บทสรุปก็จากรีวิวฉบับนี้ได้เดินทางมาจนถึงบทสุดท้ายแล้ว ก่อนอื่นเลยต้องขอขอบคุณพี่จิมมี่ครับ ที่อนุญาตให้ผมได้เขียนรีวิวฉบับนี้โดยอ้างอิงลักษณะการเขียนแบบของพี่ เป็นความตั้งใจของผมอยู่แล้วที่อยากลองเขียนอะไรแบบนี้ พอเขียนจบพบได้ว่า มันเหนื่อยเหมือนกันแฮะ!!! ถึงแม้ว่าจะเป็นเรื่องที่เรารัก เราชอบก็เหอะ ดังนั้นถึงคนที่อ่านถึงตรงนี้นะครับ สงสารพี่จิมมี่บ้างเถอะครับ อย่าได้เร่งเร้ารีวิวบททดสอบจากพี่จิมมี่บ่อยๆเลย ฉบับนึงเขียนให้ได้แบบนี้ไม่ได้ใช้เวลาน้อยๆ ให้พี่จิมมี่ได้เขียนอย่างสบายใจและผมเชื่อว่า เราน่าจะได้อ่านรีวิวที่มีคุณภาพอย่างแน่นอนครับ ส่วนใครที่ใจร้อนแนะนำไปที่ศูนย์เลยครับ เพราะผมก็ทำแบบนั้น เห็นเองสัมผัสเองดีกว่า 555+
สำหรับรถคันนี้เองจริงๆมันก็มีข้อดีข้อเสียอยู่หลายๆอย่างเลย ถ้าจะให้เขียนร่ายก็คงยาวครับ ผมขออนุญาตแยกเป็นข้อๆ ให้อ่านกันได้ง่ายๆเลยนะครับ
ข้อดี1.แรงดี - แรงน่ะแรงไม่ต้องคิดเลย ถ้าจะวัดกันจริงๆในตลาดเมืองไทย รถราคาขนาดนี้ ได้แรงม้าขนาดนี้ แรงบิดขนาดนี้ อัตราเร่งแบบนี้ หายากครับ ถามว่าสะใจผมไหม เหลือเฟือครับ เรี่ยวแรงมันเพียงพอต่อการใช้งานทุกประเภทบนถนนไม่ว่าตีนคุณจะขนาดไหนก็ตาม
2.เกาะถนนโคตรๆ - เรื่องนี้คงเป็นปกติสุขของ Subaru มาช้านานแล้วด้วยระบบขับเคลื่อน 4 ล้ออัจฉริยะของเค้าและช่วงล่างที่ได้รับการปรับปรุงใหม่ ด้วยตัวผมเองขับก็รู้สึกว่ามันเกาะมากจนตอนนี้ยังหา Limit รถไม่เจอจริงๆครับ
3.ขับง่ายกว่าที่คิด - ตอนแรกผมค่อนข้างคิดยากและเป็นกังวลว่าผมจะขับ STi ไหวไหม บางคนบอกว่าคลัชค่อนข้างแข็ง แต่เอาเข้าจริงๆแล้ว มันง่ายกว่าที่คิดมากๆครับ แม้แรกๆผมจะไม่ค่อยชินกับคลัช ปล่อยทีไรจะพาดับเอาอยู่เรื่อยก็ตาม ตอนนี้ชินแล้ว มันขับสนุกและสบายมาก การขับทางไกลเป็นอะไรที่สบายมากๆครับ ผมขับรถจากกรุงเทพ-โคราช ไม่มีอาการเหนื่อยล้าใดๆทั้งสิ้นครับ
4.Option ต่างๆที่ให้มา เยอะขึ้นในขณะที่ราคากลับถูกลงกว่ารุ่นเดิม - อันนี้น่าจะเป็นอะไรที่ดึงดูดคนมากขึ้นนะครับ จากรุ่นที่แล้วราคา 4 ล้านทอนนิดๆหน่อยๆ แต่ Option ไม่ค่อยได้อะไร ภายในก็แสนจะธรรมดา ถ้าเป็นผมเอง ผมอาจจะคิดหนัก อาจจะหลุดจากตัวเลือกไปเลยซะด้วยซ้ำ แต่รุ่นนี้กลับมาขายในราคา 3.45 ล้านบาท ถูกกว่ารุ่นเดิมเกือบๆ 5 แสนบาท ในขณะที่ได้ของเยอะขึ้น ภายในหรูกว่าเดิม ถึงแม้ว่าจะยังไม่ถือว่าสมราคาก็ตาม แต่ Subaru เองก็ไม่ได้ทิ้งรายละเอียดตรงนี้ไปเสียหมด ผมถือว่าราคาขนาดนี้กับรถแบบนี้ คุ้มค่ามากกว่าเดิมมากๆครับ
