ผู้เขียน หัวข้อ: โครงสร้างสรรพสามิตใหม่ กับ รถความจุ +3000  (อ่าน 21712 ครั้ง)

MacH1

  • บุคคลทั่วไป
ผมสงสัยว่าทำไม เค้ายังจ้องหวด พวกรถความจุเกิน 3000 ซีซี ในเมื่อ ใช้ค่า CO2 มาเป็นเกณฑ์ใหม่แล้ว  ทำแบบนี้ ซ้ำซ้อนอีกแล้ว ตามสไตล์ไทยแลนด์

จริงๆแล้วเป็นความคิดสุดโบราณกาลที่มองว่า รถความจุเกิน 3000 ต้องกินน้ำมัน ปล่อย CO2 เยอะทุกคัน ลองไปดูพวก mpg, CO2 emission ของพวกรถบล็อกเกิน 3000 ซีซี ที่มีขายในโลกที่หนึ่งดูได้ครับ  

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: เมษายน 16, 2015, 09:51:20 โดย Ivy Modernist »

ออฟไลน์ delete

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 2,963
    • อีเมล์
Re: โครงสร้างสรรพสามิตใหม่ กับ รถความจุ +3000
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: เมษายน 16, 2015, 10:07:26 »
ผมสงสัยว่าทำไม เค้ายังจ้องหวด พวกรถความจุเกิน 3000 ซีซี ในเมื่อ ใช้ค่า CO2 มาเป็นเกณฑ์ใหม่แล้ว  ทำแบบนี้ ซ้ำซ้อนอีกแล้ว ตามสไตล์ไทยแลนด์

จริงๆแล้วเป็นความคิดสุดโบราณกาลที่มองว่า รถความจุเกิน 3000 ต้องกินน้ำมัน ปล่อย CO2 เยอะทุกคัน ลองไปดูพวก mpg, CO2 emission ของพวกรถบล็อกเกิน 3000 ซีซี ที่มีขายในโลกที่หนึ่งดูได้ครับ  



ขอข้อมูลสนับสนุนความเห็นหน่อยครับ
มันอะไร เท่าไหร่ ยังไง ผมตามไม่ทัน

MacH1

  • บุคคลทั่วไป
Re: โครงสร้างสรรพสามิตใหม่ กับ รถความจุ +3000
« ตอบกลับ #2 เมื่อ: เมษายน 16, 2015, 10:14:14 »
ผมสงสัยว่าทำไม เค้ายังจ้องหวด พวกรถความจุเกิน 3000 ซีซี ในเมื่อ ใช้ค่า CO2 มาเป็นเกณฑ์ใหม่แล้ว  ทำแบบนี้ ซ้ำซ้อนอีกแล้ว ตามสไตล์ไทยแลนด์

จริงๆแล้วเป็นความคิดสุดโบราณกาลที่มองว่า รถความจุเกิน 3000 ต้องกินน้ำมัน ปล่อย CO2 เยอะทุกคัน ลองไปดูพวก mpg, CO2 emission ของพวกรถบล็อกเกิน 3000 ซีซี ที่มีขายในโลกที่หนึ่งดูได้ครับ  



ขอข้อมูลสนับสนุนความเห็นหน่อยครับ
มันอะไร เท่าไหร่ ยังไง ผมตามไม่ทัน

ยกตัวอย่าง SLK350 กับ SLK55AMG ตัวปัจจุบัน

SLK350 ใช้เครื่อง V6 3.5l  39.8 mpg  ขณะที่ co2 emission อยู่เพียง 167 g/km
SLK55AMG ใช้เครื่อง Small block V8 5.5l  33.6mpg ขณะที่ co2 emission อยู่เพียง 195 g/km  

แต่โครงสร้างภาษีซ้ำซ้อนโบราณกาลแบบไทยแลนด์ ทำให้โดนสรรพสามิตไป 50% แทนที่ควรจะอยู่ที่ 30-35%
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: เมษายน 16, 2015, 10:18:44 โดย Ivy Modernist »

ออฟไลน์ Mortred

  • Sr. Member
  • ****
  • กระทู้: 793
    • อีเมล์
Re: โครงสร้างสรรพสามิตใหม่ กับ รถความจุ +3000
« ตอบกลับ #3 เมื่อ: เมษายน 16, 2015, 10:30:59 »
แล้วอย่างเรนเจอร์ 3.2 co2 emission อยู่ที่เท่าไหร่กัน

MacH1

  • บุคคลทั่วไป
Re: โครงสร้างสรรพสามิตใหม่ กับ รถความจุ +3000
« ตอบกลับ #4 เมื่อ: เมษายน 16, 2015, 10:39:54 »
แล้วอย่างเรนเจอร์ 3.2 co2 emission อยู่ที่เท่าไหร่กัน

274 g/km ครับ

http://www.autoexpress.co.uk/ford/ranger/18588/ford-ranger-wildtrak

ออฟไลน์ H3T

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 2,721
    • อีเมล์
Re: โครงสร้างสรรพสามิตใหม่ กับ รถความจุ +3000
« ตอบกลับ #5 เมื่อ: เมษายน 16, 2015, 10:54:19 »
 ที่จริงถ้าไม่มีเพดานความจุ เอาแค่นับ Co2 เป็นขั้นบรรไดไปก็ได้ แบบ EU Emission
  Mustang V8 ที่จำหน่ายใน EU จึงต้องจูนดาวน์ลงมาเพราะต้องการให้ Co2 ต่ำกว่า 300 g/km นั่นเอง
   US version V8 Co2 = 306 g/km
   EU version V8 Co2 = 289 g/km

 
แล้วอย่างเรนเจอร์ 3.2 co2 emission อยู่ที่เท่าไหร่กัน

 อ้างอิงจาก Australia จะตรงกับบ้านเรามากกว่า เพราะโรงงานเดียวกัน ( ส่วนที่ยุโรปมาจากโรงงานอาฟริกาใต้ )
 Co2 = 254 g/km Auto tranmission

