ผู้เขียน หัวข้อ: เมื่อผมอยากเล่นรถยุโรปมือสอง รุ่นไหนจะรอดที่สุดครับบ  (อ่าน 99251 ครั้ง)

ออฟไลน์ joeyote

  • Sr. Member
  • ****
  • กระทู้: 966
พี่ๆคนไหนเคยใช้ หรือใช้งานอยู่ ช่วยบอกข้อดี และข้อเสีย ให้ฟังทีครับ

มีรุ่นที่สนใจดังต่อไปนี้ครับ

1. BMW 318 ISE E46 2003-2004  เป็น ซี่รี่ย์สาม ที่ยังงามไม่เคยสร่างครับ  หล่อได้ตลอดเวลา ชอบจิงๆ

2.Peugeot 406 EA9 (L5 ถ้ายังพอหาได้)  สวยเรียบๆ สไตล์ฝรั่งเศส นุ่มนวล ชวนง่วง

3.VW Passat TDI 2003+  เห็นว่ายังสวยอยู่ แล้วก็เป็นดีเซลด้วย

4. Audi A4 1.8T 2002  เคยขับแล้วประทับใจในความนิ่ง


วิจารณ์ มาเลยนะครับ  เอาทั้งแง่ดี และแง่เลว  มาเลย   จัดเต็มๆๆ
PAST: 2009 HONDA CITY SV
          2007 MINI ONE
          2007 PEUGEOT 207
          2013 HONDA ACCORD 2.0EL G9
          2016 MAZDA 2 Skyactiv XD High Plus L
NOW:  2012 ISUZU D-MAX Hilander 4DR Z/P
          2017 Subaru XV 2.0i-P

ออฟไลน์ neung23

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 1,662
ขอตอบ ตัวเลือกที่
1.เลี่ยง 318 ให้ไกล ไม่ว่าตัวไหน 323 แรงกำลังดี กินแกสสบาย
2013 W204 C250 AMG Plus
2011 Prius
2010 X5 xDrive 4.8i
2003 E39 523i Sport

ออฟไลน์ simcity

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 1,372
มาเพิ่มตัวเลือกให้อีก  1 ตัว

Alfa Romeo 156 ครับ

ออฟไลน์ The Relentless Pursuit of Perfection

  • Full Member
  • ***
  • กระทู้: 159
    • อีเมล์
ทำใจกับค่าซ่อมได้ยังครับ รถพวกนี้อะไหล่ไม่ถูกนะครับ

ออฟไลน์ joeyote

  • Sr. Member
  • ****
  • กระทู้: 966
ทำใจกับค่าซ่อมได้ยังครับ รถพวกนี้อะไหล่ไม่ถูกนะครับ
  เรื่องซ่อม ไม่มีปํญหาครับ  พอจะจัดการไหวครับ

ดังนั้น ว่ามาได้เลยครับ เต็มๆ
PAST: 2009 HONDA CITY SV
          2007 MINI ONE
          2007 PEUGEOT 207
          2013 HONDA ACCORD 2.0EL G9
          2016 MAZDA 2 Skyactiv XD High Plus L
NOW:  2012 ISUZU D-MAX Hilander 4DR Z/P
          2017 Subaru XV 2.0i-P

ออฟไลน์ joeyote

  • Sr. Member
  • ****
  • กระทู้: 966
ขอตอบ ตัวเลือกที่
1.เลี่ยง 318 ให้ไกล ไม่ว่าตัวไหน 323 แรงกำลังดี กินแกสสบาย
  มันอืดอาด ขนาดนั้นเลยหรอครับ 318 เนี่ยยย
PAST: 2009 HONDA CITY SV
          2007 MINI ONE
          2007 PEUGEOT 207
          2013 HONDA ACCORD 2.0EL G9
          2016 MAZDA 2 Skyactiv XD High Plus L
NOW:  2012 ISUZU D-MAX Hilander 4DR Z/P
          2017 Subaru XV 2.0i-P

ออฟไลน์ TorTy

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 1,992
ที่กล่าวมาที่จบง่ายสุดก็ bmw แหละครับเหตุผลเพราะมีอะไหล่มือสองและอะไหล่เทียบมากมายไม่ต้องห่วงเลยสิ่งที่สำคัญหารถที่สภาพดีครับ
จะได้ไม่ต้องตามเก็บมากหารถที่เรารู้ประวัติได้ยิ่งดีของแต่งเยอะยังรอได้อีกนาน
อันดับสองที่เล่นได้ผมว่า Audi ครับอะไหล่แพงกว่าหน่อยแต่อู่นอกเก่งถือว่ามีเยอะพอสมควรอะไหล่ตัวไหนหาไม่ได้ก็ยังเบิกศูนย์ได้ถ้าจำเป็น
ช่วงล่างต้องดูเน้นเป็นพิเศษลองขับได้จะดีที่สุดลองดูรอบเดินเบาเหยียบเบรคดูอาการของรถและเสียงว่าปกติดีไม๊
โชคดีครับ

ออฟไลน์ osment

  • Internship
  • Sr. Member
  • *
  • กระทู้: 791
318 ว่ากันว่าจุกจิกครับ 4 สูบ BMW แต่ก่อนไม่ค่อยจะดีเท่าไรนัก

ออฟไลน์ The Relentless Pursuit of Perfection

  • Full Member
  • ***
  • กระทู้: 159
    • อีเมล์
ใช้ PASSAT 2.3 V5 อยู่อ่ะคับ body เดียวกับ TDI ซื้อป้ายแดงไม่ได้ซื้อมือสอง คงแนะนำไรไม่ได้มาก ซ่อมแพงเอาเรื่องครับ แต่ใจรักก็จัดไปครับ

ออฟไลน์ panerai

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 1,351
 ตอบ ในฐานะที่ใช้ E46 325i น่ะครับ ใช้มาตั้งแต่ป้ายแดงตอนนี้ก็จะ6ปีแล้วครับ 120kกว่าๆกิโลเมตรแล้ว
 -เครื่องยนต์
 ไม่เคยมีปัญหา แต่รุ่นผมเป็น6สูบน่ะครับ
 -ระบบไฟฟ้า
  ยังไม่เคยรวน แต่มีแปลกๆบ้าง คือไฟระบบ dsc อยู่ดีๆก็โชว์แต่ดับเครื่องแล้วสตาร์ทใหม่ก็หายครับ เปนแค่2ครั้งได้มั้งครับ
 -ช่วงล่าง
  บูชปีกนกของสแตนดาร์ดพังไวไปหน่อยกับพวงมาลัยรถผมตอนนี้มีเสียงกึกๆเวลาเหยียบลูกเหล็กบนถนน
 - อัตราสิ้นเปลือง
  ผมเจอรถติดตลอด 5-6.5โลลิตรครับ ทางไกลวิ่ง140-160จะประหยัดกว่าวิ่ง120น่ะครับ ;D เคยวัดได้12-13โลลิตร
 -ซ่อมบำรุง
 ศูนย์บริการ หรืออู่นอกเกลื่อนครับ :D ผมก็ได้ฟังหลายคนบอก 318i ไฟยก เครื่องจุกจิกมาเหมือนกัน แต่ถ้าผมแนะนำเล่น6สูบไปเลยครับ ถ้าอยากประหยัดก็ติดGasเอาครับ เครื่อง6สูบมันทน ถึก ช่างซ่อมง่ายกว่าน่ะครับ