5.เบาะหลังนั่งสบายกว่าเดิม - จากที่เคยบอกด้านบนครับว่าฐานล้อกว้างกว่าเดิม 1 นิ้ว ได้ Legroom เพิ่มขึ้น 2 นิ้ว ผมเคยนั่งเปรียบเทียบกับ Impreza หน้าแมวแล้ว ตัวนี้นั่งสบายกว่าครับ ช่วงขาเหลือๆ นั่งทางไกลสบายๆครับ
6.การรับประกันดูดีสูสีกับค่ายอื่นๆ - ตรงนี้คือเค้าให้ประกัน 5 ปีหรือ 100,000 กิโลเมตร มีรถช่วยเหลือเมื่อเกิดเหตุฉุกเฉิน 24 ชั่วโมง 3 ปีแรก ตรงนี้ผมไม่แน่ใจว่าค่ายอื่นๆได้แบบนี้ประมาณนี้ไหม แต่คิดว่าน่าจะเหมือนกัน ที่ให้เป็นข้อดีเพราะว่าก่อนหน้านี้ผมไม่เคยเห็นแคมเปญนี้ซะที แต่ถ้ายังมีอยู่ก็เป็นอันตกไป
เราทราบข้อดีกันไปแล้ว แล้ว
ข้อเสียล่ะ มีอะไรบ้าง เท่าที่ผมคิดออก มีประมาณนี้
1.ช่วงล่างแข็งไปนิดนึง - อันนี้ผมยกให้ข้อแรกเลยนะ คือ ตอนแรกผมทำใจแล้วล่ะ ว่ารถแบบนี้ ช่วงล่างน่าจะไม่ธรรมดาแน่ๆ และมันก็ไม่ธรรมดาจริงๆครับ คือมันแข็งกว่าที่ผมคาดไว้ไปนิดนึง การซับแรงกระแทกในความเร็วต่ำๆนี่แทบจะฆ่ากันได้เลยทีเดียว คือมันแข็งน้อยกว่า A250 AMG นิดนึงจริงๆ 555+ แต่ที่ความเร็วสูงขึ้น มันดูโอเคขึ้นครับ Firm ขึ้น แต่ถ้าข้อนี้แลกกับการเกาะถนนอันประเสริฐสุดนี่ก็ ผมจะพยายามปรับตัวให้ชินดีกว่า 555+ ข้อนี้ต้องไปลองเองครับว่าชอบไม่ชอบ
2.เครื่องได้เทคโนโลยีเดิม - ตรงนี้หลายคนรวมไปถึงฝรั่งด้วย บ่นว่าอยากได้เครื่องใหม่ ผมเองก็คาดหวังตั้งแต่มันยังไม่ได้ออกมาโชว์ตัว ตอบจากใจจริงก็ตรงๆว่าผิดหวังครับ แต่ๆๆ ในอีกด้านหนึ่งก็สามารถมองได้ว่า มันเป็นเทคโนโลยีที่เสถียรแล้ว คนใช้กันมาเยอะมาก อะไหล่มหาศาล ของแต่งไม่ต้องไปนับ ช่างรู้จัก จูนเนอร์รู้จัก และไอ้เทคโนโลยีเดิมนี่ล่ะ เวลาซ่อม มันน่าจะพอคุยกันรู้เรื่อง และเครื่องเองก็ผ่านการพิสูจน์มาพอสมควรแล้วว่า แข็งแรง และทนทานพอสมควร ข้อเสียนี้เองก็มองได้สองมุมครับ
