"นิสสัน" เร่งเครื่องโรงงาน 2 เต็มสตรีมคาดแล้วเสร็จเร็วกว่ากำหนดเดิม ตั้งเป้าลุยผลิต "นาวารา" ใหม่ ประกาศขึ้นแชมป์ผู้นำสองตลาด อีโคคาร์และเอสยูวี ลุยส่งรุ่นใหม่ "จู๊ค-เอ็กซ์เทรล" เสริมทัพ ลั่นขายทั้งปีทะลุแสนคัน ไม่เกินปี"59 แชร์ขยับแตะ 15%
นายประพัฒน์ เชยชม รองกรรมการผู้จัดการใหญ่อาวุโสการตลาดและการขาย บริษัท นิสสัน มอเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยถึงความคืบหน้าหลังประกาศลงทุนใหม่มูลค่า 11,000 ล้านบาท เพื่อสร้างโรงงานประกอบรถยนต์แห่งที่ 2 ในประเทศไทยว่า เดิมจะเริ่มเปิดดำเนินการผลิตในเดือนสิงหาคม 2557
แต่แผนดำเนินงานอาจจะเร็วกว่าเดิมราว 1-2 เดือน โดยโรงงานแห่งนี้เป็นการรองรับกลยุทธ์การเติบโตของนิสสันในภูมิภาคอาเซียน และเพื่อเสริมความแข็งแกร่งให้กับโรงงานนิสสันในประเทศไทย มีกำลังการผลิตต่อปีในช่วงเริ่มต้น 75,000 คัน และจะขยายเพิ่มขึ้นเป็น 150,000 คันต่อปีในอนาคต โดยจะใช้สำหรับผลิตรถปิกอัพนิสสัน นาวารา รุ่นใหม่
สำหรับแผนดำเนินธุรกิจของนิสสันในช่วงเวลาจากนี้ไปว่า บริษัทมีนโยบายในการทำตลาด โดยจะมุ่งเน้นและพยายามเพิ่มความหลากหลายของสินค้าที่จะใช้ทำตลาดให้มากขึ้นเพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าในทุกๆ เซ็กเมนต์
จากปัจจุบันที่นิสสันมีผลิตภัณฑ์ที่สามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าชาวไทยได้เพียง 60-70% โดยจากนี้ไปนิสสันจะพยายามเพิ่มความหลากหลายโดยเฉพาะรถยนต์ในกลุ่มบี-คาร์ ซีดาน, แฮตช์แบ็ก, เอ็มพีวี, พีพีวี รวมถึงรถในกลุ่มพรีเมี่ยม โดยพยายามเพิ่มความเข้มข้น
ทั้งในส่วนของสินค้าและผลิตภัณฑ์ และในอนาคตอันใกล้ นิสสันตั้งเป้าจะต้องเป็นผู้นำในตลาดรถยนต์อีโคคาร์และเอสยูวีให้ได้ จากปัจจุบันนิสสันถือว่าเป็นผู้นำของตลาดอีโคคาร์ ทั้งในแง่ของความเป็นผู้นำในการทำตลาดและยอดขาย ขณะที่ตลาดรถเอสยูวีนั้น ในอนาคตบริษัทมีแผนจะแนะนำรถประเภทนี้ออกสู่ตลาดอย่างต่อเนื่อง ทั้งนิสสัน เอ็กซ์เทรล และนิสสัน จู๊ค ซึ่งคาดว่าจะได้รับการตอบรับที่ดีอย่างแน่นอน และในเร็ว ๆ นี้นิสสันเตรียมส่งรถยนต์นั่งเทียน่า ใหม่ ออกสู่ตลาดด้วย และเชื่อว่าหากนิสสันมีสินค้าครบไลน์ภายในปี 2559 จะทำให้ส่วนแบ่งยอดขายของนิสสันขยับขึ้นไปที่ 15% หรือมียอดขาย 180,000 คัน จากตลาดรถยนต์โดยรวม คาดว่าจะอยู่ที่ 1.2 ล้านคัน
ด้านความเป็นไปได้ นิสสันจะทำรถยนต์แบรนด์ดัทสันเข้ามาทำตลาดในประเทศไทยหรือไม่นั้น เนื่องจากบริษัทแม่ได้วางตำแหน่งของแบรนด์ดัทสันให้เป็นสินค้าที่เจาะตลาดสำหรับกลุ่มประเทศอินโดนีเซีย, อินเดีย, รัสเซีย และแอฟริกาใต้ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นกลุ่มประเทศที่มีผู้ต้องการใช้รถยนต์คันแรกอยู่ค่อนข้างมาก
ส่วนประเทศไทย เนื่องจากพฤติกรรมของลูกค้ามีความแตกต่าง ทั้งพฤติกรรมและความต้องการ โดยมีความละเอียด ความใส่ใจ และให้ความสำคัญกับสินค้าค่อนข้างสูง
