ผมว่าเราน่าจะเน้นตอบคำถามว่า "ทำไม" มากกว่า "เพื่ออะไร"
ถึงได้บอกว่าต้องพิจารณาปัจจัยอย่างที่ได้กล่าวไป
ทำไมรถสมัยนี้ทำความเร็วได้น้อยลง
เอ้าลองดูเคส Mitsubishi เป็นตัวอย่าง
Lancer F-Style 1.8 A/T
Lancer Cedia 1.8 CVT
Lancer EX 1.8
จะเห็นว่ารถที่เร็วที่สุดในกระบวนนี้คือรถที่ไม่ได้มีม้าเยอะที่สุด แต่มีอัตราทดเกียร์แปรผันที่ได้เปรียบ
มีขนาดตัวรถไม่ใหญ่ ล้อและยางไม่โต
แต่ Lancer EX ต้องโต เพราะพยายามจะขยายตัวเพื่อให้รองรับตลาดคนตัวใหญ่ๆอย่างอเมริกา
ออสเตรเลีย เป็น C-Segment ชนิดตัวโต พอตัวโต พื้นที่หน้าตัดของรถก็เยอะไปด้วย ล้อและยางก็ต้องโต
เพราะถ้าขืนใช้ล้อ 185/65/14 มันจะเล็ก ตลกเมื่อเทียบกับตัวรถ และเวลาเลี้ยวโค้งก็จะแย่เพราะความกว้าง
หน้ายางไม่เหมาะสมกับโมเมนตั้มแรงเหวี่ยงจากตัวรถที่น้ำหนักมาก
เมื่อคำนวณแล้ว มีส่วนได้ และส่วนเสีย แต่เพื่อความเหมาะสม ลูกค้าส่วนมากรับได้ และปลอดภัยกว่า
ทุกอย่างจึงต้องยอมแลกกับความเร็วสูงสุด
รถ C-Segment สมัยนี้ตัวใหญ่ขึ้นกว่าแต่ก่อนมาก กินลมด้วย และถ้าอยากรู้ว่าการแหวกอากาศทำอะไรได้บ้าง
ก็ลองคิดดูเล่นๆว่า Mustang Cobra ปี 96 ทำความเร็วสูงสุดได้เพิ่มขึ้น 5 ก.ม./ช.ม. เมื่อถอดสปอยเลอร์หลังออก
นี่แค่ถอดสปอยเลอร์อันไม่ใหญ่ออก ขนาดรถไม่ได้ใหญ่ขึ้น ยังเป็นแบบนี้เลย
บางคนอาจจะบอกว่าเครื่องยนต์รถใหม่ ทันสมัยกว่า มีเกียร์เจ๋งกว่า น่าจะชนะ
ก็ต้องดูก่อนว่า ความใหม่เหล่านั้นส่งผลเรื่องอะไร เรื่องการปล่อยมลพิษหรือเปล่า? เรื่องความกว้างของช่วงกำลังหรือไม่
เพราะเมื่อพูดถึงความเร็วสูงสุด ต่อให้เครื่องมีวาล์วแปรผัน มันก็ไม่ได้ช่วยอะไรถ้าเอามาเจอกับเครื่องวาล์วธรรมดา
แต่เซ็ตองศาแค็มเพื่อเรียกกำลัง ณ รอบความเร็วสูงสุด (แน่นอนรอบต่ำๆสู้ไม่ได้)
เกียร์..ผมอาจจะมี 5 สปีดออโต้ มี 140 ม้า แต่ทดเกียร์ 3 ไว้สูงสุด 180 ที่ 7,000 รอบ เกียร์ 4 วิ่งได้อีกนิดเดียวเพราะยาวเกินไป แต่รถอีกคันใช้เกียร์ออโต้ 4 สปีดเก่าๆ แต่ใช้เกียร์ 4 ที่ทดพอดี ที่ 7,000 รอบแล้วได้ความเร็ว 220 พอดี รถคันที่เกียร์ 4 สปีด ก็แซงได้เหมือนกัน
ดังนั้น เก่ากว่า ไม่จำเป็นจะต้องช้ากว่าเสมอไป เป็นเรื่องที่ถูกแล้ว แต่ถ้าเรามามองว่ารถ 1.8 สมัยก่อนหนัก 1 ตันนิดๆ
ล้อ 185/65/14 ในขณะที่รถ 1.8 ทุกวันนี้คันเท่า W124 E280 และใช้ล้อ 205/55/16
ผมกลับมองว่ามันเก่งจะตายชักที่ทำได้เท่าที่พวกมันทำได้กันอยู่