ออฟไลน์ delete

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 2,963
    • อีเมล์
Re: โครงสร้างสรรพสามิตใหม่ กับ รถความจุ +3000
« ตอบกลับ #6 เมื่อ: เมษายน 16, 2015, 11:05:55 »
ผมสงสัยว่าทำไม เค้ายังจ้องหวด พวกรถความจุเกิน 3000 ซีซี ในเมื่อ ใช้ค่า CO2 มาเป็นเกณฑ์ใหม่แล้ว  ทำแบบนี้ ซ้ำซ้อนอีกแล้ว ตามสไตล์ไทยแลนด์

จริงๆแล้วเป็นความคิดสุดโบราณกาลที่มองว่า รถความจุเกิน 3000 ต้องกินน้ำมัน ปล่อย CO2 เยอะทุกคัน ลองไปดูพวก mpg, CO2 emission ของพวกรถบล็อกเกิน 3000 ซีซี ที่มีขายในโลกที่หนึ่งดูได้ครับ  



ขอข้อมูลสนับสนุนความเห็นหน่อยครับ
มันอะไร เท่าไหร่ ยังไง ผมตามไม่ทัน

ยกตัวอย่าง SLK350 กับ SLK55AMG ตัวปัจจุบัน

SLK350 ใช้เครื่อง V6 3.5l  39.8 mpg  ขณะที่ co2 emission อยู่เพียง 167 g/km
SLK55AMG ใช้เครื่อง Small block V8 5.5l  33.6mpg ขณะที่ co2 emission อยู่เพียง 195 g/km  

แต่โครงสร้างภาษีซ้ำซ้อนโบราณกาลแบบไทยแลนด์ ทำให้โดนสรรพสามิตไป 50% แทนที่ควรจะอยู่ที่ 30-35%
อ้างอิงภาพนี้


จริงๆ กม.สรรพสามิตมันน่าจะมีสาระสำคัญอยู่ 2 แบบ
1. มลพิษ ใครก่อมลพิษสูง ก็ต้องจ่ายภาษีสุง
กับ2. ใครฟุ่มเฟือยเกิน ก็ต้องจ่ายภาษีสูง
เพราะรถยนต์นั่งเกิน 3000CC ก็ยังคงถูกมองว่า เป็นสินค้าฟุ่มเฟือยอยุ่ ซึ่งตรงนี้มันแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ คนละแนวทางกับปัญหามลพิษ
ถ้าอยากได้ภาษีถูกลง ก็ต้องหันมาเล่นรถที่ต่ำกว่า 3000CCล่ะครับ

ซึ่งผมมองว่า เหตุผลของภาษี มันก็พอรับฟังได้นะครับ
ปอลิง กม.ใหม่ เอาแรงม้าออกไปแล้วด้วย(ของเดิมถ้าเกิน 220 แม้จะไม่ถึง3000CCก็ไม่ได้)
ซึ่งผมมองว่าตรงนี้ น่าจะพอช่วยให้รถแรงๆ ซีซีน้อยๆ จับต้องได้มากขึ้น

MacH1

  • บุคคลทั่วไป
Re: โครงสร้างสรรพสามิตใหม่ กับ รถความจุ +3000
« ตอบกลับ #7 เมื่อ: เมษายน 16, 2015, 11:32:58 »
ผมสงสัยว่าทำไม เค้ายังจ้องหวด พวกรถความจุเกิน 3000 ซีซี ในเมื่อ ใช้ค่า CO2 มาเป็นเกณฑ์ใหม่แล้ว  ทำแบบนี้ ซ้ำซ้อนอีกแล้ว ตามสไตล์ไทยแลนด์

จริงๆแล้วเป็นความคิดสุดโบราณกาลที่มองว่า รถความจุเกิน 3000 ต้องกินน้ำมัน ปล่อย CO2 เยอะทุกคัน ลองไปดูพวก mpg, CO2 emission ของพวกรถบล็อกเกิน 3000 ซีซี ที่มีขายในโลกที่หนึ่งดูได้ครับ  



ขอข้อมูลสนับสนุนความเห็นหน่อยครับ
มันอะไร เท่าไหร่ ยังไง ผมตามไม่ทัน

ยกตัวอย่าง SLK350 กับ SLK55AMG ตัวปัจจุบัน

SLK350 ใช้เครื่อง V6 3.5l  39.8 mpg  ขณะที่ co2 emission อยู่เพียง 167 g/km
SLK55AMG ใช้เครื่อง Small block V8 5.5l  33.6mpg ขณะที่ co2 emission อยู่เพียง 195 g/km  

แต่โครงสร้างภาษีซ้ำซ้อนโบราณกาลแบบไทยแลนด์ ทำให้โดนสรรพสามิตไป 50% แทนที่ควรจะอยู่ที่ 30-35%
อ้างอิงภาพนี้


จริงๆ กม.สรรพสามิตมันน่าจะมีสาระสำคัญอยู่ 2 แบบ
1. มลพิษ ใครก่อมลพิษสูง ก็ต้องจ่ายภาษีสุง
กับ2. ใครฟุ่มเฟือยเกิน ก็ต้องจ่ายภาษีสูง
เพราะรถยนต์นั่งเกิน 3000CC ก็ยังคงถูกมองว่า เป็นสินค้าฟุ่มเฟือยอยุ่ ซึ่งตรงนี้มันแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ คนละแนวทางกับปัญหามลพิษ
ถ้าอยากได้ภาษีถูกลง ก็ต้องหันมาเล่นรถที่ต่ำกว่า 3000CCล่ะครับ

ซึ่งผมมองว่า เหตุผลของภาษี มันก็พอรับฟังได้นะครับ
ปอลิง กม.ใหม่ เอาแรงม้าออกไปแล้วด้วย(ของเดิมถ้าเกิน 220 แม้จะไม่ถึง3000CCก็ไม่ได้)
ซึ่งผมมองว่าตรงนี้ น่าจะพอช่วยให้รถแรงๆ ซีซีน้อยๆ จับต้องได้มากขึ้น

ที่เค้าจะอ้าง แก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ นี้ข้ออ้างเดิมๆ อ้างมาตั้งแต่ ภาษีงี่เง่า 220 ม้าละครับ เคยแก้ปัญหาได้ซะที่ไหน  ส่วนทัศนคติ รถเกิน 3000 ซีซีเป็นฟุ่มเฟือยนี้ ถือว่าล้าสมัยเอามากๆครับ