 ปล. ไม่อย่างนั้น AUDI ก็น่าสนครับ เดี่ยวนี้อู่ซ่อมเยอะขึ้นเยอะครับ
     AUDI A4 B5.5 1.8T มีถึงปี 2001 มั้งครับ
     ส่วนปี2002up จะเป็น B6 น่ะครับในไทยมีแต่ 2.0 2.4 3.0ครับ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: พฤษภาคม 10, 2011, 21:54:58 โดย panerai »

Chariot

  • บุคคลทั่วไป
ขอตอบส่วนของ 406 บ้างครับ

เคยคุยกับเจ้าของรถ 406 ตอนไปซ่อมที่อู่เดียวกัน หลายคนลงความเห้นว่า เกียร์ซ่อมแพงสุด อย่างอื่นไม่มีจุกจิก

ที่น่าแปลกคือ เกียร์ชื่อ Porsche triptronic แต่ไม่ได้ช่วยให้การขับขี่ดีขึ้นอย่างรู้สึกได้เลย 555+

อะไหล่ตัวถังถูกกว่าออดี้ เอ4 เทคโนโลยีตามสมัย ไม่ไฮเทคมาก ซ่อมง่าย ไม่จุกจิก ไม่มีอะไรที่แปลกแหวกแนวจนเกินไปเหมือน ซาบ ออดี้ ซีตรอง

แหล่งอะไหล่ส่วนใหญ่ซื้อแถวร้านเอกชัย และวิสุทธิ์กษัตริย์

เครื่องไม่แรง โดยซีวิค 2.0 สวนกระจาย แต่ถึงทางโค้งเมื่อไหร่ล่ะก็ หึๆๆ

กินน้ำมันดุเล็กน้อย ราวๆ 7 โล/ลิตรในเมือง เห็นติดแก๊สกันหลายคัน ไม่มีปัญหา

ถ้าไม่ติดใจออพชันอะไรมาก แนะนำรุ่น D8 เกียร์ธรรมดา ประกอบนอก แหล่มสุดครับ งานเนี้ยบกว่าอย่างชัดเจน แต่เก่าหน่อย

ออฟไลน์ neung23

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 1,662
ตอบ ในฐานะที่ใช้ E46 325i น่ะครับ ใช้มาตั้งแต่ป้ายแดงตอนนี้ก็จะ6ปีแล้วครับ 120kกว่าๆกิโลเมตรแล้ว
 -เครื่องยนต์
 ไม่เคยมีปัญหา แต่รุ่นผมเป็น6สูบน่ะครับ
 -ระบบไฟฟ้า
  ยังไม่เคยรวน แต่มีแปลกๆบ้าง คือไฟระบบ dsc อยู่ดีๆก็โชว์แต่ดับเครื่องแล้วสตาร์ทใหม่ก็หายครับ เปนแค่2ครั้งได้มั้งครับ
 -ช่วงล่าง
  บูชปีกนกของสแตนดาร์ดพังไวไปหน่อยกับ  พวงมาลัยรถผมตอนนี้มีเสียงกึกๆเวลาเหยียบลูกเหล็กบนถนน
 - อัตราสิ้นเปลือง
  ผมเจอรถติดตลอด 5-6.5โลลิตรครับ ทางไกลวิ่ง140-160จะประหยัดกว่าวิ่ง120น่ะครับ ;D เคยวัดได้12-13โลลิตร
 -ซ่อมบำรุง
 ศูนย์บริการ หรืออู่นอกเกลื่อนครับ :D ผมก็ได้ฟังหลายคนบอก 318i ไฟยก เครื่องจุกจิกมาเหมือนกัน แต่ถ้าผมแนะนำเล่น6สูบไปเลยครับ ถ้าอยากประหยัดก็ติดGasเอาครับ เครื่อง6สูบมันทน ถึก ช่างซ่อมง่ายกว่าน่ะครับ

 ปล. ไม่อย่างนั้น AUDI ก็น่าสนครับ เดี่ยวนี้อู่ซ่อมเยอะขึ้นเยอะครับ
     AUDI A4 B5.5 1.8T มีถึงปี 2001 มั้งครับ
     ส่วนปี2002up จะเป็น B6 น่ะครับในไทยมีแต่ 2.0 2.4 3.0ครับ


ของผมก็ดังแต่ช่างไม่ได้ยิน -*-

ตอบในฐานะ ใช้ทั้ง E39 523i Sport < ขายไปแล้ว และก็ E46 330i ใช้อยู่

318 ตัวไฟตก(ตาตก)มันอืดคับ แต่ทน(พอกับ6สูบหรือแย่กว่า) แต่เรื่อง อืด นั้นทำใจเลยคับ อืด ชิหาย!!! แต่ถ้าตัวไฟยกตัวนี้แหละตัวดี สารพัดสารเพที่มันจะรวน เยอะแยะไปหมด ช่างในอู่ BMW เก่งๆหลายคนส่ายหน้าหนีกันเยอะแล้วคับ ไปมองตัว 323iSE 325i 330i ได้จะดีกว่าต่อตัวคุณเองคับ ยิ่งถ้า325 คุณได้เครื่อง M54 ที่ได้รางวังมาเยอะแยะ และเงียบกว่า M52tu ใน 523 และ 323 เยอะ ทำสำคัญ M54 มันจี๊ดได้ใจกว่าเยอะ แล้ว ประหยัดกว่าด้วย และ 325 มักเป็นตัวปีท้ายๆแล้วครับ เครื่องตัวเดียวกับ E60 525iSE

อาการรวนของ E46 ก็พวกน้ำรั่วเข้าประตู รางกระจกพัง(ร้านโชว์ตง)ซ่อมทีเดียวจบ บูชปีกนกพังบ่อยเกินงาม นึกไม่ออกแล้วคับ จะเล่น หา6สูบและตัว iSE ได้ เอาเลยคับออพชั่นมาครบๆ ว่าแต่ไม่ไปมอง E39 มั่งหรอคับ?
2013 W204 C250 AMG Plus
2011 Prius
2010 X5 xDrive 4.8i
2003 E39 523i Sport

ออฟไลน์ BIMBO

  • Newbie
  • *
  • กระทู้: 20
ในฐานะที่ใช้ Passat TDI อยู่นะครับ ปี 2003 ครับ

วิ่งมาแล้ว 250000 กิโลครับ จ่ายค่าซ่อมพร้อมค่าแรงไปแล้วเกือบ 400000 ครับ
ชิ้นส่วนพังเกือบทุกอย่าง ยกเว้นตัวเครื่องและเกียร์ครับที่ยังเป็นของเดิมอยู่ -_-"
อันนี้คือรถเข้าศูนย์ตลอดนะครับ แพงเอาเรื่อง ส่วนศูนย์ที่ว่าดีหรือไม่ดียังไง จขกท น่าจะทราบประวัติความเป็นมานะครับ

ส่วนตัวรักคันนี้มาก ยอมรับว่าเครื่องดีเซล 2000 เทอร์โบ ตัวนี้เยี่ยมจริงๆ ครับ เสียงดังอย่างเดียว
แต่อัตราเร่งเยี่ยมมากครับ อัตรากินน้ำมันถือว่าประหยัดสุดๆ เฉลี่ยคือ 16-18 โลลิตรครับ