3.กินน้ำมัน - อันนี้ก็น่าจะเป็นผลจากข้อเสียข้อที่ 2 ซึ่งเป็นข้อเสียสำหรับหลายๆคน เพราะระดับประมาณ 10 กิโลเมตร/ลิตรนิดๆ หลายคนได้ยินแล้วส่ายหน้าแน่ๆ ในขณะที่ข้อมูลที่ผมมี WRX ธรรมดาเครื่องใหม่นั้น สามารถทำได้ถึง 14 กิโลเมตร/ลิตร ได้เลย แต่สถิติที่ดีที่สุดของผมตอนนี้ที่ทำได้ดีที่สุดกับ STi ก็คือ 13.3 กิโลเมตร/ลิตร ได้มาแบบฟลุคๆ นั่นก็แสดงว่า ถ้าขับแบบโหมดสันติภาพ ในยามสงบ ก็น่าจะได้เห็นตัวเลขที่พอใจชื้นได้บ้างครับ
4.ภายในดูหลอกๆ - ไอ้ที่บอกว่ามันหลอกๆนี้ก็คือพลาสติกลายเคฟล่าร์นั่นแหละ คือมันดูปุ๊บรู้เลย ว่านี่มันพลาสติกแน่ๆ คือผมมองปุ๊บแล้วรู้สึกเลยว่า ทำเป็นอะไรด้านๆสีธรรมดา อาจจะดูดีกว่าอีกนะ ไม่งั้นก็บุหนังเทียมตะเข็บแดงมาเลยก็อาจจะดูดีกว่าด้วยซ้ำ 555+
5.เครื่องเสียง - อันนี้แล้วแต่คนนะ คือผมไม่ได้สนใจเครื่องเสียงอยู่แล้ว เพราะส่วนใหญ่ปิดวิทยุขับรถ ฟังเสียงท่อไอเสียและลมจะดีกว่า แต่ที่รู้สึกว่ามันไม่โอเคก็เพราะว่า มันไม่มีจอนี่ล่ะครับ คือจอมันเป็น Dot Matrix อยู่เหมือนวิทยุโบราณๆ คุณภาพเสียงก็ไม่ค่อยดี ถ้ามีจอมารวมในชุดเครื่องเสียงจะดีมาก ส่วนจอ Multifunction ก็เป็นมาตรวัดบูสท์เทอร์โบไป บอกข้อมูลอื่นๆไปก็น่าจะดีกว่า
ข้อเสียก็คงประมาณนี้ แต่อย่างที่ผมบอกครับ ข้อเสียทั้งหมดนี้ ผมสามารถมองข้ามมันไปทั้งหมดได้ ผมก็เลยได้มันมาอยู่ด้วย กว่าจะผ่านมาถึง Subaru บอกตามตรงว่าต้องผ่านปากนกปากกามาเยอะมาก และด่านที่สำคัญที่สุดก็คือภรรยา ส่วนใหญ่ที่ผมเจอคือ สามีอยากได้ แต่ภรรยาไม่เอาด้วย นั่นก็จบตั้งแต่ประตูยังไม่เปิดเลยครับ
สุดท้ายนี้ผมก็ต้องขอขอบคุณพื้นที่เวป HLM ที่ให้ผมได้เขียนรีวิวอะไรยาวๆแบบนี้ เป็นอีก 1 ความสุขจริงๆครับ ที่ได้เขียนรีวิวรถที่ตัวเองชอบ ให้คนอื่นได้ทราบบ้าง หวังเป็นอย่างยิ่งว่า รีวิวนี้จะเป็นประโยชน์กับผู้อ่านต่อไปครับ
***รีวิวนี้ ขอยกลิขสิทธิให้กับเวป www.headlightmag.com แต่เพียงผู้เดียว ห้ามผู้ใดนำส่วนใดส่วนหนึ่งก็ตามไปเผยแพร่ในที่สาธารณะอื่นๆโดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของกระทู้***สวัสดีครับ
Update พ้นรันอิน 1,000 กิโลเมตรวันนี้ผมได้แวะไปศูนย์ที่โคราชเพื่อเปลี่ยนน้ำมันเครื่องระยะ 1,000 กิโลเมตรแรก ก่อนหน้านเคยขับผ่าน เห็น XV จอดด้านหน้าแค่คันเดียวเลย