จากก่อนหน้าที่ ผมต้องการหารถครอบครัวคันใหม่ แทนที่ Freed SE ที่พี่สาวยึดไปเรียบร้อย ส่วนผมจำต้องขับ Jazz JP เป็นเด็กวัยรุ่นอยู่พักนึง
เพื่อคิดว่ารถอะไรที่จะตอบโจทย์ ในอนาคต (ณ ตอนนั้น ต้นปี 2013 หลังน้ำท่วม และกำลังย้ายบ้านจากกทม.ไปอยู่ที่ชลบุรี)
ณ ได้เวลาหารถเพื่อลูกคนเล็ก ที่ตอนนี้ ก็ 8 เดือนแล้วเตรียมออกไปดูโลกภายนอก พร้อมกันตัวโต 5 ขวบที่กำลังซนเป็นลิง
ตอนแรกสนใจ StepWGN SPADA มากเพราะมันโปรงโล่งสบาย แต่ติดปัญหาที่รถหมดไปอย่างเร็วหลังจากฮอนด้า เทกระจาดขายโดยให้ส่วนลด สี่แสนขึ้น
หลังจากนั้นพอมี StepWGN SPADA MC 2013 ใหม่มาแทนในราคา สองล้านมีทอน โดยจัดออฟชั่นเต็มแต่ไม่ตอบโจทย์เบาะแถวสองที่เปรียนไป
จาก 3 ที่นั่ง กลายเป็น 2 ที่นั่งเหมือน Freed ซ่ะงั้นอ่ะ
จนได้ข่าวแว่วเข้าหูเมื่อนต้นเดื่อน พย. ว่า ฮอนด้าจะเอา Odyssey 2014 เข้ามาทำตลาดใหม่ในราคา และออฟชั่นที่จัดเต็ม
ผมจึงดังด้นหาข้อมูล ตั้งแต่ที่ญี่ปุ่น จนมาถึงมาเลเซียข้างบ้านเราที่ทำการเปิดตัวก่อนเราไม่กี่สัปดาห์
เอาเรามาเข้าเรื่องดีกว่า เริ่มยาวไปแล้วผม
สำหรับ New Odyssey 2014 ตัวใหม่นี้ ทำการเปิดตัวอย่างเป็นทางการในงาน Motor Expo 2013 นั้นเอง ในรอบสื่อวันที่ 28 ก็มีราคาประกาศ
อย่างเป็นทางการว่า ตัว E ราคา 2,750,000 บาท และตัว Top EL ราคา 2,950,000 บาท เป็นราคารวมภาษีนำเข้าและอื่นๆ เรียบร้อยโรงเรียน Honda Thailand
สำหรับสเป็คทั้งหลาย ให้ไปหาโหลดเอาที่ honda.co.th/odyssey แทนน่ะครับ
โดยในงาน จะมีจอดอยู่ 2 คันด้วยกัน โดยคันแรกบนแทนหมุน จะเป็นสีน้ำเงินใหม่ และตัวข้างล่างสีบร็อนเงิน ซึ่งทั้ง 2 ตัวเป็นรุ่น EL แบบ 7 ที่นั่งทั้งคู่
โดยรุ่น 8 ที่นั่ง E ไม่ได้นำมาแสดงให้ดูซ่ะงั้น ถามจากเซลล์ก็บอกว่าไม่มีรถให้ดู และให้รองขับด้วย (ซ่ะงั้นอ่ะ)
เรามาเริ่มจากรูปทรงจากรุ่นที่ผ่านมา เป็นสาวเปรี้ยวทรงสวยเพรียว กลับมาคราวนี้เธอกลับมาเป็นสาวใหญ่ใจกว้างแต่ยังสวยเฉียวเหมือนเดิม
โดยเพิ่มความยาว กว้าง และฐานล้อนิดหน่อย (ย 4,830 x ก 1,820 x ส 1,695 x ฐ 2,900) แต่ความสูงคราวนี้มาพุ่งปรีดถึง 14 ซม.