ถ้า จขกท มีอู่ข้างนอกที่ไว้ใจได้ ก็น่าจะเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจนะครับ  แม้ใจผมจะเชียร์ BMW มากกว่านะ

ออฟไลน์ LimitedEdition

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 3,410
ถ้าคุณ BIMBO อยู่ในกทม.
ผมแนะนำอู่ Diamond บนถนนเอกมัยช่วงเพิ่งเลี้ยวเข้ามาจากพระราม 9 ติดกับสถานีดับเพลิงครับ

ไม่ได้มีส่วนได้ส่วนเสียด้วย แต่สมัยใช้ Seat Cordoba 1.8 CTX ก็ไปทำที่นี่
เพราะช่างเก่งเก่งจาก ยนตรกิจทองหล่อ ลาออกกันมายกศูนย์แล้วเปิดเอง
ทำจบ ด้วยค่าแรงที่ถูกกว่ากันมาก แต่ครั้งสุดท้ายที่ผมแวะเข้าไปคือปี 2002
ไม่รู้ว่าตอนนี้ จะดีขึ้น หรือ จะเละเทะ ก็ไม่ทราบจริงจริงครับ

ออฟไลน์ panerai

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 1,351
อ้อๆ E46 ตัวท้ายๆปี 04-05 ไม่ว่าจะเป็น 318i หรือ 325i จะมี built in Bluetooth มาให้น่ะครับ

ออฟไลน์ kritcc

  • Jr. Member
  • **
  • กระทู้: 90
ถ้าไม่นับในตัวเลือกที่ให้มาโดยรวมยี่ห้อ Benz โดยรวมซ่อมสะดวกสุด ราคามือสองมันจึงแพงสุดเพราะซ่อมง่ายอะไหล่ราคาไม่แพงจนเกินไป หาง่าย ใหม่แท้เทียม มือสอง มีให้เลือกเพียบ แต่รุ่นหลังปี 2000 ไม่น่าเล่นเพราะจุกจิกไม่ทน เพราะปรัชญาในการทำรถของเค้าเปลี่ยนไปจากที่เป้าหมายคือ ต้องวิ่งได้อย่างน้อย 20 ปี กลายเป็น ต้องขายอะไหล่ให้ได้มากๆ อย่าง บูชปีกนก S ตาเหยี่ยว มีขนาดเท่ากับ Civic แล้วมันจะทนทานได้อย่างไร เมื่อน้ำหนักรถต่างกัน 500 โล

แต่ถ้าเฉพาะใน List ที่ให้มา TDI ขับมันส์สุด ประหยัดน้ำมันสุด และ น่าจะซ่อมถูกสุด ในบรรดารถที่คุณ List มา

ส่วน BM ทุกรุ่นลืมไปได้เลยอะไหล่แพงโคตร ยกตัวอย่างเช่น แม่ปั้มเบรค ยี่ห้อ Ate ขนาดลูกสูบใกล้เคียงกัน ถ้า Benz 2500 บาท BM จะราคา 4500 บาท แต่โดยรวม BM ขับมันส์ ถ้าเอารถที่ชอบเข้าว่าไม่กลัวซ่อมแพงและจุกจิกก็ลุยได้

รถมือสอง ทุกยี่ห้อถ้าเข้าศูนย์เลือดสาดทั้งนั้น

PKS8

  • บุคคลทั่วไป
ทั้งหมดนี้ ผมแนะนำ Audi กับ VW ล่ะครับ

แต่ใจอยากให้ลอง TDi มากกว่าเพราะมันแรงต้นดี และประหยัด แต่เครื่อง 1.8T ของ Audi ก็ดีนะครับ แต่มันไม่ประหยัดเท่าดีเซล

ส่วน E46 ผมแนะนำ 323i หรือ 325i มากกว่า แล้วราคาไม่หนีกับ 318i เท่าไหร่

เรื่องค่าซ่อม Audi กับ VW อะไหล่ไม่ได้หายาก ไม่เคยรอนาน และราคาไม่แพง ราคาอะไหล่จะพอๆกับรถญี่ปุ่นรุ่นใหม่ๆนี่แหละครับ

แต่โดยรวม ซ่อมจบแล้วขับดีกว่าเยอะครับ

พอมาถึง BMW ซ่อมถูกกว่าเบนซ์และ Audi อีกครับ ถ้าเข้าอู่นอก ผมเอาค่าอะไหล่มาเฉลี่ย แล้ว BMW ค่าดูแลต่ำกว่า audi อีกครับ

รถมือสองดูที่สภาพครับ ได้มาดีก็ซ่อมน้อยซ่อมจบ ไม่จุกจิกเหมือนรถมือหนึ่งนั่นแหละครับ

Chariot

  • บุคคลทั่วไป
เอาราคาอะไหล่ 406 จากกระทู้เก่ามาให้ดูครับ

http://www.headlightmag.com/webboard2011/index.php?topic=8297.0

โดยคุณ VeepZ
อ้างถึง
โช๊คซ้ายขวา 3800 ครับ
ยางแท่นเครื่อง 1200
ยางแท่นเกียร์ 1200
บู๊ชจับแท่นเครื่อง 1200
ผ้าเบรค 2944
ท้าวแขนกันโคลง 900

ส่วนอันนี้จากผมเอง จากการสำรวจราคาแร็คพวงมาลัยเชียงกง

โคโรลล่าไฮทอร์ค 2800

ของซีวิคไดเมนชั่น 3500

ของ 406 ทั้งเส้น รวมลูกหมากและแถมไม้ตีกลอง 5900 (อัพเดต ราคาขึ้น 1000 จากคราวก่อนที่สำรวจ)

Volvo 760 turbo โดนไป 6500 !!...


ใครว่าเบนซ์ บีเอ็ม ออดี้ ราคาอะไหล่ถูก ก็ดพสต์ราคาอะไหล่ประชันกันเลยครับ เรามั่นใจถูกกว่าชัวร์ (เอ๊ะ สโลแกนเหมือนห้างขายส่ง  ;D :D)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: พฤษภาคม 11, 2011, 10:41:56 โดย Chariot »

ออฟไลน์ jojow

  • Sr. Member
  • ****
  • กระทู้: 938
ถ้าเรื่องการซ่อมบำรุง BMW น่าจะซ่อมบำรุง ง่ายที่สุดนะครับ
เพราะเป็นเครื่องตัวเก่า มีคนติดแก๊สเยอะพอสมควร