แอบส่องไปข้างหลังเห็นลิฟท์ยกอยู่ คิดว่าน่าจะพอเปลี่ยนน้ำมันเครื่องได้ วันนี้ได้ใช้บริการแล้ว ปรากฏว่า เค้าบริการดีนะครับ เซลล์ความรู้+ข้อมูลแน่นปั๊ก เลยได้คุยกันอะไรหลายๆอย่าง ที่นี่เค้าบอกช่างทำได้หมด ตั้งแต่เช็คระยะยันซ่อม เป็นช่างที่ไปอบรมจากเสรีไทยอีกรอบ ดูท่าทางช่างเค้าโอเคเลยครับ ละเอียดดี ใส่ใจในทุกรายละเอียด ถามอะไรก็ตอบได้หมดทุกข้อ ไม่ต้องวิ่งลงกรุงเทพก็สบายใจแล้วล่ะครับ 55555+ ขอนแก่นเองก็เคยโทรไปถาม แต่ก่อนขายอย่างเดียว ตอนนี้เทพื้นปูนด้านหลัง ลงอุปกรณ์แล้ว รู้สึกอุ่นใจขึ้นครับ อย่างน้อยก็มีศูนย์ที่ไม่ไกลเรามากนัก อนาคตอาจจะมีการขยายสาขาต่อด้วยซ้ำเพราะจะมี Forester ที่ผลิตมาเลย์ (เซลล์แอบกระซิบว่ามีโอกาสผลิตไทยซะด้วยครับ เนื่องจาก Subaru เค้าสนใจประเทศไทยเยอะเหมือนกัน)ลงมาตีตลาดอีก XV ราคาก็ต้องลงไปกว่านี้ Forester เองราคาก็จะถูกกว่านี้เยอะ ก็คงต้องดูต่อไปครับ
Update 10,000 กิโลเมตร (ไมล์จริง 8100 กิโลเมตร)วันนี้ผมได้มีโอกาสไปลองใช้ศูนย์บริการอีกที่ในภาคอีสานนั่นก็คือ
ขอนแก่น ครับ สถานที่ตั้งอยู่หลังโรงพยาบาลกรุงเทพขอนแก่นครับ บนนถนนข้างๆม.ขอนแก่น จริงๆก่อนหน้านี้ศูนย์ขอนแก่นยังไม่มีลิฟท์ยกรถครับ เพิ่งเทพื้นและลงลิฟท์ได้ไม่นาน ก็ได้โอกาสใช้บริการบ้าง ก่อนหน้านี้ดูแล้วว่างๆ ว่างมากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก ว่างจนน่ากลัว 5555+ แรกที่ได้เข้าไปก็ได้รับการต้อนรับอย่างดีครับ คิวว่างได้เปลี่ยนเลยโดยไม่ต้องรอ ผมเข้าไปประมาณ 11.30น. โทรเข้าไปก่อนถามว่าทันพักเที่ยงไหม ก็ได้รับคำตอบว่า เข้ามาได้เลย เดี๋ยวทำให้ก่อนไม่ต้องรอครับ
สาเหตุที่ผมต้องเปลี่ยนน้ำมันระยะ 8000 กว่ากิโลเมตรเพราะมีคนเตือนผมครับว่า Motul H-Tech 100 5W-30 ที่ศูนย์ใช้คุณภาพ อาจจะไม่เหมาะกับรถ Turbo แบบผม เพราะขนาด XV วิ่ง 160 ยาวๆ Oil Temp ยังแอบขึ้นเลย ถ้ายิ่งรถผมเครื่องเทอร์โบความร้อนมหาศาลถ้าได้เวลาซัดเต็มๆ อาจจะมีผลเสียได้ ผมเลยตัดสินใจเปลี่ยนครับ และพบว่า น้ำมันเครื่องดังกล่าวตอนเปลี่ยน ค่อนข้างเหลวเป๋วเป็นน้ำ สีดูไม่จืดเลยทีเดียว และผมสังเกตุว่า หลัง 5-6 พันกิโลเมตรมา รอบเดินเบา เครื่องแอบสั่นนิดหน่อย ไม่เหมือนก่อนหน้านี้ เลยอยากจะฝากเตือนเพื่อนๆที่ใช้รถรุ่นเดียวกับผมนะครับ หรือใคร XV ตีนหนักๆก็ให้ระวังไว้ด้วย แต่ถ้าขับปกติ ชิวๆสิวๆ ก็ไม่มีปัญหาอะไรครับ จากปัญหาแบบนี้ ผมเลยเจรจากับศูนย์ขอให้ศูนย์สั่งน้ำมันเครื่องที่ดีกว่านี้มาให้ แต่เค้าไม่สามารถทำได้ครับ ก็เลยขอเจรจาว่าจะเอาน้ำมันไปเอง ยี่ห้อ Motul เหมือนกันนี่แหละ แต่รุ่นดีกว่า เค้าก็ OK ครับ อนุญาติ ผมก็หิ้ว Motul 8100 Eco-Nergy 5W-30 ไป หลังเปลี่ยนทุกอย่างกลับมาเป็นปกติครับ เครื่องนิ่งเรียบ อัตราเร่งลื่นขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ตรงนี้ผมก็ต้องขอบคุณทางศูนย์ Subaru ขอนแก่นมา ณ ที่นี้ด้วยครับที่ให้บริการผมอย่างดี ช่างเค้าก็ความรู้ดีครับจากที่คุย ในระยะไมล์นี้ ผมก็ได้เดินเช็คใต้ท้องรถ ช่วงล่าง ทุกอย่างยังคงปกติครับ ถึงแม้ถนนบ้านผมจะเป็นหลุมในระดับที่พระจันทร์ต้องเรียกพ่อก็ตาม โช้คยังไม่รั่ว บุชยางยังโอเคครับ (มีจารบีทะลักนิดหน่อย)
ค่าเสียหายในรอบนี้
-น้ำมันเครื่อง 5 ลิตร 3000 บาท ยังเหลืออีกประมาณ 700cc ครับ เพราะเติมไป 4.3 ลิตรตาม SPEC
-กรองน้ำมันเครื่อง (อันนี้เซลล์แถมมาให้ตั้งแต่ออกรถเพิ่งเอามาใช้)
-น้ำมันเฟืองท้าย 150 บาท
-ค่าแรงยังฟรี ---> สรุปผมจ่ายศูนย์ขอนแก่นแค่ 150 บาท เพราะน้ำมันเครื่อง กรอง ผมเอาไปเอง เหอะๆๆๆๆๆ
ระหว่างที่เปลี่ยนก็ได้คุยกับช่างที่ทำการเปลี่ยนน้ำมันเครื่องให้ผมนะ เค้าก็บอกว่า ขอนแก่นเองก็มีลูกค้าพอสมควร ตอนนี้ยอดน่าจะ 100+ คันแล้ว และในเร็วๆนี้จะพัฒนาศูนย์ให้เป็นศูนย์บริการเต็มรูปแบบ คือทั้งซ่อม และเช็คตามที่ควรจะเป็นครับ รถก็ออกได้เรื่อยๆ ผมเองก็อุ่นใจได้บ้างนิดนึงว่า ศูนย์ไม่น่าจากเราไปเร็วกว่าที่ควรจะเป็นนะ 5555+
Update 20,000 กิโลเมตรคือจริงๆผมได้เข้ารับการบริการจากสองศูนย์นะครับในรอบนี้ เนื่องจากว่า ผมไปอ่านเจอบทความของเวป subaru เองเลยเมื่อปี 2008 เค้าบอกว่า ถ้าเป็นรถเทอร์โบ ขับไม่โหดมากแนะนำเปลี่ยนที่ 8,000 กิโลเมตร (ในคู่มือ 1 หมื่นนั่นคือ ต้องขับแบบสุภาพและเรียบร้อยมากๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆจริงๆครับ) ถ้าโหดๆหน่อยก็ 5-6 พันกิโลเมตรครับ ผมเลยได้เข้าไปเปลี่ยนน้ำมันที่ศูนย์โคราชปักธงชัยด้วย ตรงนั้นเป็นศูนย์ตันจงครับ คือ มีรถ 10 ล้อรถบรรทุกอื่นๆด้วย การบริการดีเยี่ยมครับ พนักงานทุกคนดีจริงๆ ผมติดต่อผ่านเซลล์อีกคนไป ขนาดผมไม่ใช่ลูกค้าเค้า เค้าก็ดูแลผมดีมากๆครับ พอใจมาก
