[V221]

ขออนุญาคิรีวิวรถตัวเอง3คันที่ผ่านมาในชีวิตโดยเป็นประสบการณ์ที่ได้ใช้รถยนต์ขนาดใหญ่ของค่ายตราดาว ในอดีตตอนหนุ่มๆก็มีโอกาสได้ขับW126 หลายๆคันที่คุณพ่อครอบครองไว้แต่ก็ไม่ได้ชอบมากมายเพราะความชอบของวัยรุ่นก็จะไปอยู่ที่BMWของตัวเองซะมากกว่าเพราะเป็นรถที่ขับสนุกกว่ามากมาย แต่เมื่อแต่งงานมีครอบครัวก็เปลี่ยนทัศนคติมาชอบรถที่ขับสบายๆแต่มั่นคงจึงได้ตัดสินใจย้ายค่ายจากใบพัดสีฟ้ามาเป็นตราดาวตามคุณพ่อเช่นกัน S Classคันแรกที่มีโอกาสได้ครอบครองเป็นรุ่นเครื่องยนต์เล็กที่สุดคือ S280 ตัวถังสั้น ซึ่งเป็นที่นิยมสำหรับอาเสี่ยบ้านเราในปลายทศวรรษที่90เป็นอย่างมาก

[V221]

เครื่องยนต์มีกำลัง193แรงม้าแต่แรงบิดไม่ค่อยมากนักเพียง270นิวตัน-เมตร ระบบพวงมาลัยแบบลูกปืนหมุนวนซึ่งตอบสนองไม่ไวเหมือนแร็คแอนด์พีเนียนเพราะเน้นขับสบายๆ

[V221]

รุ่นที่ผมใช้เป็นเกียร์ออโต4จังหวะแบบไฮโดรลิคจึงทำให้อออกตัวค่อนข้างอืด 0-100กม./ขม.ปาเข้าไป11วิ

[V221]

นับว่าเป็นรถที่ใหญ่และหนักมากมาย น้ำหนักตัวเปล่าเกือบๆ2ตัน

[V221]

เครื่องยนต์เป็นบล็อคเดียวกันกับW124 E280 ที่ผมขายไปเมื่อได้คันนี้มาแทน เป็นเครื่องยนต์6สูบเรียง24วาล์วแปรผันด้านไอดี รหัสM104 แต่124จะเป็นฝาครอบวาล์วสีขาว รุ่นนี้จะใช้ระบบหัวฉีดแบบMotronicพร้อมระบบจุดระเบิดแบบDirect Ignitionที่ใช้คอยล์จุดระเบิดอีเล็คทรอนิคส์1ชุดต่อ2สูบ

[V221]

เบาะนั่งหนานุ่ม ใหญ่โตมโหฬาร สมกับเป็นรถระดับผู้นำ โดยคันที่ผมใช้เป็นระบบคู่หน้าปรับไฟฟ้าทั้งหมดเเต่ไม่มีตำแหน่งความจำ เบาะปรับได้ทุกสรีระโดยสามารถปรับที่รองนั่งให้ยาวหรือสั้นเท่าใดก็ได้ซึ่งคุณสมบัตินี้มีต่อมาในS Classรุ่นถัดไปทั้งW220จนถึงW221โฉมปัจจุบันเช่นกัน เบาะนวดแผ่นหลังก็มีให้เหมือนกันสำหรับS Classทุกรุ่น

[V221]

คันที่ผมใช้เป็นปี95ซึ่งไมล์เป็นDigitalแล้ว ส่วนก้านCruise Controlด้านซ้ายของวงพวงมาลัยที่แสนจะใหญ่โตก็เป็นมาตรฐานเหมือนBenzทุกรุ่นจนถึงปัจจุบันไม่เคยเปลี่ยน คือโยกขึ้น-เพิ่มความเร็ว กดลง-ลดความเร็ว ดึงเข้า-ทำงานและResume ดันออก-ยกเลิก

[V221]

คันนี้เป็นรถนำเข้าธนบุรีแบบLow Optionสุดๆ มีเพียงกระจกมองข้างปรับไฟฟ้าและพับเก็บได้พร้อมทั้งม่านหลังไฟฟ้า แอร์ด้านหน้าเป็นแบบจอแยก วิทยุเทปพร้อมตู้CD6แผ่นBeckerด้านท้ายรถ เสียงธรรมดาๆมาก

