ถ้าตัดสินใจจะซื้อรถเล็ก ทั้ง 2 รุ่นนี้ ผมว่า คุณต้องอยู่ในเงื่อนไข
ไม่แคร์ เรื่อง ค่าซ่อมบำรุง ในอนาคต หรือ คุณมีเงินเหลือๆ ซื้อขับเล่น หมดประกันรถ หรือ 3-4 ปี ก็ซื้อใหม่ หรือ รุ่นใหม่ออก ก็เปลี่ยน
มีรถหลายคันมาก ไม่ใช่รถคันเดียวในบ้าน และ ไม่ใช่รถคันแรก
เพราะ
1. เครื่องดีเซลในช่วงแรกๆ จะทน ไม่จุกจิก ไม่มีค่าใช่จ่าย เปลี่ยนน้ำมันเครื่องอย่างเดียว แต่ถ้าผ่านหลัก 100,000 โลไป ปัญหามันจะเริ่มมาแล้ว แม้ไม่ทุกคัน อะไหล่ เครื่องดีเซล เทคโนโลยีใหม่ ราคาแพงมากๆ โดยที่บางคนไม่รู้เลย เช่น หัวฉีด ขั้นต่ำ ตัวละ 10,000 บาท 4 หัว 40,000 บาท (เวลาเสีย มันเสียพร้อมกัน น้ำมันบ้านเรา ไม่ค่อยถูกกับหัวฉีด กระบะ Commonrail หัวฉีดพังทุกคัน อาการวิ่งไม่ออก ขึ้นสะพานไม่มีแรง เมื่อเก่า) ยังไม่คิด ค่าเทอร์โบแปรฝัน ปั้มดีเซลไฟฟ้า กล่องสมอง ยางแท่นเครื่อง และ อื่นๆ ซึ่ง เครื่องดีเซลรุ่นใหม่ มักมีปัญหาตรงนี้ ไม่ได้เป็นกลไกหมด ที่ทนเหมือน เครื่องดีเซลรุ่นเก่าๆ ที่ไม่มีระบบไฟฟ้า
เครื่อง ดีเซล benz, bmw รุ่นใหม่ๆ ก็เช่นกัน เวลาเก่า แล้ว เสีย เจ้าของร้องไม่ออกทุกคน ยิ่งถ้าเป็น Benz รุ่นใหม่ Hybrid Diesel เวลาเก่า นี่ ค่า Mainatainance Double cost อะไหล่แต่ละชิ้น หลักหมื่นกับแสนทั้งนั้น
2. ส่วน Ecoboost ก็มีแนวโน้ว อะไหล่แพงเช่นกัน เพราะ เป็น เทคโนโลยีใหม่ที่ไม่เหมือนปกติ แต่น่าจะน้อยกว่าหรือเท่ากับ Mazda 2 ดีเซลได้
Ford ใช้อะไหล่ยุโรป มันจะไม่แพงได้ไง ส่วนการ Maintainance เครื่องเบนซินในรุ่นใหม่ๆ ก็น้อยลงมากแล้ว พวก หัวเทียน ก็ขยับไปแสนโล แต่เปลี่ยนที ก็หลายพัน
ถ้าไม่แคร์เรื่อง การซ่อม บำรุง ในอนาคต จัดเลยครับ น่าใช้ทั้ง 2 ตัว
แต่ถ้าขับ เอามัน ผมว่า Ford Ecoboost น่าจะมีภาษีดีกว่า ทั้งแรง ทั้งประหยัด ยิ่งถ้าเติม E20 ได้ยิ่งดี คำนวนสุดท้ายแล้ว ณ ราคาน้ำมันตอนนี้ น่าจะประหยัดกว่า ดีเซลอีก
ส่วน Mazda 2 Diesel อาจจะมาผิดเวลา เพราะ น้ำมันลง มันไม่จำเป็นต้องเติม Diesel ก็ได้ และ รถดีเซลแบบนี้ ชอบประหยัดทางไกล ขับทางไกลอาจได้ถึง 18-20 km/l แต่ขับในเมืองรถติดในกทม ซึ่งบางคนขับประจำ หล่นพรวดลงมาเหลือแค่ 10 km/l มันก็ไม่มีประโยชน์ คำโฆษณา อย่าไปเชื่อมาก ต่อให้เป็น ฺBMW 320d ที่ว่าประหยัดมาก มาขับในเมืองรถติดแบบสาธร ก็เหลือต่ำกว่า 10 km/l ได้
อย่างไรก็ตาม เมื่อเทียบ ความนิ่ง ความเสถียร (ปัญหาการใช้งานของรถ) ของ แบรนด์ Mazda ยังดีกว่า Ford ในแง่ความรู้สึก