ออฟไลน์ Blackforlife

  • Sr. Member
  • ****
  • กระทู้: 418
  • FAST IS GOOD
Re: โครงสร้างสรรพสามิตใหม่ กับ รถความจุ +3000
« ตอบกลับ #8 เมื่อ: เมษายน 16, 2015, 11:33:34 »
ผมว่าแค่นี้ก็ถือว่าดีมากๅแล้วครับ ถ้าเทียบกับของเดิม รถแรงๆราคาโดนๆได้จับต้องกันได้บ้างแล้ว
N/A  

jomyoot

  • บุคคลทั่วไป
Re: โครงสร้างสรรพสามิตใหม่ กับ รถความจุ +3000
« ตอบกลับ #9 เมื่อ: เมษายน 16, 2015, 11:44:10 »
แล้วรถบรรทุก 6ล้อ 10สิบ รถพ่วง รถ18ล้อ รถสารพัดรถ ความจุเกิน3000เยอะแยะ จะจัดการยังไง
แล้วพอจัดการไป มันจะส่งผลกระทบต่อภาคขนส่งด้วยไหม
แล้วข้าวของเครื่องใช้ที่แพงอยุ่แล้ว จะแพงขึ้นไปอีกไหมครับ

แล้วเกี่ยวกับAEC รถวิ่งประเทศไหนก็ได้ ก็รอซื้อรถจากลาว จากพม่าที่ถูกกว่าดีไหมครับ

ออฟไลน์ top3245

  • Sr. Member
  • ****
  • กระทู้: 466
Re: โครงสร้างสรรพสามิตใหม่ กับ รถความจุ +3000
« ตอบกลับ #10 เมื่อ: เมษายน 16, 2015, 12:03:13 »
อยากทราบเช่นกันครับ

พวกรถ 10 ล้อ ความจุเป็น 10,000 -16,400 cc. 360-750 แรงม้า เสียภาษีนำเข้าเท่าไหร่ครับ แล้วเสียภาษีสรรพสามิตรเท่าไหร่(จะถูกเหมือนรถกระบะไหม 3%)

ที่ผมพอทราบถ้านำเข้าจาก อินเดีย เจอภาษีนำเข้า 40% เกาหลีใต้ 16%

ออฟไลน์ delete

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 2,963
    • อีเมล์
Re: โครงสร้างสรรพสามิตใหม่ กับ รถความจุ +3000
« ตอบกลับ #11 เมื่อ: เมษายน 16, 2015, 13:25:04 »
อยากทราบเช่นกันครับ

พวกรถ 10 ล้อ ความจุเป็น 10,000 -16,400 cc. 360-750 แรงม้า เสียภาษีนำเข้าเท่าไหร่ครับ แล้วเสียภาษีสรรพสามิตรเท่าไหร่(จะถูกเหมือนรถกระบะไหม 3%)

ที่ผมพอทราบถ้านำเข้าจาก อินเดีย เจอภาษีนำเข้า 40% เกาหลีใต้ 16%
น่าจะอยู่ที่ 40%  ตามนี้

http://www.siblor.com/image/02-25-14.pdf

ผมสงสัยว่าทำไม เค้ายังจ้องหวด พวกรถความจุเกิน 3000 ซีซี ในเมื่อ ใช้ค่า CO2 มาเป็นเกณฑ์ใหม่แล้ว  ทำแบบนี้ ซ้ำซ้อนอีกแล้ว ตามสไตล์ไทยแลนด์

จริงๆแล้วเป็นความคิดสุดโบราณกาลที่มองว่า รถความจุเกิน 3000 ต้องกินน้ำมัน ปล่อย CO2 เยอะทุกคัน ลองไปดูพวก mpg, CO2 emission ของพวกรถบล็อกเกิน 3000 ซีซี ที่มีขายในโลกที่หนึ่งดูได้ครับ 


ขอข้อมูลสนับสนุนความเห็นหน่อยครับ
มันอะไร เท่าไหร่ ยังไง ผมตามไม่ทัน

ยกตัวอย่าง SLK350 กับ SLK55AMG ตัวปัจจุบัน

SLK350 ใช้เครื่อง V6 3.5l  39.8 mpg  ขณะที่ co2 emission อยู่เพียง 167 g/km
SLK55AMG ใช้เครื่อง Small block V8 5.5l  33.6mpg ขณะที่ co2 emission อยู่เพียง 195 g/km 

แต่โครงสร้างภาษีซ้ำซ้อนโบราณกาลแบบไทยแลนด์ ทำให้โดนสรรพสามิตไป 50% แทนที่ควรจะอยู่ที่ 30-35%
อ้างอิงภาพนี้


จริงๆ กม.สรรพสามิตมันน่าจะมีสาระสำคัญอยู่ 2 แบบ
1. มลพิษ ใครก่อมลพิษสูง ก็ต้องจ่ายภาษีสุง
กับ2. ใครฟุ่มเฟือยเกิน ก็ต้องจ่ายภาษีสูง
เพราะรถยนต์นั่งเกิน 3000CC ก็ยังคงถูกมองว่า เป็นสินค้าฟุ่มเฟือยอยุ่ ซึ่งตรงนี้มันแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ คนละแนวทางกับปัญหามลพิษ
ถ้าอยากได้ภาษีถูกลง ก็ต้องหันมาเล่นรถที่ต่ำกว่า 3000CCล่ะครับ

ซึ่งผมมองว่า เหตุผลของภาษี มันก็พอรับฟังได้นะครับ
ปอลิง กม.ใหม่ เอาแรงม้าออกไปแล้วด้วย(ของเดิมถ้าเกิน 220 แม้จะไม่ถึง3000CCก็ไม่ได้)
ซึ่งผมมองว่าตรงนี้ น่าจะพอช่วยให้รถแรงๆ ซีซีน้อยๆ จับต้องได้มากขึ้น

ที่เค้าจะอ้าง แก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ นี้ข้ออ้างเดิมๆ อ้างมาตั้งแต่ ภาษีงี่เง่า 220 ม้าละครับ เคยแก้ปัญหาได้ซะที่ไหน  ส่วนทัศนคติ รถเกิน 3000 ซีซีเป็นฟุ่มเฟือยนี้ ถือว่าล้าสมัยเอามากๆครับ