ด้านหน้า มาพร้อมกระจังหน้าขนาดใหญ่ตั้งแต่ฝากระโปรงหน้า โค้งลงมาถึงด้านกันชนด้านล่าง ประดับด้วยเส้นโครมเมียมขนาดใหญ่ผุดๆ
ซึ่งจะว่าไปแนวรูปทรงนี้เราก็เริ่มเห็นกันบ่อยๆ ในการออกแบบของพี่ฮอนเขามาไม่มากก็น้อย อย่าง StepWGN SPADA น้องร่วมค่าย
ไฟหน้าสำหรับตัว EL จะเป็น LED (อยู่กรอบนอกเป็นสี่เหลี่ยมๆ 2 ดวง) และมุมล่างไฟหน้าจะมีไฟส่องระวังตอนเลี้ยว (ACL Active Cornering Lights)
ส่วนรุ่น E จะเป็นไฟหน้าแบบโปรเจคเตอร์ ธรรมดาและไม่มี ACL ส่วน LED Daytime Running Lights ก็มีให้เหมือนกันทั้ง 2 รุ่นแต่ไม่ใหญ่โตเท่า Accord
ส่วนด้านล่างกันชน ประกบด้วยไฟตัดหมอกทรงกลมแบบเรียบๆ อยู่ในช่องที่่ทำเป็นเหมือนช่องลมซ้าย ขวา
ส่วนด้านท้ายก็เดินเส้นคล้ายๆกับด้านหน้า บนสุดเป็นสปอยเลอร์หลังพร้อมไฟเบรคตรงกลางแบบ LED กระจกบานหลังขนาดใหญ่พร้อมไล่ฟ้า
และที่ปัดน้ำฝนด้านหลัง ส่วนหัวฉีดน้ำกระจกหลังจะขึ้นไปอยู่ด้านล่างสปอยเลอร์หลัง
ฝาหลังเด่นด้วยตัวอักษร ODYSSEY ในกรอบพลาสติกใส ขนาบข้างด้วยไฟท้ายแบบ LED 2 เส้นลากยาวตั้งแต่ข้างตัวถังข้ามมาถึงฝาหลัง
รูปแบบการเดินคล้ายๆไฟท้าย BMW รุ่นใหม่ ตรงมุมเป็นไฟเลี้ยวสีส้มในโครมใสๆ ใต้อักษร Odyssey มีกล่องมองหลังแบบ 360' ซ่อนอยู่
ประตูท้ายเปิดด้วยระบบไฟฟ้า แต่ปิดด้วยมือ พร้อมโช้คตัวล่ำๆ ช่วยยกขนานกับพื้น โดยความสูงก็พอให้เราเดินเข้าไปหยิบของได้อย่างสบาย
แม้ในวันที่ฝนพรำ (หนัก) ก็ใช้ประตูนี้กางรับน้ำฝนแทนร่มได้อย่างดี ขอบฝากระโปรงลงต่ำใต้เข่าทำให้ขนของขึ้นลงได้สะดวกมากกก
เปิดมาดูที่เก็บของด้านหลังกันเลยล่ะกัน ดูจากขนาดแล้ว กระเป๋า 3 ใบใหญ่ๆ ลงไปตั้งได้สบาย (หลือถุงกอล์ฟก็ได้ใบนึงวางนอน)
ยิ่งถ้าพับเบาะแถว 3 ลงไปนอนในช่องนี้แล้ว เราจะได้พื้นที่วางของได้แบบ Jazz ยังอายเพราะมันกว้าง ลึก สูง กว่าเยอะ (ก็แน่ล่ะ)
สำหรับล้อติดรถเป็นขนาด 17 x 7 นิ้ว Offset ไม่ทราบแต่น่ะจะ 50 ขึ้น พร้อมยาง Dunlop SP Sport 270 ขนาด 215/55R17 นำเข้าจาก Japan
ล้อลายใบพัดสีดำ ปัดเงา ดูดี (17" ลายนี้จะอยู่ในรุ่น G) แต่ไม่สวยเท่าตัว Absolude (18") จริงๆเอาชุด Part ขนาดนี้แล้วตัว EL น่าจะได้ 18" น่ะ