แต่อีกครั้งคือ 2 หมื่นโล ผมมาเปลี่ยนที่ขอนแก่นเช่นเดิมครับ พนักงานรอบแล้วที่เจอกันอยู่กันครบตั้งแต่หัวหน้าช่างยันช่างที่เปลี่ยนน้ำมันให้ผม 5555+ แต่ปัญหาที่ผมพบเจอมากๆคือ นโยบายของ MIT ครับที่ห้ามหิ้วน้ำมันเครื่องไปเปลี่ยนเอง แต่โอเคเค้าหาให้ได้ครับ และรอบนี้หาให้ได้จริงๆ แต่ขายแพงกว่าข้างนอก ซึ่งผมว่ามันไม่แฟร์ น้ำมัน Motul 300V ขายลิตรละ 1177 บาท (คือรับมาจากข้างนอก แล้ว +vat ไปอีก 7%) ซึ่งผมว่ามันไม่โอเคเท่าไหร่นะ แต่ก็เอาเถอะครับ เข้าใจว่าเพื่อความอยู่รอด ก็หยวนๆกันไป
จะว่า MIT ไม่ดีซะหมดก็ไม่ใช่ซะทีเดียวครับ ในระยะนี้ ผมเกิดอุบัติเหตุด้วยครับ คือ หินกระเด็นใส่กระจกหูช้างด้านซ้ายแตก - -a ตอนที่แตกนี่ใจผมลงไปอยู่ตาตุ่มเลยครับ คิดไว้แล้วว่ายังไงคงได้เห็น 2 เดือนแหงๆ แต่ผิดคาดครับ MIT บ้านเรา stock ไว้ด้วย และเหลือเป็นอันสุดท้ายด้วย ใช้เวลาเบิกไม่เกินสัปดาห์เปลี่ยนใหม่ งานจบครับ ผมคิดว่าถ้า MIT จะ stock อะไหล่ไว้หลายๆตัวเพื่อความพร้อมของรถที่มากขึ้นจะเป็นอะไรที่แก้สถานการณ์ของชื่อเสียงศูนย์ได้ค่อนข้างดีเลยนะครับ อันนี้ต้องขอชม
ส่วนปัญหากับตัวรถ ไม่พบอะไรผิดปกติครับ วิ่งดี ฉิวๆ
Update 30,000 กิโลเมตรกลับมาอีกครั้งสำหรับการ Update ระยะ 30,000 กิโลเมตรนะครับ
สำหรับในรอบระยะนี้ ผมได้มีการปรับเปลี่ยน Part สำคัญของรถครับ นั่นก็คือ "โช้คอัพ" ครับ สาเหตุที่ต้องเปลี่ยนก็เพราะว่า "มันเด้ง" ครับ คือแข็งผมพอรับได้นะ แต่เด้งๆขับทางไกลยอมรับว่ามีล้าๆบ้างครับ ถนนที่ผมขับประจำนี่หลุมไม่เท่าไหร่ แต่ Bump นี่มีมหาศาลเลย หนักสุดที่เคยเจอคือ ผมตูดลอยออกจากเบาะ และหัวแทบกระแทกเพดาน (แต่นั่นคือ Bump ใหญ่มากนะครับ และมาค่อนข้างเร็ว) ภรรยานั่งข้างๆก็เริ่มบ่น ผมก็เริ่มใจคอไม่ค่อยดี เลยตัดสินใจเปลี่ยนครับ
หลังจากที่ศึกษาข้อมูลมหาศาล แทบจะทำ server ของ Google พังไปซักตัวเลย ก็ได้คำตอบมาว่า เป็น
Ohlins Road&Track DFV ครับ หน้าตาโช้คเป็นแบบนี้
Cr.