ล้าสมัย ตรงไหนครับ
มีฐานะมาก ก็จ่ายภาษีมาก มันก็เรื่องธรรมดา
ตราบใดที่ข้ออ้างนี้มันก็ยังใช้ได้อยู่

แล้วสุดท้าย มันก็จะกลับมาคำถามเดิมๆว่า
เราต้องเสียภาษีสรรพสามติรถยนต์ทำไม ทำไมรถยนต์ตปท.ถูกกว่า
ซึ่งก็คุยกันไปไม่รู้กี่รอบแล้ว

MacH1

  • บุคคลทั่วไป
Re: โครงสร้างสรรพสามิตใหม่ กับ รถความจุ +3000
« ตอบกลับ #12 เมื่อ: เมษายน 16, 2015, 13:48:55 »
อยากทราบเช่นกันครับ

พวกรถ 10 ล้อ ความจุเป็น 10,000 -16,400 cc. 360-750 แรงม้า เสียภาษีนำเข้าเท่าไหร่ครับ แล้วเสียภาษีสรรพสามิตรเท่าไหร่(จะถูกเหมือนรถกระบะไหม 3%)

ที่ผมพอทราบถ้านำเข้าจาก อินเดีย เจอภาษีนำเข้า 40% เกาหลีใต้ 16%
น่าจะอยู่ที่ 40%  ตามนี้

http://www.siblor.com/image/02-25-14.pdf

ผมสงสัยว่าทำไม เค้ายังจ้องหวด พวกรถความจุเกิน 3000 ซีซี ในเมื่อ ใช้ค่า CO2 มาเป็นเกณฑ์ใหม่แล้ว  ทำแบบนี้ ซ้ำซ้อนอีกแล้ว ตามสไตล์ไทยแลนด์

จริงๆแล้วเป็นความคิดสุดโบราณกาลที่มองว่า รถความจุเกิน 3000 ต้องกินน้ำมัน ปล่อย CO2 เยอะทุกคัน ลองไปดูพวก mpg, CO2 emission ของพวกรถบล็อกเกิน 3000 ซีซี ที่มีขายในโลกที่หนึ่งดูได้ครับ  


ขอข้อมูลสนับสนุนความเห็นหน่อยครับ
มันอะไร เท่าไหร่ ยังไง ผมตามไม่ทัน

ยกตัวอย่าง SLK350 กับ SLK55AMG ตัวปัจจุบัน

SLK350 ใช้เครื่อง V6 3.5l  39.8 mpg  ขณะที่ co2 emission อยู่เพียง 167 g/km
SLK55AMG ใช้เครื่อง Small block V8 5.5l  33.6mpg ขณะที่ co2 emission อยู่เพียง 195 g/km  

แต่โครงสร้างภาษีซ้ำซ้อนโบราณกาลแบบไทยแลนด์ ทำให้โดนสรรพสามิตไป 50% แทนที่ควรจะอยู่ที่ 30-35%
อ้างอิงภาพนี้


จริงๆ กม.สรรพสามิตมันน่าจะมีสาระสำคัญอยู่ 2 แบบ
1. มลพิษ ใครก่อมลพิษสูง ก็ต้องจ่ายภาษีสุง
กับ2. ใครฟุ่มเฟือยเกิน ก็ต้องจ่ายภาษีสูง
เพราะรถยนต์นั่งเกิน 3000CC ก็ยังคงถูกมองว่า เป็นสินค้าฟุ่มเฟือยอยุ่ ซึ่งตรงนี้มันแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ คนละแนวทางกับปัญหามลพิษ
ถ้าอยากได้ภาษีถูกลง ก็ต้องหันมาเล่นรถที่ต่ำกว่า 3000CCล่ะครับ

ซึ่งผมมองว่า เหตุผลของภาษี มันก็พอรับฟังได้นะครับ
ปอลิง กม.ใหม่ เอาแรงม้าออกไปแล้วด้วย(ของเดิมถ้าเกิน 220 แม้จะไม่ถึง3000CCก็ไม่ได้)
ซึ่งผมมองว่าตรงนี้ น่าจะพอช่วยให้รถแรงๆ ซีซีน้อยๆ จับต้องได้มากขึ้น

ที่เค้าจะอ้าง แก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ นี้ข้ออ้างเดิมๆ อ้างมาตั้งแต่ ภาษีงี่เง่า 220 ม้าละครับ เคยแก้ปัญหาได้ซะที่ไหน  ส่วนทัศนคติ รถเกิน 3000 ซีซีเป็นฟุ่มเฟือยนี้ ถือว่าล้าสมัยเอามากๆครับ

ล้าสมัย ตรงไหนครับ
มีฐานะมาก ก็จ่ายภาษีมาก มันก็เรื่องธรรมดา
ตราบใดที่ข้ออ้างนี้มันก็ยังใช้ได้อยู่

แล้วสุดท้าย มันก็จะกลับมาคำถามเดิมๆว่า
เราต้องเสียภาษีสรรพสามติรถยนต์ทำไม ทำไมรถยนต์ตปท.ถูกกว่า
ซึ่งก็คุยกันไปไม่รู้กี่รอบแล้ว

ผมสงสัยว่า Accord 3.5, Camry 3.5, Passat 3.6, Impala SS, Taurus SHO, Fortuner 4.0 นี่มันรถฟุ่มเฟือยหรอครับ   

เมื่อคุยเรื่องภาษีสุดโหดของไทยแลนด์ มันจะเชื่อมโยงไปที่ว่า ทำไมอุตสาหกรรมรถยนต์ไทยถึงกำลังเสีย competitiveness ไม่ใช่มาจาก over-protectionism ให้ infant industry อายุ 40 ปี รึ  
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: เมษายน 16, 2015, 13:51:08 โดย Ivy Modernist »

ออฟไลน์ delete

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 2,963
    • อีเมล์
Re: โครงสร้างสรรพสามิตใหม่ กับ รถความจุ +3000
« ตอบกลับ #13 เมื่อ: เมษายน 16, 2015, 14:22:55 »
อยากทราบเช่นกันครับ