เขามาที่ด้านคนขับกันดีกว่า (แบบว่าหามุมถ่ายโดยไม่มีคนบังยากนิดนึกน่ะ) ขึ้นนั่งที่เบาะคนขับเลย จัดปรับเบาะ และพวงมาลัยตามขนาดผม
ได้ผลดังนี้ พวงมาลัยไม่ยืดมามากปรับลงนิดนึงไม่ให้ขอบบนบังมาตรวัดความเร็ว(ขนาดใหญ๋ๆๆๆ)
มองไปที่เสาหน้าขนาดไม่ใหญ่มาก (จริงๆพอๆกับ Jazz) มีช่องมองช่วยให้การมองจุดนี้ไม่อับเท่าไหร่
กระจกข้างขนาดกำลังดี วางลางลงนิดนึงเพื่อให้อยู่ในระดับที่มองข้างรถเห็นถึงท้ายรถ และมีสัญญาณรุปไฟของระบบเตือนมุมอับสายตา
จะสว่างขึ้นเมื่อเรากำลังเปลี่ยนเล่นแล้วมีรถขับขึ้นมาด้านข้าง (คล้ายๆใน Accord แต่รุ่นนี้เป็นแค่ไฟเตือน ไม่มีรูปขึ้นที่จอ)
ด้านซ้าย ค้อนข้างโล่งมองขัดเจนดี เสาหน้าไม่ใหญ่มากนัก มีช่องช่วยมอง และระบบเตือนมุมอับสายตาเหมือนด้านขวา
มองข้างเข้าไปอีกจะเห็นระดับกระจกมองข้างที่กำลังดีไม่มีอะไรบังสายตา แต่จริงๆยากได้กระจกสะท้อนแก้มหน้าเหมือน SPADA ได้ก็จะดีน่ะ
ปรับเบาะที่เป็นระบบไฟฟ้า ปรับ 8 ทิศพร้อมเมมโมรี่ แถมมีที่วางแขนให้ด้วย (สำหรับผมชอบมากครับ) อ่อ ในรุ่น E ไม่มีเมโมรี่ให้น่ะครับ
พวงมาลัยแบบ 3 ก้านหุ่มหนังนิ่มกำลังดีพร้อมมัลติฟังชั่น 4 จุด
ด้านซ้าย ปุ่มInfomation Switch ถังลงมาควบคุมระบบวิทยุ Audio Control Switch
ซ้ายล่างระบบควบมุกการใช้โทรศัพท์ Handsfree เชื่อมต่อผ่าน Blutooth ล่างสุดปุ่มสั่งงานเสียงผ่าน Siri (iPhone 4s ขี้นไป)
ด้านขวาระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ Cruise Control System
ขวาล่างระบบ Multi Information Control Switch ควบคุมฟังชั่นที่หน้าปัดความเร็ว เช่นอัตราความสิ้นเปลือง ระยะทางที่เหลือ ต่างๆ
ก้านปรับด้านหลังซ้ายเป็นระบบปัดน้ำฝนหน้า แบบหน่วงได้ และด้านหลัง พร้อมปรับฉีดน้ำล่างกระจกทั้งหน้า และหลัง
ก้านปรับด้านขวา ปรับไฟหน้า ตัดหมอก ไฟเลี้ยว และที่ปลายก้านเป็นปุ่มกด Multiview
อ่อหลังพวงมาลัยยังมี Paddle Shift ให้เล่นด้วยน่ะครับ
ปุ่ม One Push Ignition System ที่มาพร้อมกุญแจแบบ Smart Key System เหมือนใน Accord
ต่างกันที่ Key จะมีปุ่มเปิดประตูทั้งด้าน ซ้าย และขวาให้เพิ่ม ส่วนหน้าตาปุ่มก็ดูเชยๆ เหมือนเดิม
ด้านขาวขวาจากด้านบน ปุ่มเปิดประตู ซ้าย ขวา ปุ่ม ECON (การทำงานเหมือนเดิม)
