนอขายในราคา 2แสน (ประมาณ) พ่อก็เลยตกลงปลงใจกับเจ้านี้ นี้เอง ! หลังจากที่ขาย KE30 ไป ที่บ้านก็เหลือรถอยู่แค่คันเดียว เวลาไปไหนก็ต้องเอาคันนี้ไปไหนก็ต้องเอาคันนี้ไป ไม่ว่าจะเป็น พัทลุง เชียงใหม่ เกาะช้าง ดอยสุเทพ ดอยตุง ดอยอินทนนท์ ก็ไปคันนี้แหละ ถึงจะเตรียมของไปเยอะจนใส่ท้ายรถไม่พอ ก็เอามายัดใส่ในห้องโดยสารจนแถบจะนั่งไม่พอกับจำนวนสมาชิก 4 คน แต่ตอนนั้นตัวยังเล็กๆกันอยู่ จำไม่ได้ว่านั่งสบายหรือป่าว จำได้อย่างเดียวว่า เจ้านี้หน่ะ ไปไหนไปกันจริงๆ ถึกทนและไม่จุกจิก ถึงแรงจะมีไม่มาก แต่ก็ไปจนถึงสูงสุดแดนสยามจนได้แหละ ก็สมัยนั้นเครื่องยังแ่น่นหนิ ถ้าเป็น ณ.จุดๆนี้แหละก็ สตาร์ททีควันจะท่วมบ้านเอา เพราะเครื่องมันก็หลวมหมดแล้ว ตามอายุรถ
สำหรับรถคันนี้ได้เปลี่ยนกันชนหน้า กระจังหน้า และฝากระโปรง เป็นของรุ่น Turbo - S minor change ในภาษาเซียงกงเรียกกันว่า "กันชนตาข่าย กับ กระจังไฟตัดหมอก"
มันเก๋เก๋ก็ต้องเนี้ยแหละครับ ไฟตัดหมอกตำแหน่งไม่เหมือนชาวบ้าน มันทำหน้าที่ผ่าหมอกออกไปให้รถคันที่สวนมาเห็นว่า "ตรงนี้มีรถสวนมานะค๊ะ ระวัง !!" มันทำหน้าที่ของมันได้ดีและเหมาะสมในญี่ปุ่น แล้วในประเทศไทยหล่ะ ?? หมอกก็ไม่มี ไม่เห็นจำเป็นต้องเปิดหรอก ปกติก็ไม่ได้เปิดอยู่แล้วเพราะรถคันนี้วิ่งเฉพาะกลางวัน (แอร์ก็ไม่เย็น) เรียกได้ว่าตั้งแต่ซื้อมาใส่ก็แทบจะไม่ได้ใช้งานจริงเลย แต่เก๋ดีเลยเอามาใส่ ^^
เบาะนั่งด้านหน้าทำได้ไม่ค่อยดีนัก สำหรับเบาะรองนั่งกำลังดีกับประชาชนหุ่นมาตราฐาน แต่พนักพิงห่วยแตกยั่งกะไม่ได้ออกแบบให้คนนั้ง พิงแล้วเกิดอาการปวดหลัง เบาะรถเมล์อีซูซุครีม-แดงยังนั่งสบายกว่าอีก ! (เรื่องจริง) ไม่เป็นไรๆ ไว้ค่อยหา Recaroหมอนตันมาใส่โน๊ะ
เบาะนั่งด้านหลังก็ทำได้ไม่ค่อยดีนัก ทำไงได้หล่ะ รถก็คันตี๊ดเดียวเอง เบาะรองนั่งสั้นและเตี้ย เวลานั่งต้องชันเข่าพอสมควร พนักพิงพิงแล้วไม่ปวดหลัง ทำได้ดีกว่าด้านหน้า เพราะ เป็นเบาะตรงๆ ไม่งอไร้สาระเหมือนเบาะหน้า แต่ไม่มีที่จับบนหลังคา จึงไม่สามารถจะคว้าหรือจับอะไรตรงไหนหากเกิดเหตุการณ์รถบิน และไม่มีพนักพิงศรีษะด้านหลัง เพราะฉนั้น ถ้าโดนชนด้านหลังอย่างรุนแรงก็คอหักตายอย่างเดียวเชียวแหละ ไม่เป็นไรๆ เด๋วค่อยเอาเบาะหลังออกแล้วใส่โรบาร์แทนดีมั้ย จะได้เหมือนรถซิ่ง
( ปลาตพะเพียนโพยหวย กับ เครื่องรางของขลังไม่ต้องไปสนใจครับ ไม่ได้ทำให้รถแรงขึ้น )แผงคอนโซลหน้าเรียบๆตามยุคสมัย ใช้งานง่ายแหละสะดวก เพราะ รถคับแคบจับอะไรก็ถึงหมดแหละ ปัจจุบันก็พยายามรักษาความคลาสสิคเอาไว้ด้วยวิทยุหมุนคลื่น แต่กว่าจะหาคลื่นได้ก็....นะ ถ้าเป็นคนอื่นคงถอดทิ้งหมดแล้วแหละ สำหรับเก๊ะใส่ของก็ไม่ค่อยเยอะเท่าไหร่ เพราะ20ปีที่แล้ว สาวญี่ปุ่นคงไม่มีของอะไรเยอะแยะมากมาย เหมือนสมัยนี้หรอก พกไรบ้าบอเต็มไปหมด ถ้าจะใส่ข้าวของเครื่องสำอางก็เอาตะกร้าเก๋ๆไว้ใส่ของด้วยก็ดี(แบบแม่ผมเอง) พวงมาลัยอัปปรีเปลี่ยนมาใหม่จากเจ้าของคนที่ 2 (รถคันนี้เป็นรถมือ3) ไม่สวยเอาซะเลย ไม่เป็นไรค่อยหา nardi มาใส่ (ไม่อยากจะเม้าท์หรอกนะ เจ้าของคนที่2 ทำไรเละเทะไปหมด สายฟงสายไฟไปให้ร้านไหนเดินก็ไม่รู้ เดินมั่วและกระจุยกระจายมาก เรียกได้ว่าสายขาดเส้นเดียวไฟช็อตดับได้ทั้งคัน - -" )
หน้าตาของวิทยุหมุนคลื่น ที่กว่าจะหาคลื่นได้
คุณภาพเสียงก็ไม่ค่อยน่าประทับใจนัก เพราะวิทยุเครื่องนี้มีแค่ลำโพงโบราณๆ 1ตัวเท่านั้น !! เรียกได้ว่า เพลงจากลำโพงโทรศัพท์ยังเสียงดีกว่าอีก แต่ไม่เป็นไร เราเก็บไว้เก๋ๆ ไม่ได้เก็บไว้ใช้งานจริง ( แล้วก็วิทยุเทปก็ใช้ไม่ได้แล้วด้วย ใส่เทปฟังเพลง อุ๊ยคำคนแก่ ก็ไม่หมุนแล้ว และลำโพง4ตัวก็พังหมดทุกตัวแล้ว
)
เรียกได้ว่าดังทั้งคนยกเว้นวิทยุจริงๆสภาพห้องโดยสารตอนกลางคืน แสงสีเขียวตามยุคสมัยสีสบายตา แต่ถ้าเป็นตัวนอกจะเป็นแสงสีส้ม