พวกรถ 10 ล้อ ความจุเป็น 10,000 -16,400 cc. 360-750 แรงม้า เสียภาษีนำเข้าเท่าไหร่ครับ แล้วเสียภาษีสรรพสามิตรเท่าไหร่(จะถูกเหมือนรถกระบะไหม 3%)

ที่ผมพอทราบถ้านำเข้าจาก อินเดีย เจอภาษีนำเข้า 40% เกาหลีใต้ 16%
น่าจะอยู่ที่ 40%  ตามนี้

http://www.siblor.com/image/02-25-14.pdf

ผมสงสัยว่าทำไม เค้ายังจ้องหวด พวกรถความจุเกิน 3000 ซีซี ในเมื่อ ใช้ค่า CO2 มาเป็นเกณฑ์ใหม่แล้ว  ทำแบบนี้ ซ้ำซ้อนอีกแล้ว ตามสไตล์ไทยแลนด์

จริงๆแล้วเป็นความคิดสุดโบราณกาลที่มองว่า รถความจุเกิน 3000 ต้องกินน้ำมัน ปล่อย CO2 เยอะทุกคัน ลองไปดูพวก mpg, CO2 emission ของพวกรถบล็อกเกิน 3000 ซีซี ที่มีขายในโลกที่หนึ่งดูได้ครับ  


ขอข้อมูลสนับสนุนความเห็นหน่อยครับ
มันอะไร เท่าไหร่ ยังไง ผมตามไม่ทัน

ยกตัวอย่าง SLK350 กับ SLK55AMG ตัวปัจจุบัน

SLK350 ใช้เครื่อง V6 3.5l  39.8 mpg  ขณะที่ co2 emission อยู่เพียง 167 g/km
SLK55AMG ใช้เครื่อง Small block V8 5.5l  33.6mpg ขณะที่ co2 emission อยู่เพียง 195 g/km  

แต่โครงสร้างภาษีซ้ำซ้อนโบราณกาลแบบไทยแลนด์ ทำให้โดนสรรพสามิตไป 50% แทนที่ควรจะอยู่ที่ 30-35%
อ้างอิงภาพนี้


จริงๆ กม.สรรพสามิตมันน่าจะมีสาระสำคัญอยู่ 2 แบบ
1. มลพิษ ใครก่อมลพิษสูง ก็ต้องจ่ายภาษีสุง
กับ2. ใครฟุ่มเฟือยเกิน ก็ต้องจ่ายภาษีสูง
เพราะรถยนต์นั่งเกิน 3000CC ก็ยังคงถูกมองว่า เป็นสินค้าฟุ่มเฟือยอยุ่ ซึ่งตรงนี้มันแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ คนละแนวทางกับปัญหามลพิษ
ถ้าอยากได้ภาษีถูกลง ก็ต้องหันมาเล่นรถที่ต่ำกว่า 3000CCล่ะครับ

ซึ่งผมมองว่า เหตุผลของภาษี มันก็พอรับฟังได้นะครับ
ปอลิง กม.ใหม่ เอาแรงม้าออกไปแล้วด้วย(ของเดิมถ้าเกิน 220 แม้จะไม่ถึง3000CCก็ไม่ได้)
ซึ่งผมมองว่าตรงนี้ น่าจะพอช่วยให้รถแรงๆ ซีซีน้อยๆ จับต้องได้มากขึ้น

ที่เค้าจะอ้าง แก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ นี้ข้ออ้างเดิมๆ อ้างมาตั้งแต่ ภาษีงี่เง่า 220 ม้าละครับ เคยแก้ปัญหาได้ซะที่ไหน  ส่วนทัศนคติ รถเกิน 3000 ซีซีเป็นฟุ่มเฟือยนี้ ถือว่าล้าสมัยเอามากๆครับ

ล้าสมัย ตรงไหนครับ
มีฐานะมาก ก็จ่ายภาษีมาก มันก็เรื่องธรรมดา
ตราบใดที่ข้ออ้างนี้มันก็ยังใช้ได้อยู่

แล้วสุดท้าย มันก็จะกลับมาคำถามเดิมๆว่า
เราต้องเสียภาษีสรรพสามติรถยนต์ทำไม ทำไมรถยนต์ตปท.ถูกกว่า
ซึ่งก็คุยกันไปไม่รู้กี่รอบแล้ว

ผมสงสัยว่า Accord 3.5, Camry 3.5, Passat 3.6, Impala SS, Taurus SHO, Fortuner 4.0 นี่มันรถฟุ่มเฟือยหรอครับ   

เมื่อคุยเรื่องภาษีสุดโหดของไทยแลนด์ มันจะเชื่อมโยงไปที่ว่า ทำไมอุตสาหกรรมรถยนต์ไทยถึงกำลังเสีย competitiveness ไม่ใช่มาจาก over-protectionism ให้ infant industry อายุ 40 ปี รึ  

ขึ้นชื่อว่า รถ ที่มีล้อ (ยกเว้นจักรยาน มั้ง) ก็ถูกตราหน้าจากรัฐบาล ว่าเป็นสินค้าฟุ่มเฟือยอยู่แล้วล่ะครับ แต่จ่ายมากจ่ายน้อย แค่นั้น

ส่วนเรื่องการปกป้องอุตสาหกรรมรถยนต์ มันก็มีส่วนหนึ่ง การยกเลิกภาษี มันก็ไม่ได้ทำให้ดีขึ้นไปกว่านี้หรอก รถส่งออกก็ผลิตใส่เครื่อง4.0 ลิตร ส่งขายได้
ไม่เกี่ยวกัน
ตราบใดยังมีปัญหาอื่นๆหมกซุกไว้ใต้พรมอีกเพียบ ยอดขายรถยนต์ในประเทศ ไม่มีทางดีขึ้นทันตาเมื่อลดภาษีหรอกครับ

ออฟไลน์ localgame

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 1,592
Re: โครงสร้างสรรพสามิตใหม่ กับ รถความจุ +3000
« ตอบกลับ #14 เมื่อ: เมษายน 16, 2015, 14:30:02 »
รถเกิน3000cc จำเป็นรึเปล่า? เครื่อง2500cc วิ่งแรงไม่พอ? แรงแค่ไหนถึงจะพอ? เครื่องใหญ่ราคาแพงต้องเสียเงินจ่ายให้ต่างชาติเยอะผลดีต่อประเทศเรารึเปล่า? ทำไมต้องกระตุ้นยอดขายรถให้เพิ่มมากขึ้น? ถามคุณIvy Modernistครับ