www.part-box.comเรื่องของโช้ค เดี๋ยวผมจะ Review แยกอีกทีนะครับ ขออนุญาตเอาที่เกี่ยวกับการใช้งานก่อน
ระยะ 30,000 นี้ การใช้งานไม่มีปัญหาอะไรครับ มีแต่สลับล้อตอนประมาณ 2 หมื่นกว่าโล หลังสลับก็รู้สึกว่ามันร่อนๆอยู่ ยาง Dunlop Sport MAXX RT หลังๆมาก็เริ่มเอาถนนเปียกไม่อยู่แล้ว รีดน้ำไม่ค่อยเก่งเท่าไหร่ แต่ถนนแห้งยังคงความนิ่งและเกาะหนึบหนับอยู่ครับ ปัญหาอื่นๆที่หนักๆก็ยังไม่พบเจออะไรนะครับ ยังใช้งานตามปกติ เล็กๆน้อยก็ หลังจากที่ผมเปลี่ยนโช้คแล้ว แรงสะเทือนบางประเภทเช่น รอยต่อถนน สันถนนคมๆ มันเข้าห้องโดยสารมากขึ้น มีเสียงก๊อกแก๊กจากฝาลำโพงด้านหน้าซ้ายนิดหน่อยครับ
และในระยะนี้เอง ผมได้ลองของการเคลมอะไหล่ Subaru บ้านเราอีกแล้วครับ 5555+ รอบนี้หนักหน่อย กระจกบานหน้าเลยครับ ผมขับรถแล้วโดนหินดีดใส่ จริงๆรอยมันเล็กครับ เล็กนิดเดียว แต่โชคร้ายตรงที่โดนแล้วรอยกระจกมันวิ่ง ปรึกษาร้านกระจกแล้วเค้าบอก เปลี่ยนสถานเดียว ตอนแรกผมคิดในใจแล้วครับ "รอ 3 เดือนแน่นอน" ปรากฏเช็คกับศูนย์เสรีไทย พบว่า "มีของ" ทันทีครับ โอยผมน้ำตาจะไหล... รอบนี้รอบที่สองแล้วที่ผมเคลมของแล้วไม่ต้องรออะไหล่ ไม่รู้โชคดีหรือยังไง เพราะกระจกบานหน้าตัวนี้ เป็นตัวสุดท้ายแล้วครับ ผมได้มีโอกาสคุยกับช่างคนนึงที่ศูนย์ขอนแก่น เค้าบอกว่า ตอนนี้เค้าเปลี่ยนวิธีการสั่งอะไหล่ใหม่ครับ จากเดือนละครั้ง เป็นสัปดาห์ละครั้ง สั่งในที่นี้หมายถึงสั่งจากญี่ปุ่นนะครับ เพราะฉะนั้นอะไหล่จะมาเร็วขึ้น เค้าบอกว่า อย่างมากสุดก็ 45 วันต้องเห็นของแล้ว ไม่รู้จริงเท็จยังไง ผมก็ไม่อยากลองล่ะครับ 55555+
ส่วนอัพเดทเรื่องศูนย์ ผมได้ยินข่าวแว่วๆว่า อีสานบนอีกสองจังหวัดอาจจะมีการเปิดศูนย์เพิ่ม ซึ่งยังไงก็ต้องดูกันต่อไปครับ ผมเองก็ลุ้นเหมือนกัน ว่าไอ้จังหวัดที่ผมอยู่จะเปิดไหม เพราะเคยเปิดมารอบนึงและเจ๊งไปรอบนึงแล้ว 5555+ ถ้าเปิดก็ดีครับ ผมสดุดีให้เลย จะได้ไม่ต้องขับรถข้ามจังหวัดเพื่อเช็คระยะอีกต่อไป
จะมาอัพเดทรอบหน้า 40,000 กิโลเมตรครับผม
Update 40,000 กิโลเมตรสวัสดีอีกครั้งในรอบ 40,000 กิโลเมตรครับผม รอบนี้ก็เข้าศูนย์ เช็คใหญ่กว่าทุกรอบครับ คือเปลี่ยนน้ำมันเครื่อง เกียร์ พวงมาลัยพาวเวอร์ แล้วก็น้ำยาหม้อน้ำครับ ใช้เวลานานพอสมควรอยู่เหมือนกัน
ปัญหาที่พบเจอในรอบนี้ ก็เป็นอะไรเล็กๆน้อยๆครับ คือ เสา A ทั้งสองข้างเริ่มดัง เวลาเจอถนนไม่เรียบครับ ไม่รู้เป็นเพราะเปลี่ยนโช้คใหม่ แล้วมันแข็งกว่าเดิมไหม มันเลยสะเทือนมาถึงตรงนี้ ยังไม่ได้แก้ครับ 5555+ ส่วนอื่นๆยังโอเคหมดทุกอย่างครับ ไม่มีอาการผิดปกติอะไร ยาง Dunlop ครบ 40,000 โลแล้ว ทางแห้งยังแสดงสมรรถนะได้อย่างดีเยี่ยมไม่ต่างจากยางใหม่เลยครับ ถือว่าเป็น Dunlop ในแบบที่ผมไม่เคยเห็นมาก่อนนะ 5555+ แต่ก็จะเปลี่ยนแล้วครับ เสียงดังมาก ไม่ไหว 5555+