ส่วนถ้าชอบ Peugeot 406 ให้หาข้อมูล ใน Peugeot4you.com นะครับ ข้อมูลเยอะ(ผมก็อยู่ในนั้นเหมือนกัน)
406 จุกจิกนิดหน่อย เรื่องเกียร์ สวิทซ์คันเกียร์
ส่วนเรื่องติดแก๊ส ไม่มีปัญหานะครับ ถ้าเจออู่ดี
เพราะผมก็ติดอยู่ใน 406D9 ใช้งานนอกเมือง กินแก๊ส 1.15 บาท/กม. ในเมือง 1.5 บาท/กม.(คิดจากค่าแก๊ส 11.15 บาท)
ส่วนเรื่องอะไหล่ ร้านนอกอู่ ก็ร้านเอกชัย แถวคลองเตย
ใช้ 406 อย่าเข้าศูนย์นะครับ เด๋วตัวเบา เพราะอะไหล่แพงมากกกกกก
2002 BENZ W220 S280 ,2002 PEUGEOT 406 D9
2004 BMW E60 525ISE ,2011 NISSAN 370Z
2011 BMW F10 525d ,2012 BMW F10 520i
2012 MAZDA BT-50PRO DBL 2.2 ,2015 TOYOTA ALPHARD SC PACKAGE
2015 PORSCHE CAYENNE S E-HYBRID ,2017 PORSCHE 718 CAYMAN S
2017 VOLVO S90D4 POLESTAR
2020 TOYOTA CROSS
2021 TESLA MODEL3

jaesz

  • บุคคลทั่วไป
เอาราคาอะไหล่ 406 จากกระทู้เก่ามาให้ดูครับ

http://www.headlightmag.com/webboard2011/index.php?topic=8297.0

โดยคุณ VeepZ
อ้างถึง
โช๊คซ้ายขวา 3800 ครับ
ยางแท่นเครื่อง 1200
ยางแท่นเกียร์ 1200
บู๊ชจับแท่นเครื่อง 1200
ผ้าเบรค 2944
ท้าวแขนกันโคลง 900

ส่วนอันนี้จากผมเอง จากการสำรวจราคาแร็คพวงมาลัยเชียงกง

โคโรลล่าไฮทอร์ค 2800

ของซีวิคไดเมนชั่น 3500

ของ 406 ทั้งเส้น รวมลูกหมากและแถมไม้ตีกลอง 5900 (อัพเดต ราคาขึ้น 1000 จากคราวก่อนที่สำรวจ)

Volvo 760 turbo โดนไป 6500 !!...


ใครว่าเบนซ์ บีเอ็ม ออดี้ ราคาอะไหล่ถูก ก็ดพสต์ราคาอะไหล่ประชันกันเลยครับ เรามั่นใจถูกกว่าชัวร์ (เอ๊ะ สโลแกนเหมือนห้างขายส่ง  ;D :D)


E46 นะครับ ราคาอะไหล่ใหม่ ๆ

แร็คบีเอ็ม ซ่อมได้ครับ ค่าซ่อมพร้อมอะไหล่ทั้งหมด 2,000 บาท ซ่อมไม่ยากด้วย ZF เขาออกแบบมาดี ถอดใส่ซีลตามลำดับ แร๊กใหม่ ๆ ทั้งอัน 12,000 บาท
โช๊คคู่หน้า 4400 บาท ของแท้ๆ จาก Sachs
คู่หลัง 2000 บาท
บุชปีกนก แบบอัด 800 บาท ต่อคู่ ถ้าเอาทั้งหู 2000 บาท ค่าใส่ 200 บาท
ปีกนกทั้งอัน ข้างละ 2800 บาท อลูมิเนียมเดิม ๆ แท้ ๆ ใหม่ ๆ ไม่ต้องมาเปลี่ยนลูกหมากทีละตัว
ยางหูกันโคลง 20 บาท ต่อลูก
ผ้าเบรคหลัง 750 คู่หน้า 850 บาท
พัดลมหม้อน้ำ (อันนี้ผมอ่านมาจากที่อื่น) 4500
ลูกหมากคันชัก ซ้ายขวา 650 บาท ต่ออัน
กรองน้ำมันเกียร์  750 บาท
กรองน้ำมันเครื่อง 80 บาท
กรองอากาศ 220 บาท
เกียร์ทั้งลูก 7x,xxx บาท หาเจอในเว็บ ร้านขายอะไหล่


ในจำนวนรถข้างต้น ผมว่า อะไหล่ BMW ถูกสุดแล้ว เพราะ NON-OEM เยอะ ยิ่งเครื่อง M43 ใคร ๆ ก็ทำได้ ปีกผีเสื้อยังใช้สลิงดึงอยู่ โซ่ราวลิ้น แท๊กซี่ในเยอรมันวิ่งกันเป็นล้าน ๆ กิโลเมตร


แต่ e46 ที่เจ้าของกระทู้ว่ามา เครื่องยนต์เป็น N42  อะไหล่ใหม่ๆ ยังแพงอยู่ครับ ไม่ค่อยถูก ช่วงล่างเหมือน ๆ กัน

ถ้าเลือกเจ้าไฟตกปีแรก ๆ อืดจริงครับ 0-100 ได้ 11.4 วินาที แต่นั่นมันรถที่ออกมาตั้งแต่ปี 1998  เครื่องก็ยกมาจากรถทีออกตั้งแต่ ปี 1992 เอามาพัฒนาระบบจ่ายน้ำมัน ระบบควบคุมอากาศ ไอเสีย และ วาล์วใหม่ ความเร็วปลาย 220 ได้อยู่แล้ว ที่เหลือก็ใจครับ

popdemonic

  • บุคคลทั่วไป
ขอตอบเป็นข้อๆดังนี้

BMW E46 นั้น หากจะเล่นตัว318i บล๊อค"N" แนะนำว่าให้ขยับไปเล่นเป็นตัว323i เครื่องบล๊อค"M" จะดีกว่า

สาเหตุเนื่องจากมาจากความทนทาน ความจุกจิก ความแพงของอะไหล่ ความหลากหลาย ความแพร่หลายของเครื่อง323

 นั้นมีมากกว่าเป็นทุนเดิม และไม่จุกจิก  อัตราเร่ง สำหรับ318i อยู่ในขั้นที่เพียงพอต่อการใช้งานแล้วครับ

แต่อาจจะหงุดหงิดในบางช่วง เนื่องจากรถบอดี้มีน้ำหนัก แต่เครื่อง4สูบ ซีซีน้อย เป็นธรรมดาที่จะต้อง รู้สึกอืดได้บ้าง

อาการเสียหลายๆอย่างไม่น่ากลัว เนื่องจากเป็นโรคประจำตัวของเค้า ช่างบีเอ็มทั้งในศูนย์และนอกศูนย์

นั้นจัดการแก้ไขได้หมดแล้ว อะไหล่ แท้เทียบเทียมเหมือนมือสองคลองถม มีให้เลือกสรรตามอัตภาพของกระเป๋าสตางค์

ท่านเจ้าของรถ ของตกแต่งภายนอกมีให้เลือกกันชนิด วีออส และยาริสมีอายเพราะเยอะมากมายครับ

มาถึงเรื่องสมรรถนะช่วงล่าง และเบรค ไว้ใจได้ดีทีเดียว  ตามสไตล์เค้าครับ ไม่ต้องห่วงเรื่องพวกนี้สำหรับ

ค่ายบีเอ็มดับบลิว โดดเด่นมาแต่ไหนแต่ไรครับ ข้อควรแนะนำสำหรับรถรุ่นนี้ไม่มากครับ เพราะเป็นรถยอดนิยม

ในตลาดรถบ้านเรา ที่สำคัญคือหาสภาพเดิม ล้อ16 ไม่เคยโหลด ไม่เคยยำบอดี้ภายนอกมานั่นแหละครับ ดูดีที่สุด

แล้วครับ  อย่างมากเปลี่ยนล้อ โหลดมาก็ยังพอรับได้ครับ แต่ถ้าเพิ่มนู่นนี่นั่นเป็นยานอวกาศแนะนำให้หารถเดิมๆบางๆ

 สะอาดๆดีกว่าครับ ยังพอมีสภาพแบบนั้นในตลาดพอสมควร ออปชั่นของรถรุ่นนี้มีใหตามปกติ ของรถในยุคนั้นครับ