ออฟไลน์ djunsri

  • Jr. Member
  • **
  • กระทู้: 105
Re: โครงสร้างสรรพสามิตใหม่ กับ รถความจุ +3000
« ตอบกลับ #15 เมื่อ: เมษายน 16, 2015, 15:10:28 »
ผมว่าค่ายรถคงปรับตัวครับ  เช่นคิดว่าคงมีเครื่องเล็กพวงเทอร์โบ   เช่น d segment อาจใช่เครื่อง1500 +turbo หรือ2000+turbo  ภาษีอาจไม่แพง และราคาอาจถูกลงค่ับ เป็นการบังคับให้เราได้ใช้เครื่องพ่วงเทอร์โบครับ  ผมว่าปีหน้าเป็นต้นไปคงจะหมดยุคเครื่อง na สำหรับรถใหม่แล้วครับ

MacH1

  • บุคคลทั่วไป
Re: โครงสร้างสรรพสามิตใหม่ กับ รถความจุ +3000
« ตอบกลับ #16 เมื่อ: เมษายน 16, 2015, 15:32:26 »
รถเกิน3000cc จำเป็นรึเปล่า? เครื่อง2500cc วิ่งแรงไม่พอ? แรงแค่ไหนถึงจะพอ? เครื่องใหญ่ราคาแพงต้องเสียเงินจ่ายให้ต่างชาติเยอะผลดีต่อประเทศเรารึเปล่า? ทำไมต้องกระตุ้นยอดขายรถให้เพิ่มมากขึ้น? ถามคุณIvy Modernistครับ

ง่ายๆ สั้นๆ คุณไม่อยากใช้รถ คุณภาพ สมรรถนะ ดีเหมือนอย่างโลกที่หนึ่งเค้าใช้กันรึ รึคุณชอบทนให้ car maker มันเอาเปรียบ  ส่วนเรื่องค่าใช้จ่ายอะไรนี่ เป็นสิทธิ์เสรีภาพของผู้ซื้อครับ อยากได้แรง บล็อกใหญ่ มีเงินก็ซื้อเอา   คุณอยากได้ ดีเซล เสียงดัง ก็ซื้อ  ส่วนที่คุณอ้างว่าแพง กลับไปดูราคารถนอกซะใหม่ครับ ไปลองดูตัวอย่างตัวอย่าง SLK350, SLK55AMG เอา   

ผมสังเกตว่าคำถามประมาณนี้จะมาจากพวกอวย over-protectionism ซึ่งผมเคยวิเคราะห์ชี้ไปแล้วว่า เป็นต้นเหตุของ การเสื่อม competitiveness ของอุตสาหกรรมรถยนต์ในประเทศกะลังพัฒนาแห่งนี้ 

ออฟไลน์ Pui Zippe

  • Newbie
  • *
  • กระทู้: 38
Re: โครงสร้างสรรพสามิตใหม่ กับ รถความจุ +3000
« ตอบกลับ #17 เมื่อ: เมษายน 16, 2015, 16:05:47 »
ต่างประเทศรถถูก ภาษีอย่างอื่นแพงเช่น ประกัน ต่อภาษีประจำปี
ประเทศไทยรถแพง แต่ภาษีอย่างอื่นถูก  สวนทางกัน

เมืองไทยเป็นฐานผลิตรถยนของค่ายยุ่น  ถ้าเกิดรถนำเข้าราคาใกล้เคียงกับรถผลิตภายในประเทศ คงไม่ใครซื้อรถในประเทศเป็นแน่
อาจจะมีการย้ายฐานการผลิตไปประเทศอื่น  คนตกงาน บลาๆๆ

ฉนั้นยังไงก็ต้องหาทางตั้งกำแพงภาษีให้กีดกันรถนำเข้าบ้างไม่มากก็น้อย

เชื่อว่าทุกคนอยากได้รถ CC เยอะตอนเดินทางไกลหรือขับหนีตอนมีคนมาจี้ตูด  แต่บางอารมณ์ ก็อยากได้รถ CC น้อยๆวิ่งไปทำงานไปตลาดในเมืองรถติดๆ

ตัวอย่างง่ายๆฝรั่งยังอิจฉาบ้านเรา กระบะถูกกว่าบ้านเขามาก เพราะภาษีแค่ 3% ที่โน่นใครมีกระบะถือว่ามีอันจะกิน หรือทำฟาร์ม ทำธุรกิจ

MacH1

  • บุคคลทั่วไป
Re: โครงสร้างสรรพสามิตใหม่ กับ รถความจุ +3000
« ตอบกลับ #18 เมื่อ: เมษายน 16, 2015, 16:37:32 »
ต่างประเทศรถถูก ภาษีอย่างอื่นแพงเช่น ประกัน ต่อภาษีประจำปี
ประเทศไทยรถแพง แต่ภาษีอย่างอื่นถูก  สวนทางกัน

เมืองไทยเป็นฐานผลิตรถยนของค่ายยุ่น  ถ้าเกิดรถนำเข้าราคาใกล้เคียงกับรถผลิตภายในประเทศ คงไม่ใครซื้อรถในประเทศเป็นแน่
อาจจะมีการย้ายฐานการผลิตไปประเทศอื่น  คนตกงาน บลาๆๆ

ฉนั้นยังไงก็ต้องหาทางตั้งกำแพงภาษีให้กีดกันรถนำเข้าบ้างไม่มากก็น้อย

เชื่อว่าทุกคนอยากได้รถ CC เยอะตอนเดินทางไกลหรือขับหนีตอนมีคนมาจี้ตูด  แต่บางอารมณ์ ก็อยากได้รถ CC น้อยๆวิ่งไปทำงานไปตลาดในเมืองรถติดๆ