แต่ที่ผมอึ้งคือ ไอ้โช้ค Ohlins DFV ที่ผมเพิ่งใส่ไปตอน 20,000 โล หัวบอลจ๊อยท์ด้านหน้าขวาหลวมครับ หลวมน่าเกลียด และเวลาขับบนถนนไม่เรียบจะมีเสียงดังก๊อกแก๊กๆตลอดครับ ถนนที่ผมขับยอมรับว่ามันไม่ค่อยดีนะเอาจริงๆ หลุมบ่อเยอะ บัมพ์นี่เจอประจำ ก็เลยไม่รู้ว่าเป็นเพราะถนนไหม อายุหัวบอลผมเลยสั้นไปเลย ใครใช้รุ่นนี้อยู่ก็ระมัดระวังเรื่องการใช้งานนิดนึงนะครับ อายุสั้นกว่าที่ผมคิดเยอะเลย
ส่วน update เรื่องศูนย์ที่จังหวัดอุดรธานี ยังคงเงียบครับ 5555+ ยังไม่มีวี่แววแต่อย่างใด ผมก็ยังคงใช้บริการที่ศูนย์ขอนแก่นเหมือนเดิมครับ
และพบกันใหม่ในการอัพเดทรอบหน้าครับ
Update 50,000 กิโลเมตรมาอัพเดทกันครับกับระยะ 50,000 กิโลเมตร มาครึ่งแสนแล้ว ถึงตรงนี้ รถก็ยังวิ่งได้ตามปกติครับ ผมถ่ายน้ำมันเครื่องทุกๆ 5 พันกิโลใช้เกรดดีๆหน่อยทุกครั้งครับ น้ำมันเกียร์ พาวเวอร์ หม้อน้ำถ่ายตามระยะเบ็ดเสร็จเรียบร้อย ในส่วนเครื่องยนต์ ระบบขับเคลื่อน ไฟฟ้า ทุกอย่างเป็นปกติหมดครับ ไม่มีปัญหาอะไร แบตเตอรี่นี่ก็เกือบๆจะสามปีแล้ว ไฟเริ่มอ่อน แต่จริงๆยังสตาร์ทแชะเดียวติดครับ ไม่มีปัญหาอะไร ส่วน Body part ก็เสา A สองเสาดังแก้กๆเหมือนเดิมครับ ไม่รำคาญเท่าไหร่ ปล่อยไป 5555+ ถ้าพูดถึงส่วนที่ดีมันก็ดีหมดครับ อัพเดทส่วนที่เสียดีกว่า
ส่วนที่เสียก็คือ "ลูกปินล้อครับ" จริงเสียระยะ 4 หมื่นกว่า ถามว่าผมแปลกใจไหม ก็ไม่ครับ ช่วงล่างแข็งขนาดนั้น หลุมก็มีตกบ้าง ตกแต่ละทีมันก็หนักอยู่ครับ ดังหน้าขวาซึ่งเป็นข้างที่ผ่านศึกหนักที่สุด ก็เข้าเคลมไปครับ ณ วันที่ผมกำลังพิมพ์นี้แจ้งไปเดือนกว่าแล้ว ยังไม่รู้ชะตาว่าจะได้เคลมหรือไม่ อนุมัติไหมยังไม่ทราบครับ ระบบการเคลมของตันจงมาประสบพบเจอก็เข้าใจชาว XV เลยครับ เคลมทีน้ำตาแทบไหล 555+ แต่ผมทราบข่าวลับๆมาจากหลังบ้านว่า นโยบายการเคลมจะดีขึ้นกว่าเดิมครับ ส่วนภาคปฎิบัตินั้นก็ลุ้นกันต่อไป ในระยะ 5 หมื่นก็มีเท่านี้ครับที่มีปัญหา
จริงๆจะอัพเดทอีกอย่างคือ "รถซึ่ง" กับ "เด็กทารก" จะไปด้วยกันได้ไหม คำตอบคือ "ได้" ครับ ผมก็พิสูจน์มาแล้ว ลูกชายคลอดมาแล้วครับ เอาใส่ car seat กระเช้านั่งกลับบ้านหลับทั้งทาง ระยะทาง 100 กิโลสบายๆครับ ถึงบ้านตื่นนอนกินนมแล้วก็นอนต่อ เพียงแต่ต้องขับช้าๆลงหน่อยครับ เบาๆมือไม่ได้บินทุกบัมพ์เหมือนแต่ก่อนเป็นอันโอเคครับ
จบการอัพเดท 50,000 กิโลเพียงเท่านี้ รอพบกันต่อไปรอบหน้าครับ