ลงมา จะว่าง(รุ่น E ปุ่มปรับระดับไฟ) ปุ่มปิดระบบ VSC (Vehicle Stability Assist) ปุ่มปิดIdling Stop
คันเปลี่ยนเกรียร์แบบรางตรง หุ้มหนังเทียมประดับโครมเมียม ตำแหน่ง P R N D และ S
ข้างเกียร์มีช่องสำหรับเสียบปรดตำแหน่งเกียร์
ระบบปรับอากาศ (Smart Touch Tri-Zone Auto Air Con.) เที่ยวนี้ มาเป็นแบบปุ่มสัมผัสแทนแบบปุ่มปรับปกติ หน้าตาดูดีและเป็นลอยนิ้วง่าย
และอาจเหมาะให้เด็กๆเลงเป็นที่เล่นอีกแห่งหนึงนอกจากหน้าจอวิทยุแล้ว ไม่รู้ว่าจะระบบสัมผัสจะให้ทนใช้นานขนาดไหน
ระบบปรับอุณหภูมิ แยก ซ้าย ขวา หลัง ครบ 3 ต่ำแหน่ง มีรูปและอุณหภูมิแสดงชัดเจนดี และมีปุ่ม SYNC (ซึงไม่รู้ Synvc มาทำอะไรตรงนี้)
เลือนขึ้นบน จะพบปุ่มฉุกเฉินขนาดยาวใหญ่ ไว้สำหรับคนขับหรือคนนั่งแย่งกันกดเล่น (มั่ง)
ระบบวิทยุแบบหน้าจอสัมผัส (อีกแล้ว) ขนาด 7" ฮอนด้าเขาเรียกว่า Advanced Touch น่ะ เพราะฉะนั้นหมดสิทธิเปลี่ยนจ่ะ
หน้าจอจะมีเมนูหลักๆ Phone , Info, Audio , Camera, Setting ซึ่ง รุ่น E จะไม่มี Camera ครบโดยจะขาด ระบบช่วยจอด Smart Parking,
ระบบกล้องรอบทิศทาง Multi-view, ระบบเตือนขณะถอย Cross Traffice แต่ กล้องมองหลังปรับ 3 ระดับยังมีให้อยู่น่ะครับไม่ได้โดนตัดไป
ลงมาเป็นช่อง HDMI, USB 2.0 2 ช่อง, และปรั๊กไฟ 12V หัวกลม เอาไว้เชื่อมต่ออุปกรณ์ Smart ETc. ต่างๆให้สนุกมือ
ล่างสุดเป็นที่เก็บของขนาดใหญ่พอสมควรเลือนออกมาได้ และซ้อนที่วางแก้วน้ำไว้ให้อีก 2 ใบ
หน้าปัดไม่ได้อลังการงานสร้างแบบเก่า แล้วแต่มาแบบ mini คือ ตรงกลางเป็นรอบวัดความเร็ว ได้ถึง 220 เข้มวัดวิ่งรอบนอก
โดยตรงกลางเป็นหน้าจอแสดงของมูล Info ต่างๆ ที่ปรับได้จากพวงมาลัย ดูแล้วเป็นจอ LED แสดงรูปได้ทุกแบบ เช่นเปิดฝากระโปรงหน้า ประตูข้าง
ด้านซ้ายเป็นแถบวัดรอบแบบดิจิตอล หน้าตาดูไม่ค่อยจะเมคเซ้นเท่าไหร่ เป็นแถบยาวๆ ลงมาเป็นนาฟิกาและ ตัวบอกตำแหน่งเกียร์
ด้านขวาเป็นมาตรวัดระดับน้ำมันเชื่อเพลิง ส่วนวัดความร้อนกลายเป็นไฟรูปสีฟ้า ถึงแดงแทนเบบเดิมที่เป็นเข็ม
โดยรวมหน้าปัดดูง่าย ไม่ค่อยยุ่งยาก แต่แอบเชยไปซักนิดไม่คอ่ยเข้ากับรูปลักษณ์รถเท่าไหร่
สำหรับแผงหน้าปัดที่เป็นวัสดุนิ่มๆ นั้นดูแล้วนึกว่าจะทำจากหลังเย็บแต่ความจริงแล้วพี่ฮอนเล่นมุกเดียวกับพี่โต แต่วัสดุสัมผัสดีและนุ่มกว่ากัน