 ไม่ได้น้อยหน้าใคร เพียงพอต่อการใช้งาน ติดแก็สได้ไม่มีปัญหาเช่นเดียวกัน
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: พฤษภาคม 11, 2011, 16:35:36 โดย popdemonic »

popdemonic

  • บุคคลทั่วไป
โอเค มาถึงAudi A4 B5.5 1.8T ช่วงทำตลาด สัั้นๆคือช่วงปลายปี99 ขายมาจนหมดแถวๆ ปี2001

ออกมาพร้อมๆกับAudi A4 B5.5 V6 2.4 30V ในบอดี้เดียวกันมีการไมเนอร์เชนจ์เป็นเครื่องในบล๊อคเดียวกันกับ

1998- Audi A6 C5 2.4 ตัวมน รูปร่างสวยงาม ที่เห็นในท้องตลาด ช่วงล่างเป็นชุดเดียวกันกับAudi รุ่นเรือธง

คือA8 D1 4.2 V8 ทำตลาดปี1995 มาว่ากันที่ตัวรถแล้วกันนะครับ บอดี้ตัวนี้หลักๆแล้ว ออกทำตลาด

มาตั้งแต่ปี1995 ในบอดีเตัวถังที่เรียกว่าB5 เพราะฉะนั้นเท่ากับออดี้ลากยาวตัวถังตัวนี้มาทำตลาดแข่ง

กันตั้งแต่MB C-class W202 และ BMW E36 หรือบ้านเราเรียกว่าโฉมนกแก้ว เรื่องความสวยงามของตัวรถ

อันนี้แล้วแต่คนมอง ส่วนตัวผมยังชอบสเน่ห์ของAudi ทั้งเรื่องการออกแบบภายนอกและภายใน ซึ่ง

ผมว่าAudi จะออกแบบมาได้ดีกว่า BMW และMB รุ่นราวคราวเดียวกัน  วัสดุภายในของAudi ตัวนี้

จะสู้BMW E46 ไม่ได้ครับ มักจะมีปัญหาเรื่องปุ่มลอกบ้าง คอนโซลเหนียวนิดๆบ้างครับ

แต่สามารถแก้ไขได้ การเก็บเสียงในตัวรถ และเสียงออดแอดเป็นรองทางฝั่งใบพัดฟ้าขาว

การดีไซน์ภายในตัวรถ ความสวยงาม Audi ดูดีกว่าทั้งในตัวหน้าปัด เพราะBMW E46

ผมยังถือว่ายังอยู่ในยุคช่วงที่BMW ยังconservative อยู่ และการออกแบบปุ่มการใช้งาน

ต่างๆนั้นยังคง ได้รับอิทธิพลมาจากBMW รุ่นเก่าๆคือ อะไรๆก็คนขับหมด อัตราเร่ง

จากกำลังเครื่อง4สูบ 1800cc เทอร์โบ พร้อมอินเตอร์คูลเลอร์ ส่งกำลังผ่านสองล้อหน้า

ได้แรงม้า ขุนออกมา150ตัว อัตราเร่งต่างๆถือว่าเอามันส์ได้ เร่งแซงไว้เนื้อเชื่อใจได้

ผมเองได้มีโอกาสนั่งแต่รถทำกล่องมาแล้วทั้งนั้น เลยจำฟิลลิ่งรถเดิมๆไม่ค่อยได้ครับ

ผมว่าลื่นๆและน่าจะสูสีกับ323i ครับ แต่ตีนปลาย รถความจุมากกว่า ก็ได้ภาษีจาก

ความจุ จำนวนลูกสูบ อันนี้เป็นเรื่องธรรมดา การเกาะถนน หนึบหนับ แต่ถ้า

ความเร็วสูง ผมว่าเค้ายังเป็นรองBMW อยู่ มีอาการหน้าดื้อโค้งให้เห็นบ้างหาก

ใส่กันแรงๆจริงๆความนุ่มนวลถือว่าใช้ได้ อยู่เกณฑ์ปกติของรถไซด์นี้ อัตรา

การสิ้นเปลืองน้ำมัน ถือว่าดุเดือดเกินขนาดเครื่องยนต์ไปบ้าง ในเมือง

ว่ากันแถวๆ6-7โลลิตร หรืออาจะต่ำกว่า แต่ถ้าวิ่งนอกเมือง ว่ากันแถวๆ

10+กิโล/ลิตร มีให้เห็นแน่นอน เรื่องความจุกจิก เนื่องจากรถรุ่นนี้มี

ระบบอัดอากาศ และอินเตอร์คูลเลอร์ รถรุ่นนี้ถือว่ามีเซนเซอร์ต่างๆ

เยอะพอสมควร พอผ่านระยะเวลานานๆเข้ามักจะเสีย เช่นพวก

โซลินอยด์คอนโทรลบูสต์ ต่างๆ ทำให้สมรรถนะถูกเรียกออกมาไม่เต็มที่

บ้างสำหรับรถที่ไม่ได้รับการดูแลมาดีๆ แต่ไม่ต้องกลัวครับหากรักจะเล่น

รุ่นนี้จริงๆ มีแก๊งค์ที่เค้าเป็นคอ1.8T มีทั้งคลังอะไหล่ และคลังความรู้

ที่เค้าซ่อม สั่งอะไหล่มากันเอง เป็นกลุ่มคนรักเครื่อง1.8T ในบ้านเราอยู่

แล้วพอจะไหว้วานได้สบายๆ หากรักความแรง1.8T ตัวนี้ทำเบาๆ

โดดไป200ม้า หรือว่ากันแถวๆ280ม้าได้แบบไม่ยากไม่เย็นอะไรครับ

จุดอ่อนอีกบางจุดก็เช่นพวกสมองABS เสียบ้าง แต่ซ่อมได้ ก็มีตามสภาพอายุ

รถ ในที่นี้นับรสมถึงMB และ BMW ซึ่งก็มีจุดอ่อนพวกนี้เช่นเดียวกันครับ

เรื่องความแพร่หลายของอะไหล่ ถ้าเป็นอะไหล่ทั่วไป ช่วงล่าง เครื่องยนต์

ตัวถัง เบรค หาได้ไม่ยากเย็น อู่นอกพอพึ่งพาได้มีอยู่หลายอู่ในกรุงเทพเพราะ

เบสต์รถรุ่นนี้ทำตลาดในบ้านเรามาตั้งแต่ปี1995 แต่ตัวไมเนอร์เชนจ์ที่ผมกำลัง

กล่าวอยู่นั้นก็มีการเปลี่ยนแปลง พัฒนาตัวรถ และชิ้นส่วนต่างๆ มากขึ้นจากตัวก่อนไมเนอร์เชนจ์