ตัวอย่างง่ายๆฝรั่งยังอิจฉาบ้านเรา กระบะถูกกว่าบ้านเขามาก เพราะภาษีแค่ 3% ที่โน่นใครมีกระบะถือว่ามีอันจะกิน หรือทำฟาร์ม ทำธุรกิจ

ตอนนี้เค้าเริ่มย้ายแล้วครับ การเสื่อม competitiveness ก็มาจาก การมัวแต่ over-protectionism มาตลอด 40 ปี โดยไม่สนใจ value creation ในอุตสาหกรรมนี้

อย่าลืมว่าโลกที่หนึ่งเค้ารายได้สูงกว่าโลกที่สามแบบไทยนะครับ ดังนั้นภาษีรายได้และอื่นๆจึงสูงกว่า

ส่วนเรื่องกระบะ  เค้าเล่น Full-size อย่าง F-150, silverado, Tundra, ram  หลายตัวเครื่อง V6 V8 บล็อกเดียวกับพวก muscle car ช่วงล่างก็ multi-link ไม่เหมือนกระบะดีเซล เสียงดังโรงสี  ช่วงล่างแหนบที่ไทยทำนะครับ   ผมไม่ภูมิใจที่กระบะดีเซลแหนบเราถูกกว่าเค้าหรอกนะ แต่อิจฉาที่เค้ามีกระบะเบนซินเจ๋งๆใช้กัน แม้ราคาใันจะแพงกว่า muscle car
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: เมษายน 16, 2015, 16:43:51 โดย Ivy Modernist »

ออฟไลน์ localgame

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 1,592
Re: โครงสร้างสรรพสามิตใหม่ กับ รถความจุ +3000
« ตอบกลับ #19 เมื่อ: เมษายน 16, 2015, 17:08:01 »
รถเกิน3000cc จำเป็นรึเปล่า? เครื่อง2500cc วิ่งแรงไม่พอ? แรงแค่ไหนถึงจะพอ? เครื่องใหญ่ราคาแพงต้องเสียเงินจ่ายให้ต่างชาติเยอะผลดีต่อประเทศเรารึเปล่า? ทำไมต้องกระตุ้นยอดขายรถให้เพิ่มมากขึ้น? ถามคุณIvy Modernistครับ

ง่ายๆ สั้นๆ คุณไม่อยากใช้รถ คุณภาพ สมรรถนะ ดีเหมือนอย่างโลกที่หนึ่งเค้าใช้กันรึ รึคุณชอบทนให้ car maker มันเอาเปรียบ  ส่วนเรื่องค่าใช้จ่ายอะไรนี่ เป็นสิทธิ์เสรีภาพของผู้ซื้อครับ อยากได้แรง บล็อกใหญ่ มีเงินก็ซื้อเอา   คุณอยากได้ ดีเซล เสียงดัง ก็ซื้อ  ส่วนที่คุณอ้างว่าแพง กลับไปดูราคารถนอกซะใหม่ครับ ไปลองดูตัวอย่างตัวอย่าง SLK350, SLK55AMG เอา  

ผมสังเกตว่าคำถามประมาณนี้จะมาจากพวกอวย over-protectionism ซึ่งผมเคยวิเคราะห์ชี้ไปแล้วว่า เป็นต้นเหตุของ การเสื่อม competitiveness ของอุตสาหกรรมรถยนต์ในประเทศกะลังพัฒนาแห่งนี้  

รถที่มีคุณภาพ และ สมรรถนะของคุณหมายถึงอะไรครับ ปลอดภัย เทคโนโลยีใหม่ๆ หรือ เน้นเครื่องแรงอย่างเดียว ถ้าคุณเปิดโอกาศให้รถเครื่องใหญ่ๆเข้ามาขายในราคาถูกมากขึ้น แน่ๆเลยหลายคนจะต้องจ่ายเงินเพิ่มอีกเพื่อซื้อรถเครื่องใหญ่ เงินในบ้านเราต้องจ่ายให้ต่างประเทศมากขึ้น  ผมไปดูราคาที่ต่างประเทศมาแล้วนะครับ SLK200 กับ SLK 55 คิดเป็นเงินไทยแล้วราคาต่างกันประมาณ1ล้านบาท ถ้าคุณคิดว่าหนึุ่งล้านมันถูกภาษีรถยนตร์แค่นี้คุณคงไม่เอามาคิดมากหรอกใช่มั้ยครับ รถแรงกินน้ำมันมากขึ้น นึกสภาพรถแรงๆจอดติดไฟแดงในเมืองนานๆ ไม่อยากจะคิดถึงมลพิษที่มากขึ้น กับ ค่าน้ำมันที่เพิ่มขึ้น เข้าใจครับว่าคนไทยมีตัง แต่เราจำเป็นหรือที่ต้องสนับสนุนการนำเข้าน้ำมัน+รถเครื่องใหญ่เพิ่มมากขึ้นหรอครับ แน่ๆเลยมันส่งผลในแง่ลบเกี่ยวกับเศรษฐกิจโดยตรง รถปัจจุบันสิ่งอำนวยความสะดวกกับระบบรักษาความปลอดภัยก็เพียงพอแล้ว รถบ้านเรามันไม่ดีตรงไหน และหน้าที่หลักในมุมมองของรัฐไม่ได้เอามาซิ่ง แต่มีเพื่อเอามาใช้งานในการขนส่งเท่านั้น
และอีกอย่างรถที่ผมซื้อใช้ก็พอเพียงต่อการใช้งานในชีวิตประจำวันอยู่แล้ว และผมมองไม่เห็นความคุ้มค่าในการเสียเงินเพิ่มเพื่อเอาสมรรถณะสูงๆมาจอดติดไฟแดงในเมือง

ออฟไลน์ g_abac

  • Full Member
  • ***
  • กระทู้: 315
    • อีเมล์
Re: โครงสร้างสรรพสามิตใหม่ กับ รถความจุ +3000
« ตอบกลับ #20 เมื่อ: เมษายน 16, 2015, 17:18:07 »
ใครคิดไงผมไม่รู้ แต่ส่วนตัวผมเห็นด้วยกับ จขกท ครับ

กม ซ้ำซ้อน ปกป้องผู้ผลิตรถยนต์ในประเทศ
2008  Lexus IS250 Premium
2014  E300 Bluetec Hybrid AMG (W212)
2015  ActiveHybrid 5 M Sport (F10 LCI)
2020  E220d Sport (W213)
2020  X5 xDrive 30d M Sport (G05)