โดยไม่จำเป็นต้องไปหุ้มหนังจริงให้เสียเวลาก็ได้สัมผัสเกือบเหมือนกันเลยที่เดียวแม้แต่ด้ายยังทำมาได้แบบว่า
ด้านบนตรงกลางเป็นไฟส่อง และปุ่มควบคุมหลังคา Moon Roof ระบบ One-Touch
พร้อมกล่องเก็บแว่นแบบเดียวกับ CRV ที่พอเปิดออกมาก็จะมีกระจกโครมเมียมส่องดูคนด้านหลังได้ชัดในระดับนึงเลย (อันนี้ผมชอบมาก)
อ่อไฟส่องต่างในรถคันนี้เป็น LED ทั้งหมดแล้วนะครับ จากรูปพยายามส่องดูน่ะครับตรงกลางเป็น LED เม็ดเดียวก็สว่างได้
แต่พอหันมาดูกระจกมองหลัง มันเป็นแบบธรรมดาซ่ะงั้นอ่ะ ปรับตัดแสงด้วยมือ แทนที่จะใส่แบบไฟฟ้า มาให้หน่อยก็ไม่ได้
ส่วนแผงบังแดดทั้ง 2 ฝั่งเป็นแบบผ้าอัดอย่างดี เปิดมาพร้อมกระจก และข้างด้วยไฟส่องหน้าแบบครบๆ
สำหรับรุ่น EL จะมาพร้อม MoonRoof ให้น่ะครับ แต่รุ่น E จะถูกตอนทิ้ง
ต่อมามาดูจุดเด่นที่สุดสำหรับ Odyssey รุ่นนี้ นั้นคือประตู แถว 2 เปลี่ยนเป็นประตูแบบสไลท์ เหมือน StepWGN และ Freed แต่
ลองดูความสูงจากพื้นจนถึงพื้นรถดูซิครับ เท่าที่ดูจากสายตา และในสเป็คมันบอกว่า มีระยะความสูงแค่ 30 ซม.เท่านั้นเอง (เทียบกับขันบันไดปกติที่ 20 cm)
จะเห็นว่าใครๆ ก็ขี้นไปนั่งที่เบาะได้ง่าย ยิ่งร่วมกับประตูแบบสไลท์แล้วยิ่งสะดวกในการก้าวขึ้นลงเสียนี่กระไร สำหรับผู้ใหญ่เอาก้นลงที่เบาะแล้วยกเท่าขี้นได้เลย
แต่ถ้าสังเกตุดีๆ จะรู้ว่าความหน้าของพื้นนั้นมันน้อยมาก โดยเทียบกับน้องๆ ทั้ง StepWGN, Freed ที่หน้ากว่านี้ ก็ต้องยอมรับในการออกแบบของ Honda เขาจริงๆ
ยิ่งไปเทียบกับ Estima และ Alpard ที่บุทข้างๆ กันแล้ว ความสูงห้องโดยสารไม่ต่างกันแต่ความสูงพื้นนี้ ไม่มีใครกิน Odyssey ได้ซักเจ้า
สำหรับตัวเบาะแถว 2 นั้น ถ้าเป็น 8 Seat (รุ่น E) จะเป็นแถวนั่งยาวๆ แต่ที่เอามาโชว์คือ 7 Seat (EL)จะเป็นแบบในรูป และเหนือกว่าที่คุณจิมขับที่ญี่ปุ่น
คือ เบาะหุ้มหนังทั้งหมด และหนังที่หุ้มนั้น บอกได้เลยว่านุ่มเท่าๆ เทียนน่า J32 เลยครับ คือเนื้อละเอียดมาก ถึงแม้จะเป็นสีดำก็เนียลมือมาก
ซึ่งไม่รู้ว่าถ้าเป็นหนังสีครีมจะนุ่มนิ่ม น่าสัมพัสกว่าสีดำนี้มากแค่ไหน (อ่อ ภายในสีครีม คู่กับรถสี่ดำมุกน่ะครับ) 2nd Row Premium Captain Cradle Seats With Ottoman