[V221]

เพลทด้านหน้า

[V221]

VIN Code

[V221]

พัดลมไฟฟ้าด้านหน้า2ตัว ทำงานทีนึงดังสนั่น การทำงานจะสั่งการโดยสวิทช์แรงดันน้ำยาแอร์หรือECT Sensorวัดอุณหภูมิน้ำในหม้อน้ำ

[V221]

หน้าตาเจ้าECTที่เป็นปลั๊กสีดำเล็กๆเหนือวาล์วน้ำ

[V221]

ฝาครอบวาล์ว

[V221]

ระบบเบรคเป็นระบบABS 4เซ็นเซอร์ การทำงานตอบสนองค่อนข้างดี การจับตัวเป็นไปตามน้ำหนักเท้าได้ดี แต่ยังไม่มีระบบBA( Brake Assist )

[V221]

ตัวรถเป็นสีทรายทองยอดฮิตของเสี่ยๆในสมัยนั้น

[V221]

ถึงจะเป็นตัวสั้นก็ยาวไม่ใช่เล่น

[V221]

โคมไฟหน้าสามารถปรับความสูงได้

[V221]

ปุ่มปรับเบาะนวดด้านหน้า

[V221]

ตู้CD ติดรถเดิมๆ

[V221]

ที่ท้าวเเขนด้านหลังเปิดออกมาเก็บของได้เล็กๆน้อยๆ

[V221]

กระจกที่ประตูเป็นแบบ2ชั้นทุกบานซึ่งใช้มาจนถึงรุ่นปัจจุบัน แต่รุ่นนี้กระจกหนักมากทำให้ทุกคันต้องประสบปัญหาเฟืองหรือรางกระจกแตก เปลี่ยนใหม่ก็เป็นอีก หลังๆช่างไทยเลยโมดิฟายทำเฟืองทองเหลืองตัดปัญหาได้เด็ดขาดไป

[V221]

สวิทช์ใต้ช่องลมแอร์4ตัวจากซ้ายไปขวา ไล่ฝ้ากระจกหลัง กรองCharcoal ปุ่มล็อคประตู สวิทช์ไฟHazard

[V221]

รถรุ่นนี้ยังใช้ระบบช่วยการทรงตัวรุ่นแรกๆที่เรียกว่าระบบETS (Electronic Traction System)ซึ่งต่อมาได้กลายเป็นระบบESP

[V221]

สำหรับท่านที่ยังไม่คุ้นเคยกับการดูปีผลิตของMercedes Benzให้ดูง่ายๆที่กระจกจะมีเลขตัวล่างสุดแสดงหน่วยสุดท้ายของปี คศ. ในรูปเป็นเลข5คือผลิตปี1995ครับ อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงคันนี้วิ่งในเมืองป้วนเปี้ยนแถวๆ6กว่าๆ ทางไกลไม่เกิน130อยู่ที่10โลลิตรครับ

[V221]

Versionต่อมาก็คือW220 S280 สีทองเช่นกันแต่เฉดสีจะต่างกัน

[V221]

รถคันนี้เป็นรถประกอบในไทย ปี2002 เป็นS280 ช่วงสั้นตัวสุดท้าย

[V221]

Optionก็พื้นๆเพราะเป็นรถMB Thailand จะมีมากหน่อยก็คือเบาะหน้านวดแบบMulticontourและเบาะหลังปรับเลื่อนเอนนอนไฟฟ้าได้

[V221]

 

[V221]

จริงๆแล้วMercedes Benzก็ได้ใส่Technologyใหม่ๆในS Classทุกรุ่น น่าเสียดายที่ผู้ใช้งานไม่ได้ทราบถึงระบบElectronicควบคุมต่างๆซึ่งในW140ก็มีอยู่แล้ว สืบเนื่องต่อมาจนถึงในรุ่นW220ก็มีเช่นกัน ดังในรูปภาพ จอแสดงผลแอร์สามารถเปลี่ยนเป็นEngineering Modeสำหรับตรวจสอบค่าSensorต่างๆในรถได้มากมาย

[V221]

W220 ได้นำเอาจอหน้าปัดแบบOptitronมาใช้