อยู่พอสมควรครับ เรื่องอะไหล่บางชิ้นส่วนอาจมีปัญหาต้องรอบ้าง เช่นพวกโซลีนอยด์

ต่าง ราคาอะไหล่ทั่วไป ถือว่าพอรับได้ แต่โดยมากราคาจะสูงกว่า BMW E46

เนื่องจากความแพร่หลายของตัว รวมทั้งราคาอะไหล่โดยพื้นฐานของaudi นั้น

สูงกว่าBMW อยู่แล้วครับ แถมจำนวนรถยนต์ที่จำหน่ายในบ้านเรานั้มีน้อยกว่า

ก็เลยเป็นธรรมดาของกลไกการตลาด รุ่นนี้สามารถติดแก๊สได้จูนนิ่งดีๆ

ก็ใช้งานได้ดีไม่มีปัญหาครับ แถมมีกลุ่มคนที่รักชอบรุ่นนี้อยู่แล้วครับ สามารถไหว้

วานให้ช่วยดูให้ได้สบายๆ เครื่องมือเครื่องไม้ ตั้งแต่คอมพิวเตอร์ตรวจสอบ

ยันปั๊มลมมีครบ จะขาดก็ฮ้อยส์ตัวเดียวก็เปิดอู่ซ่อมรถรุ่นนี้ได้แล้วครับ   

popdemonic

  • บุคคลทั่วไป
Alfa Romeo 156 T.spark เครื่องยนต์ ถูกพัฒนามาตั้งแต่

เครื่องยนต์ตัวนี้ประจำอยู่ในAlfa Romeo 155 T.spark

ซึ่ง ถูกแบ่งออกเป็น2ช่วงอายุคือ ตัวแรก เป็นฝาสูบแบบ

8วาล์ว ถือว่าเป็นเครื่องโดยแท้ๆของAlfa Romeo จนมาถึง

ยุคที่Alfa Romeo SPA. รวมกับFiat จนพัฒนาฝาสูบรุ่นนี้ขึ้นมาเป็นตัว

16วาล์ว หรือ เขามักจะเรียกว่าเป็นเครื่องของอัลเฟียต เพราะเฟียต

เข้ามารวมตัวกับAlfa ในช่วงที่พัฒนาฝาสูบของเครื่องยนต์ยบล๊อคนี้แล้ว

ปั่นแรงม้าตั้งแต่ 8วาล์ว ได้แรงม้าที่ 143แรงม้าจนขยับ ปรับเปลี่ยนและได้

แรงม้าอิตาเลี่ยนมาลง156 ได้ที่ 155 แรงม้า จุดเด่นของ Alfa Romeo

156 เรื่องการดีไซน์ ทั้งภายนอกและภายใน อิตาเลี่ยนนั้นไม่เคยทำให้ให้ชาว

โลกเราๆผิดหวัง 156 ถูกเปิดตัวตั้งแต่ปี1998 จวบจนถึงปัจจุบัน 156  ก็ยังดู

โฉบเฉี่ยวและสะกดสายตาบนท้องถนนได้ โดยอายุอานามในการทำตลาด และโลด

แล่นบนท้องถนนก็นับว่า10ปีขึ้นแล้ว ขนาดE coupe เด่นๆมาจอดข้าง156 ผมเชื่อว่า

156 ก็ยังสามารถสะกดสายตาได้มากกว่ารถจากค่ายดาวสามแฉก 156 เป็นรถที่มีความสนุก

ในการขับ สุนทรีย์ น่าจะเป็นคำพูดที่เหมาะสมกับ156 เครื่องยนต์ไม่ได้แรงจน ช่วงล่าง

รับไม่ได้ การตอบสนองของพวงมาลัย กระฉับกระเฉง เกียร์Selespeed ที่เขาว่า ว่าถอดแบบ

มาจากรถแข่ง แต่เอาเข้าจริงเจ้าเกียร์Selespeed ก็ถือว่าเป็นหอกข้างแคร่พอตัวเนื่องจาก

เกียร์ตัวนี้ก็มีจุดอ่อนในหลายๆจุด เช่นปั๊มselespeed มักจะชอบรั่วซึม โหมดเกียร์ต่างๆ

อาจมีการค้าง เอ๋อๆบ้างเป็นบางที การขับขี่ต้องทำความเข้าใจในระบบเค้าเช่นเหยียบ

เบรคค้างไว้ นานๆเกียร์เค้าจะdisengage ไปเป็นเกียร์ว่างให้อาจจะสร้างความสับสนในระยะ

แรกๆได้บ้างอะไรประมาณนี้ การออกแบบภายในเข้าขั้นเทพเลยทีเดียวเชียว สวยงาม

อมตะมากๆ ได้อารมณ์อีกอารมณ์หนึ่งทันทีเมื่อเข้าไปนั่งใน156 ส่วนข้อเสียก็มีครับ

คืออุปกรณ์ต่างๆนั้น ออกจะด้อยคุณภาพในเรื่องของวัสดุการประกอบบ้าง แต่ถือว่าเป็นเรื่อง

ปกติ ของรถอิตาเลี่ยน คอรถอิตาเลี่ยนจะรู้ดีกว่า คนอิตาเลี่ยนประกอบรถบางครั้งเหมือนใช้เท้าทำ

(156ตัวหลังเป็นCKD แล้วนะครับ) อุปกรณ์ภายในรถอาจะมีเหนียวๆได้บ้าง ตามสไตล์รถรุ่นใหม่

ที่เขาว่าเน้นวัสดูรีไซเคิลมาทำใหม่ความทนทานก็เลยด้อยลงไป การเก็บเสียงสำหรับผม ผมยัง

ถือว่า156 ทำได้ไม่ดีนัก ยังห่างจากรถเยอรมันชั้นนำอยู่ครับ เรื่องความจุกจิกของตัวรถส่วนตัว

นั้นก็คงไม่ต่างจากรถค่ายเยอรมัน มากนัก เผลอๆอาจจะน้อยกว่าแต่ปัญหามันอยู่ที่เรื่องศูนย์บริการ

เพราปัจจุบันรู้สึกว่าจะเหลือที่เดียวแล้วครับ ขนาดจะเปลี่ยนถ่ายของเหลวในศูนย์บริการบางทียัง

ต้องรอนานเลยครับ การเกาะถนน 156 โดยส่วนตัวผมว่าเกาะเอาเรื่องเลยครับ เข้าโค้งสนุกมาก

แต่ดันมาตกม้าตายเรื่องเบรค เบรคส่วนตัวผมยังไม่ประทับใจนักครับ หนักไปทางแข็งๆทื่อๆซะมากกว่า

ไม่กระชับ หนึบหนับเหมือน รถทางฝั่งเยอรมันเท่าไหร่ครับ จุดอ่อนอีกจุดหนึ่งซึ่งหากใครไม่เคยใช้

Alfa Romeo คือ เครื่องยนต์บล๊อคนี้เค้าจะทานน้ำมันเครื่องเป็นนิจครับ ทานซดมากๆ พันโลทีนึงก็ต้องมาเช็ค

น้ำมันเครื่องแล้วครับเพราะมันมักจะพร่องเสมอๆ เป็นตั้งแต่รถใหม่ๆก็เป็นแล้วครับเพราะฉะนันต้องทำใจตรงจุดนี้

นิดนึงต้องหมั่นคอยตรวจระดับน้ำมันเครื่องด้วยนะครับ

มาต่อกันอีกนิด หลายคนคงงง เอ็งไปทำธุรกรรมธนาคาร ถึงเที่ยงคืนตี1เลยเรอะ

พอดีออกข้างนอกแล้วยาว


มาว่ากันถึงการใช้งานยาวๆ เรื่องการบำรุงรักษา ตามอู่นอก ผมเอง พอทราบว่ามีอู่นอกที่รับซ่อมAlfa Romeo อยู่บ้างครับ

แต่คงไม่แพร่หลายนักสังเกตจาก บนถนนหนทาง ป้ายรับซ่อมรถAlfa Romeoนั้น ยังไม่เคยเห็นหรือถ้ามีก็คงน้อย เพราะฉะนั้น