เบาะนั่งต้องบอกเลยว่าเหนือกว่า Estima มาก แต่จะไม่เหมือนกับ Alpard นะครับที่รายนั้นทำได้พอๆกันแต่อึดอัดกว่ากันเยอะเพราะมีท้าวแขนมาเบียดตัวคนนั่ง
สำหรับความสบายนั้นสุดๆครับ การปรับเบาะให้เป็น 4 ที่นั่ง โดยเอาเบาะเลื่อนติดกันและถอยไปด้านหลัง จนสุดรางบริเวณหน้าล้อหลังพอดี
เราจะได้พบความสบายแบบนั่งเครื่องบินระดับเฟริสคาร์ทกันเลยที่เดียว ขาดก็เพียง ไม่มีจอทีวีให้ดูเท่านั้น (ซึ่งที่ญี่ปุ่นเห็นมีเป็น Option จอ 19" Wide)
ที่รองรับขดปรับขึ้นมาได้ในระดับกำลังพอดี แต่ถ้าหากไม่ถอยเบาะแถว 2 ไปด้านหลัง ความสบายจะลดลงเพราะ
ถ้าสังเกตุให้ดีในเบาะคู่หน้า น่าจะเป็นที่อยู่ของถังน้ำมัน เลยทำให้เป็นมุมเอนลงมาที่แถว 2 เลยทำให้เท้าเราสอดใต้เบาะหน้าไม่ได้ ซึ่งก็คิดไม่ออกว่า
จะเอาถังน้ำมันไปไว้ที่ไหนดีนอกจากตรงนี้ เพราะด้านหลังก็เปลี่ยนระบบกันสะเทือนจากดับเบิลวิสโบน เป็นทอรันบีมแทน เพื่อนให้มีหลุมด้านหลังไว้เก็บเบาะแถว 3
มาที่ด้านบน มีหน้าจอปรับแอร์ด้านหลัง แบบดิจิตอล โดยช่องเบาลมจะอยู่ทีต่ำแหน่งด้านข้าง ทุกตำแหน่ง พร้อมไฟล่องภายใน
ประตูข้างมีม่านบังแดดมาให้ด้วยนะครับ และกระจกรอบคันเป็นแบบกรองแสง uVs และกรองแสง Dot 20 ทุกบ้าน (ที่ญี่ปุ่น ครึงหลังได้ Dot 80 มืดมาก)
สำหรับการเข้าถึงเบาะแถว 3 เข้าได้ไม่ยาก แต่ก็ไม่ง่ายเท่าไหร่ ต้องอาศัยแถว 2 ช่วยขยับให้ทางได้ แต่เมื่อเข้าไปลองนั่งก็อดชมมันไม่ได้ว่า
ทำได้ดีมากๆ คือผมสูง 171 cm' เข้าไปนั่งแบบสบายๆ ขามีที่ว่างพอสมควรนั่งเต็มก้นได้ดีระดับนึงเพราะจำกัดที่ขนาดในการพับ แต่เรื่องความโปรงสบาย
แล้วดีพอๆ กับ StepWGN เลยครับ (อ่อ แถว 3 สำหรับ Odyssey ทำมาสำหรับ 3 ที่นั่งน่ะครับเทียบกับ Step ที่ทำมาสำหรับ 2 ที่นั่ง)
แถวสุดท้ายมีเขมขัดนิรภัย แบบ 3 จุดมาให้ทุกที่นั่ง โดยคนตรงกลางจะเหมือนกับ Jazz นำเข้าคือ สายอยู่ที่ด้านบน ลากสายมาเสียบกับซอกเก็ตด้านล่าง
สรุปความสบาย แถว 2 เป็นแถวที่สบายที่สุด รองมาคือแถวแรก และแถวสุดท้าย แต่แถวสุดท้ายผมนั่งแล้วยังสบายกว่า นั่งแจ้สแถวหลังอีกน่ะครับ
มาดูเครื่องยนต์กันดีกว่า เครื่่องที่เข้ามาในบ้านเราจะเป็นตัวเดียวกับที่เข้ามาเลเซียครับ ถึงแม้จะเป้น 2.4L Earth Dreams DOHC i-VTEC 24Valve