"ถามว่า โอกาสที่นิสสันจะเอาแบรนด์ดัทสันเข้ามาทำตลาดหรือไม่นั้น ตอนนี้ถ้าให้ตอบ ก็ต้องบอกว่าเป็นไปได้หมด แต่คงต้องศึกษารายละเอียดกันพอสมควร แม้ว่าสินค้าจะเป็นสินค้าที่ได้มาตรฐานเดียวกัน ทั้งในแง่ของคุณภาพ ความปลอดภัย และที่สำคัญ หากเราเอาดัทสันเข้ามาทำตลาด ราคาจำเป็นต้องต่ำกว่าอีโคคาร์แน่นอน"
สำหรับสถานการณ์ตลาดรถยนต์ในช่วงที่ผ่านมา นายประพัฒน์กล่าวว่า ในช่วง 3 เดือนแรกของปี ยอดถือว่าดีเกินความคาดหมาย และนิสสันก็มียอดจำหน่ายเฉลี่ยอยู่ที่เดือนละ 10,000 คัน โดยเฉพาะในเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ยอดจำหน่ายขยับขึ้นไปสูงถึง 20,000 คัน ขณะที่ความต้องการของตลาดกลับลดลงในช่วงเดือนเมษายน-มิถุนายน
แต่พอเข้าสู่ช่วงเดือนกรกฎาคมและสิงหาคมที่ผ่านมาจะเห็นได้ว่าตลาดรถยนต์โดยรวมมีความต้องการที่กระเตื้องขึ้น และเชื่อว่าตลาดจะกลับมามีความร้อนแรงอีกครั้งในช่วงปลายปีนี้
จะเห็นว่าตลาดรถยนต์ที่ผ่านมามียอดขายลดลงไปประมาณ30% และจากนี้ไปจะมียอดขายเฉลี่ยโดยรวมประมาณ 90,000 คันต่อเดือน เนื่องจากยังมีค่ายรถยนต์บางค่ายมีออร์เดอร์ค้างอยู่ แต่ก็ต้องค่อย ๆ ลดลงไป
สำหรับนิสสันในเดือนสิงหาคมมียอดขาย 7,000 กว่าคัน ขณะที่ยอดขายรวม 8 เดือนอยู่ที่กว่า 70,000 คัน และทั้งปีคาดว่าจะมียอดขายอยู่ที่ 100,000 คันอย่างแน่นอน
ส่วนการแข่งขันของตลาดรถยนต์อีโคคาร์จากนี้ คาดว่าจะทวีความรุนแรงเพิ่มมากขึ้น เนื่องจากมีรถใหม่จากค่ายใหญ่เข้ามาทำตลาด ซึ่งเชื่อว่าจะทำให้ตลาดตื่นตัวค่อนข้างมาก แต่อาจไม่สูงเท่ากับปีที่ผ่านมา
ที่ตลาดถูกกระตุ้นความต้องการจากโครงการคืนภาษีรถยนต์คันแรก โดยเชื่อว่าผู้ประกอบการอีโคคาร์ 4 ค่ายเดิมจะต้องเตรียมแผนการตลาดเพื่อรับมือค่ายใหม่อย่างแน่นอน และที่ผ่านมา
ตลาดอีโคคาร์ก็ได้พิสูจน์แล้วว่า ความสดใหม่ บางครั้งหากมาไม่ถูกที่ ไม่ถูกเวลา อาจจะต้องเพิ่มความเข้มข้นในการทำตลาดมากกว่าปกติโดยตลาดอีโคคาร์ปีนี้เชื่อว่าจะมียอดขายโดยรวม 200,000 คันเป็นอย่างน้อย และนิสสันตั้งเป้ามียอดขายอีโคคาร์ 50,000-60,000 คัน แบ่งเป็นนิสสัน อัลเมร่า กว่า 30,000 คัน และนิสสัน มาร์ช อีกกว่า 20,000 คัน
"ตอนนี้ตลาดรถยนต์มีความร้อนแรง ถือว่าค่ายรถยนต์ต่าง ๆ มีการทำแคมเปญที่ดุเดือดมากสุดในรอบ 10 ปี จากปกติจะอัดแคมเปญแรง ๆ เป็นช่วงฤดูกาล แต่สำหรับวันนี้เรียกว่าทุกค่ายจัดแคมเปญแรง ๆ ให้โปรโมรชั่นเป็นแสนบาท ถือเป็นเรื่องปกติ ซึ่งค่ายรถยนต์ต่างก็ได้ใช้งบประมาณตรงนี้ค่อนข้างเยอะ ชนิดที่เรียกว่าไม่ทำไม่ได้ คนอื่นแย่งหมด ยังไง ๆ ต้องทำแคมเปญ"
ที่ผ่านมาจะเห็นว่าค่ายรถยนต์หลายค่ายเริ่มปรับลดกำลังการผลิตให้สอดคล้องกับความต้องการและเชื่อว่าตลาดน่าจะเริ่มกลับเข้าสู่ภาวะปกติได้ในไตรมาสแรกของปี 2557 อย่างแน่นอน
http://www.prachachat.net/news_detail.php?newsid=1379494338