ทางเลือกในการบำรุงรักษา อาจจะจำกัดจำเขี่ยบ้างครับ เพราะสมัยก่อนที่เล่นAlfa Romeo ก็ยอมรับตรงๆว่าเข้าศูนย์ตลอดเหมือนกันครับ

เพราะไม่ทราบว่าจะไปซ่อมทีไหนเหมือนกัน สมัยนู้นจำได้ว่าอะไหล่พวกช่วงล่างเช่นลูกหมากต่างๆ ปีกนก โช้คKoni คลัชท์ ผมไปหิ้วมา

จากสิงคโปร์ครับ แบบใส่กระเป๋าเดินทางเอาหนังสือเรียนปิดทับบนมาเดินผ่านช่องเขียวเอาครับ เพราะบวกลบคูณหารแล้วถูกกว่าบ้านเรา

แบบว่าสละค่าตั๋วเครื่องบินไปกลับคิดแล้วยังคุ้มกว่าซื้อที่ศูนย์บริการบ้านเราครับ  แต่เดี๋ยวนี้แถวๆวอเตอร์ลูร้านรวงต่างๆก็หายไปพอสมควรครับ

เงียบเหงาไปแยะกว่าสิบปีก่อนเยอะครับ เรื่องอะไหล่มือสอง156 ยังพอมีคนเอาหัวตัดรถเข้ามาเรื่อยๆ มีทั้งเครื่อง2.0 แบบบ้านเราและ

ตัวGTA ก็เห็นมีเข้ามาไม่ขาดสาย ตราบใดที่ยังมีดีมานต์อยู่ผมว่าของมันหาไม่ยากหรอกครับ ถ้ารักจะเล่นAlfa Romeo ส่วนตัวผมแนะนำว่าควรจะ

มีรถคันที่ 2 3 ไว้เผื่อเวลาจอดรอคิวเซอร์วิสต์ที่ศูนย์บริการจะได้ไม่จิตหงุดเงี้ยวครับ

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: พฤษภาคม 12, 2011, 01:16:33 โดย popdemonic »

ออฟไลน์ kritcc

  • Jr. Member
  • **
  • กระทู้: 90
นับถือความตั้งใจตอบคำถามของคุณ popdemonic จริงๆเลยครับ กด Like ให้สามที ใช้เวลาพิมพ์นานเท่าไรครับเนี่ย

ออฟไลน์ joeyote

  • Sr. Member
  • ****
  • กระทู้: 966
นับถือความตั้งใจตอบคำถามของคุณ popdemonic จริงๆเลยครับ กด Like ให้สามที ใช้เวลาพิมพ์นานเท่าไรครับเนี่ย
  เรียกได้ว่า สละเวลางาน  มาตอบคำถามของผม
นับถืออย่างสุดซึ้ง เลยครับ   เอาไป 10 กะโหลกกกกกกกกกกกก!!!
PAST: 2009 HONDA CITY SV
          2007 MINI ONE
          2007 PEUGEOT 207
          2013 HONDA ACCORD 2.0EL G9
          2016 MAZDA 2 Skyactiv XD High Plus L
NOW:  2012 ISUZU D-MAX Hilander 4DR Z/P
          2017 Subaru XV 2.0i-P

ออฟไลน์ tatata4181

  • Full Member
  • ***
  • กระทู้: 212
    • อีเมล์
ไม่ถามถึง VOLVO บ้างจะได้ตอบให้บ้าง :) :) :)

ออฟไลน์ Pan Paitoonpong

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 6,457
  • Long live M/T
ไม่ถามถึง VOLVO บ้างจะได้ตอบให้บ้าง :) :) :)

งั้นผมขอถามแทนเลยครับพี่ตา (ถามเพื่อเจ้ากล้วยด้วย)

แล้ว S60 2.0T หรือ 2.3T โฉมที่แล้วล่ะครับ พี่คิดว่าอย่างไรบ้าง
- Nissan Tiida บ้านๆ/NX Coupe/AE111/190E1.8

popdemonic

  • บุคคลทั่วไป
VW Passat TDI 2003 เริ่มพิ้นฐานมาจากVW Passat 1.8 รหัสตัวถังB5 Passat เปิดตัวบ้านเรา

อย่างเป็นทางการในตัวถังB4 ในปี1995 ยอดขายถล่มทลายเมื่อ ยนตรกิจ เคาะราคาขาย

เปิดตัวที่ ราคา938,000.- รวมทั้งมีการให้จับฉลาก ส่วนลดโดยการเอากล่องมาแล้วให้ท่านเจ้าของ

รถหยิบคูปองขึ้นมาว่าได้ส่วนลดเท่าไหร่ ของผมลดไป5,000.-  :'( ในตอนนั้น ถือว่า เป็นที่ฮือฮา

เพราะ รถยนต์ประกอบนอกCBU จากประเทศเยอรมัน ชื่อเสียงVW รถยนต์เพื่อประชาชน(สำหรับประเทศอื่น)

เพราะเมื่อคนไทยเอามาใช้ค่าซ่อม ค่าอะไหล่เล่นเอาประชาชนจนได้เหมือนกัน ตอนนั้นAccord Vtec ไฟท้าย

2ก้อนออกมาพร้อมกัน ในราคาที่เบียดกับPassat ในขณะที่Passat ออกโฆษณาอย่างโจ๋งครึ่ม ว่า

รถประกอบนอกทั้งคัน พร้อมด้วยระบบเบรคABS และถุงลมนิรภัยคู่ เป็นอุปกรณ์มาตรฐาน ในยุคนั้นถือว่าเป็นที่

ฮือฮามากๆ จริงๆแล้วPassat ตัวแรกที่มาขายบ้านเรามันคือการนำเอาPassat B3 ซึ่งออกทำตลาดที่เมืองนอก

แถวๆปี1991-1992 มาแต่งหน้าทาปากใหม่ครับ มาว่ากันถึงตัวPassat B5 เปิดตัวราวๆปี1998 โดยเป็นรถประกอบนอก

ในล๊อตแรกๆสังเกตว่า จะมีรถสีฟ้า และล้อจะเป็นฝาครอบล้อ พวกนี้จะเป็นประกอบนอก เป็นเบาะผ้ากำมะหยี่

และเบาะคู่หน้าจะยังไม่เป็นระบบไฟฟ้า จะใช้ระบบโยกแบบ VW Golf GTI Mk4 ช่วงล่าง และเครื่องยนต์นั้น

เหมือนกันกับ Audi A4 B5 กันแทบจะทุกประการ มีแรงม้าให้ใช้กันแถว125แรงม้า และจะมีรุ่นPassat V5 คือตัวเครื่อง

ยนต์2.3 เกียร์ทริปทรอนิค มีมูนรูฟมาให้ จากโรงงาน จนเมื่อเข้าสู่ยุคมิลเลเนียม Y2K กำลังฮิตๆยนตรกิจ ตัดสินใจ

เดินสายพานการผลิต รถยนต์VW CKD ตัวแรกในประเทศไทย ด้วยการ ปะตูด ฝากระโปรง ด้วยคำว่า Highline

จนเป็นที่ติดปากว่า Passat Highline สิ่งที่แตกต่างไปจากตัวประกอบนอกอย่าเห็นได้ชัด คือ ล้อแม๊กขอบ16นิ้ว

