มิตซูบิชิเตรียมแผนปี 55 ประเดิมไตรมาสแรกเปิดตัวมิราจ ตั้งเป้ากวาดยอด 2.5 พันคันต่อเดือน พร้อมเดินหน้าขยายดีลเลอร์ครบ 200 แห่งทั่วประเทศ และเปิดไดมอนด์ ยูสด์ คาร์ ครบ 50 แห่ง มั่นใจสิ้นปี 55 ยอดรวมเฉียด 1 แสนคัน
นายโนบุยูกิ มูราฮาชิ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท มิตซูบิชิ มอเตอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่าแผนงานในปี 2555 จะเน้นการทำตลาดของทั้งรถเก๋งและรถปิกอัพ โดยเฉพาะในกลุ่มรถเก๋งที่จะมีการเปิดตัวรถยนต์ในโครงการ โกลบอล สมอลล์ คาร์ ในรุ่น มิราจ คาดว่าจะทำการเปิดตัวได้ตามแผนงานที่วางไว้คือมี.ค. 2555 และบริษัทตั้งเป้าหมายยอดขายรถในรุ่นนี้จำนวน 2,000 - 2,500 คันต่อเดือน
ขณะที่เป้าหมายยอดขายของรถรุ่นอื่นๆในปี 2555 คาดว่ากลุ่มรถปิกอัพและรถอเนกประสงค์ ที่มีไทรทันและปาเจโร สปอร์ต จะมียอดขายต่อเดือน 6,000 - 7,000 คันต่อเดือน ส่วนแลนเซอร์ จะมียอดขาย 300-400 คันต่อเดือน และเมื่อรวมกับยอดขายของมิราจอีก 2,000-2,500 คันต่อเดือน จะทำให้ยอดขายต่อเดือนของมิตซูบิชิอยู่ที่ประมาณ 9,500 -10,000 คันต่อเดือน
"แม้ว่าเราจะไม่มีรถในกลุ่มเครื่องยนต์ 1.5 ลิตรออกมาขาย แต่ก็คาดว่ามิราจซึ่งเป็นรถยนต์ในโครงการโกลบอล สมอลล์ คาร์ ที่มีขนาดเครื่องยนต์ 1.2 ลิตรจะเข้ามารองรับตลาดตรงนี้ได้ ส่วนตลาดรถปิกอัพในปีหน้านั้น แม้ว่าเราจะยังไม่มีโมเดลใหม่ แต่ด้วยความที่ตลาดนี้เป็นตลาดใหญ่ ทำให้ต้องมีการทำตลาดกันอย่างหนักไม่แพ้กัน ซึ่งเราตั้งความหวังว่าในปีหน้าเราจะมียอดขายขั้นต่ำที่ 90,000 คัน หรืออาจจะถึง 100,000 คัน"
นายมูราฮาชิ กล่าวเพิ่มเติมว่า นอกจากแผนงานด้านผลิตภัณฑ์ใหม่แล้ว ในส่วนของการขยายเครือข่ายตัวแทนจำหน่าย ที่ปัจจุบันมี155 แห่งก็เตรียมขยายไปสู่เป้าหมายที่วางไว้จำนวน 200 แห่งทั่วประเทศในปีหน้า ขณะที่เครือข่ายรถมือสองหรือไดมอนด์ ยูสด์ คาร์ ที่มีแผนงานให้ตัวแทนจำหน่ายแต่ละแห่งเตรียมความพร้อมนั้น ปัจจุบันเปิดให้บริการเกือบ 20 แห่งและในปี 2555 จะขยายให้ครบ 50 แห่ง
ด้านภาพรวมตลาดรถยนต์ในปี 2555 นั้นคาดว่าจะเติบโต 5% ซึ่งเป็นตัวเลขที่ใกล้เคียงกับจีดีพี หรืออัตราการเติบโตของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ อย่างไรก็ตามมีปัจจัยลบที่ต้องระมัดระวังคือภาพรวมเศรษฐกิจจากฝั่งยุโรป,จีนและสหรัฐอเมริกา ขณะที่ผลการดำเนินงานของมิตซูบิชิในปี 2554 นั้นคาดว่าจะสามารถทำยอดขายได้ 66,000 คัน ส่วนตลาดรวมคาดว่าตัวเลขยอดขายจะอยู่ที่ 800,000 คัน
"ตอนนี้รถปิกอัพของมิตซูบิชิมีแบ็กออร์เดอร์ 2 เดือน ขณะที่รถเก๋ง มีรถพร้อมส่งมอบ โดยในรุ่นแลนเซอร์ ซีเอ็นจี จะทำการผลิตจนถึงสิ้นปี 55 และจะปรับเปลี่ยนไลน์เพื่อไปผลิตแลนเซอร์ อีเอ็กซ์ต่อไป ซึ่งแนวทางของรถพลังงานทางเลือกซีเอ็นจีของมิตซูบิชินั้นเรายังคงทำต่อไป แม้ว่านโยบายรัฐบาลจะมีการปรับขึ้นราคาของเอ็นจีวีขึ้นมาอีก 6 บาท ซึ่งเป็นการทยอยปรับขึ้นในอัตรา 50 สตางค์ตั้งแต่วันที่ 16 มกราคม-ธันวาคม 2555 นั้นเรามองว่าสูงมาก"
นายมูราฮาชิ กล่าวเพิ่มเติมว่า ในส่วนของรถพลังงานทางเลือก หรือเกี่ยวกับนโยบายรถคันแรกของรัฐนั้น ควรจะลดภาษีสรรพสามิตมากกว่า ซึ่งจะเป็นการกระตุ้นอุตสาหกรรมในระยะยาว ขณะที่นโยบายรถคันแรกของรัฐบาลนั้น ก็เป็นส่วนหนึ่งในการช่วยกระตุ้นให้ตลาดคึกคัก แต่ว่าเป็นนโยบายระยะสั้นที่มีผลแค่สิ้นปีหน้าเท่านั้น นอกจากนั้นแล้วนโยบายด้านพลังงานของรัฐบาลก็ต้องมีความชัดเจน โดยเฉพาะการปรับขึ้นราคาเอ็นจีวี 6 บาท ส่วนรถยนต์ที่สามารถรองรับอี 85 ซึ่งมิตซูบิชิ ทำตลาดในรุ่นแลนเซอร์ อีเอ็กซ์ 1.8 ลิตรนั้นมิตซูบิชิยืนยันว่าจะทำตลาดอย่างต่อเนื่องไป
"นโยบายรถคันแรกก็เป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยกระตุ้นตลาดรถยนต์ แต่ทว่ามันเกิดปัญหาน้ำท่วมขึ้นมาและผู้ผลิตชิ้นส่วนรวมไปถึงผู้ผลิตรถยนต์ได้รับผลกระทบจนไม่สามารถประกอบรถยนต์ได้ และไม่สามารถส่งมอบรถให้กับลูกค้าได้ทำให้เกิดภาวะรถขาดตลาด ซึ่งตรงนี้เองยังแยกไม่ออกว่าผลจากนโยบายรถคันแรกนั้นสามารถกระตุ้นยอดขายรถได้มากน้อยเพียงใด คาดว่าจะสามารถประเมินได้ในช่วงเดือนเม.ย.ปีหน้า"
http://www.thanonline.com/index.php?option=com_content&view=article&id=98925:-25---55&catid=134:than-auto-&Itemid=452