หัวฉีด PGM-Fi เหมือนเดิม ขาด Di เหมือน Accord ครับ และไม่เหมือนตัวที่ Japan ด้วยครับ
กำลังมาได้ที่ 175PS / 6,200 rpm แรงบิดที่ 23kg-m / 4,000rpm จับคู่กับเกียร์ CVT รุ่นใหม่ กิน E20 ได้แล้วเหมือน StepWGN แต่ E85 ยังไม่รองรับน่ะครับ
เครื่อง K24 ตัวใหม่ ถูกจับหันหัวใหม่ โดยย้ายท่อไอดี กับไอเสียใหม่ แต่บร็อคเครื่องอยู่แบบเดิม (ซึ่งงงมากว่าลงทุนอะไรขนาดนี้)
บนเครื่องแบะป้ายบอกว่า EARTH DREAMS ชัดเจน และขยับไอเสียเซนเซอร์เข้ามาใกล้วาล์วเพิ่มขึ้นโดยจิ้มมันตรงกลางโด้ๆ นี้กันเลย
และยังโผล่ก้านวัดระดับน้ำมันเครื่อง (ก้านเหลือง) มาให้ดูต่างหน้าอีกอันนึง ซึ่งการเปิดเครื่องแบบนี้มันดูไม่ค่อยไฮฯ เท่าไหร่เลยอ่ะ
แต่สำหรับผมแล้วผมชอบน่ะมันดูดิบๆ ดี
ด้านขวารถ เป็นที่อยู่ประจำของ ABS System กล่องฟิวส์ และน้ำยาล้างกระจก พร้อมด้วยสายน้ำยาทำความเย็น H พาดผ่านเครื่อง (นี้แบบว่าปิดตาจำห้องเครื่องได้เลย)
ต่ำลงมาเป็นที่อยู่ของไดชาร์ต และล่างสดุ คอมฯแอร์เหมือนเดิม (ซึ่งไม่ได้อยู่ในระดับที่ต่ำมากเท่าไหร่น่ะ)
ด้านซ้ายในสุดเป็นแบตขนาดเขื่องกว่าที่เคยเจอในฮอนด้ารุ่นไหน ขนาด 55A ครับถัดมาถูกบังด้วยกล่องใส่กรองอากาศที่รับอากาศจากกระจังหน้า
ด้านในเป็นคานยื้นออกมาไม่มากเท่าไหร่ พอๆกับ Jazz มีถังเก็บน้ำมันเบรคให้ค่อยเช็ค กับเลขตัวถังแค่นั้น อ่อก้านใบปัดเป็นแบบปกติ
แต่มาสะกิดตรงหลังแผงความร้อนที่มองจากด้านบนทะลุลงพื้นได้เลย ไม่มีแผ่นบังด้านใต้ห้องเครื่องให้หรือไงนี้ อย่างนี้ระวังจะเลอะง่ายๆน่ะครับ
ส่วนฝาสีเหลืองนั้นเป็นที่เติมน้ำมันเกียร์ CVT ครับ ซึ่งปกติจะเปลี่ยนทุก 1 แสนกม. แต่ถ้าความสบายใจผมแนะนำ 5 หมื่นเปลี่ยนดีกว่า แกลลอนไม่กี่บาท
สุดท้าย ราคา 2.95 ล้าน ถ้าผมมีเงินพอที่จะซื้อ Estima ผมจะเลือกตัวนี้แทนแบบไม่ต้องคิดผิดคิดใหม่เลยครับ
แต่สำหรับผม ตัวเลือกที่ถูกเลือกดันกลายเป็น Old Odyssey ที่ยังค้างสต็อกอยู่ ซึงราคามันถูกกว่าตัวใหม่ 1 ล้านบาท แนะ
ยังไงถ้าได้รถเมื่อไหร่ (คงปีหน้า) จะเอามารีวิวเต็มให้อีกที่นะครับ สำหรับตัวใหม่คงได้แค่นี้ในเบื่องต้น ต้องรอรถเทสไดว์ อีกทีช่วงปลายเดือนคงมีอะไรมาเพิ่มให้อีกหน่อย