และไม่มีรถสีฟ้า อีกต่อไปในตัวHighline เบาะเป็นเบาะหนังแท้ปรับไฟฟ้ามาจากโรงงานใน ด้านหน้าทั้งซ้ายและขวา

จนเข้าสู่ปี2002 Passat ก็มีการปรับเปลี่ยนอีกแล้ว โดยปลดระวาง เจ้าเครื่อง1.8 ซึ่งรับใช้กันมาตั้งแต่ปี1995 ในAudi A4 B5

และเอาเจ้า2.3 V5 มาเป็นเครื่องยนต์มาตรฐาน ซึ่งในโมเดลนี้ รหัสตัวถังจะเรียกกันว่า Passat GP  กำลังวังชามีมาให้ใช้กันที่

170แรงม้า อัตราเร่ง ดีครับ แต่ยังมีความรู้สึกเป็นรองไม้เบื่อไม้เมาในสมัยนั้นคือ BMW E46 323i ซึ่งยอดขายถล่มทลาย

เนื่องจากรูปทรงE46 มันถูกใจวัยสะรุ่นในสมัยนั้นเป็นอย่างมาก ทำให้ยอดขายPassat ไม่กระเตื้องนักจนกระทั่งดั๊มพ์ราคาลง

มาก็ยังไม่ค่อยกระเตื้องเท่าไหร่ มาว่ากันถึงTDi ที่ที่สนใจ ในตอนนั้นกระแสของรถเก๋งนั่งเครื่องยนต์ดีเซล เพิ่งจะเริ่มเข้ามา

แต่ยังไม่เป็นที่นิยม เพราะยังติดภาพลักษณ์ของรถยนต์ดีเซลจะต้องเป็นกระบะขนปลา เสียงเครื่องดัง ควันดำกลบตูด

ทำให้TDi ก็ไม่ประสบความสำเร็จมากนัก โดยพื้นฐานช่วงล่างก็ยังเหมือนเดิมครับ เรียกง่ายๆว่าฟิลลิ่งของPassat B5 GP

มันก็เหมือนๆกับAudi A4 ตัวแรกในบ้านเรานั่งเอง แต่ความรู้สึกคงจะดีกว่าหน่อย ในตอนนั้นมีกระแสออกมาว่าสปริงของเจ้า

Passat GP 2.3 V5 นั้น ออกจะยวบยาบไป ซึ่งเมื่อมีการมาเปรียบแล้ว กลายเป็นว่าTDi กลับให้ความรู้สึกมั่นคงกว่าตัวเครื่องเบนซิน

มาว่าการถึงด้านการใช้งาน อะไหล่ ความแพร่หลาย ถือว่าอยู่ในระดับที่ พอจะไหว้วานร้านอะไหล่ข้างนอกได้บ้างครับ มีอะไหล่

พอจะหาซื้อข้างนอกกันได้บ้างแต่อุปกรณ์เชิงลึก อิเล็คทรอนิคส์ ยังไงๆก็ยังต้องพึ่งพายนตรกิจเค้า ราคาอะไหล่ในศูนย์บอกได้เลยว่า

ไม่ถูก ล่าสุดมีการปรับราคาอะไหล่ขึ้นมาอีก 10% -50% ในกลุ่มรถยนต์VW Audi ยกตัวอย่างเช่น Actuator ไฟหน้ารถAudi ผมจาก2พัน

กว่าโดดไป 4พันกว่า แผงทับทิมท้ายรถ ของผมตอนนี้ราคาอัพขึ้นไป 14,000.- เป็นต้น ความจุกจิกของ รถโมเดลนี่นั้น เป็นโรคประจำตัวคือ

ช่วงล่าง ซึ่งเป็นกันทุกรุ่นตั้งแต่A4 A6 Passat เพราะมันใช้ช่วงล่างชุดเดียวกันหมด ปัจจุบันมีการซ๋อมแซมได้ และมีผู้นำเข้าช่วงล่างเข้ามาแบบ

เป็นเซ็ตเปลี่ยนยกชุดในราคาไม่ถึง2หมื่นบาท เทอร์โบสำหรับตัวดีเซลนั้นไม่ค่อยทนทานครับ เสียง่าย แกนขาดเคยมีให้เห็นหลายคันครับ

ต้องระวังและหมั่นดูแลเค้านิดนึงครับ อุปกรณ์ภายในมีลอกบ้างเหมือนรุ่นอื่น ความสวยงามภายใน สวยงามครับ ดูดีกว่าE46 การเกาะถนน

มั่นคง เชื่อใจได้ดีแต่ก็ยังเป็นรองE46 อยู่ครับ ที่ความเร็วสูง การบริโภคน้ำมันสำหรับตัวดีเซลนั้นถือว่าอยู่ในเกณฑ์ดีครับ สำหรับรถเก๋งเครื่องยนต์

ดีเซลในยุคนั้น   อะไหล่ชิ้นส่วนตัวถังแพง แน่นอน อื่นๆนอกเหนือจากนี้ รถAudi พวกA4 Passat ในยุคนั้นให้อารมณ์คล้ายๆกัน แต่Passat GP

ผมว่าออกจากเกาะกว่าหน่อยครับ เสียงเครื่องยนต์ดังพอสมควร ใครมาขับครั้งแรกอาจจะรับไม่ได้ ส่วนเรื่องอัตราเร่ง ถือว่าใช้ได้ทีเดียวครับ

ตีนปลายทะลุ200แน่นอนครับ แต่ผมจะพูดในมุมมองแบบกลางๆ คือผู้ใช้รถทั่วไป อัตราเร่งดีครับ เร่งแซงให้ความมั่นใจได้ ไม่มีเสียวกันบ่อยๆ

ไม่ต้องลุ้นกันให้ข้อพับเปียก ปัจจุบันอู่นอกสามารถดูแลได้เต็มที่ มีความชำนาญ แล้วครับ ส่วนเรื่องเกียร์นั้น หากใช้ถูกต้อง เปลี่ยนน้ำมันเกียร์บ่อย

ทนทานครับ อย่าเชื่อว่าเกียร์VW Audi เปราะครับ ไม่ขนาดนั้น หากคุณดูแลหมั่นถ่ายน้ำมัน สามารถใช้งานได้ในระดับ2-300,000กิโล แต่อาจจะต้อง

มีการยกเปลี่ยนชุดคลัชท์ซักชุดหากพบว่า ตามท่อทางเดินเริ่มมีเศษผ้าคลัชท์อุดทางเดิน เนื่องจากผ้าคลัชท์มันมีส่วนผสมคล้ายๆไฟเบอร์ อาจจะทำให้

มันไปตามทางเดินน้ำมัน  อุดแถวท่อเข้าออยเกียร์ครับ นอกเหนือจากนี้ก็ไม่มีอะไรต้องเป็นห่วงครับ เรื่องปลีกย่อย

 
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: พฤษภาคม 12, 2011, 02:08:08 โดย popdemonic »

popdemonic

  • บุคคลทั่วไป
เหลือ S60 กะ 406 ใช่ป่าว เหอเหอ เดี๋ยวไว้มาต่อ
406 EA9จับนานแล้ว S60 พอถูไถๆ มีแต่S80 2.9 กะ850
อ่ะเซียนเลย

Chariot

  • บุคคลทั่วไป
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: พฤษภาคม 12, 2011, 02:03:08 โดย Chariot »