ออฟไลน์ top3245

  • Sr. Member
  • ****
  • กระทู้: 466
Re: โครงสร้างสรรพสามิตใหม่ กับ รถความจุ +3000
« ตอบกลับ #21 เมื่อ: เมษายน 16, 2015, 19:48:53 »
ใครคิดไงผมไม่รู้ แต่ส่วนตัวผมเห็นด้วยกับ จขกท ครับ

กม ซ้ำซ้อน ปกป้องผู้ผลิตรถยนต์ในประเทศ
อันที่จริงความหมายที่ถูกต้อง น่าจะเป็น "ปกป้องผู้ผลิตชิ้นส่วนรถในประเทศ" นะครับ

ออฟไลน์ top3245

  • Sr. Member
  • ****
  • กระทู้: 466
Re: โครงสร้างสรรพสามิตใหม่ กับ รถความจุ +3000
« ตอบกลับ #22 เมื่อ: เมษายน 16, 2015, 19:50:23 »
อยากทราบเช่นกันครับ

พวกรถ 10 ล้อ ความจุเป็น 10,000 -16,400 cc. 360-750 แรงม้า เสียภาษีนำเข้าเท่าไหร่ครับ แล้วเสียภาษีสรรพสามิตรเท่าไหร่(จะถูกเหมือนรถกระบะไหม 3%)

ที่ผมพอทราบถ้านำเข้าจาก อินเดีย เจอภาษีนำเข้า 40% เกาหลีใต้ 16%
น่าจะอยู่ที่ 40%  ตามนี้

http://www.siblor.com/image/02-25-14.pdf

ผมสงสัยว่าทำไม เค้ายังจ้องหวด พวกรถความจุเกิน 3000 ซีซี ในเมื่อ ใช้ค่า CO2 มาเป็นเกณฑ์ใหม่แล้ว  ทำแบบนี้ ซ้ำซ้อนอีกแล้ว ตามสไตล์ไทยแลนด์

จริงๆแล้วเป็นความคิดสุดโบราณกาลที่มองว่า รถความจุเกิน 3000 ต้องกินน้ำมัน ปล่อย CO2 เยอะทุกคัน ลองไปดูพวก mpg, CO2 emission ของพวกรถบล็อกเกิน 3000 ซีซี ที่มีขายในโลกที่หนึ่งดูได้ครับ 


ขอข้อมูลสนับสนุนความเห็นหน่อยครับ
มันอะไร เท่าไหร่ ยังไง ผมตามไม่ทัน

ยกตัวอย่าง SLK350 กับ SLK55AMG ตัวปัจจุบัน

SLK350 ใช้เครื่อง V6 3.5l  39.8 mpg  ขณะที่ co2 emission อยู่เพียง 167 g/km
SLK55AMG ใช้เครื่อง Small block V8 5.5l  33.6mpg ขณะที่ co2 emission อยู่เพียง 195 g/km 

แต่โครงสร้างภาษีซ้ำซ้อนโบราณกาลแบบไทยแลนด์ ทำให้โดนสรรพสามิตไป 50% แทนที่ควรจะอยู่ที่ 30-35%
อ้างอิงภาพนี้


จริงๆ กม.สรรพสามิตมันน่าจะมีสาระสำคัญอยู่ 2 แบบ
1. มลพิษ ใครก่อมลพิษสูง ก็ต้องจ่ายภาษีสุง
กับ2. ใครฟุ่มเฟือยเกิน ก็ต้องจ่ายภาษีสูง
เพราะรถยนต์นั่งเกิน 3000CC ก็ยังคงถูกมองว่า เป็นสินค้าฟุ่มเฟือยอยุ่ ซึ่งตรงนี้มันแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ คนละแนวทางกับปัญหามลพิษ
ถ้าอยากได้ภาษีถูกลง ก็ต้องหันมาเล่นรถที่ต่ำกว่า 3000CCล่ะครับ

ซึ่งผมมองว่า เหตุผลของภาษี มันก็พอรับฟังได้นะครับ
ปอลิง กม.ใหม่ เอาแรงม้าออกไปแล้วด้วย(ของเดิมถ้าเกิน 220 แม้จะไม่ถึง3000CCก็ไม่ได้)
ซึ่งผมมองว่าตรงนี้ น่าจะพอช่วยให้รถแรงๆ ซีซีน้อยๆ จับต้องได้มากขึ้น

ที่เค้าจะอ้าง แก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ นี้ข้ออ้างเดิมๆ อ้างมาตั้งแต่ ภาษีงี่เง่า 220 ม้าละครับ เคยแก้ปัญหาได้ซะที่ไหน  ส่วนทัศนคติ รถเกิน 3000 ซีซีเป็นฟุ่มเฟือยนี้ ถือว่าล้าสมัยเอามากๆครับ

ล้าสมัย ตรงไหนครับ
มีฐานะมาก ก็จ่ายภาษีมาก มันก็เรื่องธรรมดา
ตราบใดที่ข้ออ้างนี้มันก็ยังใช้ได้อยู่

แล้วสุดท้าย มันก็จะกลับมาคำถามเดิมๆว่า
เราต้องเสียภาษีสรรพสามติรถยนต์ทำไม ทำไมรถยนต์ตปท.ถูกกว่า
ซึ่งก็คุยกันไปไม่รู้กี่รอบแล้ว
ขอบคุณครับ

ออฟไลน์ seamonkey

  • Sr. Member
  • ****
  • กระทู้: 521
Re: โครงสร้างสรรพสามิตใหม่ กับ รถความจุ +3000
« ตอบกลับ #23 เมื่อ: เมษายน 16, 2015, 19:53:04 »
ผมสงสัยว่าประเทศผู้ผลิตรถรายใหญ่อย่าง USA แอฟริกาใต้ เยอรมัน เชคโกสโลวเกีย UK มีการกีดกันด้วยกำแพงภาษีสูงแบบบ้านเราไหมครับ

ผมแค่ไปดูราคารถในหนังสือ Topgear ของแอฟริกาใต้ พวกรถนำเข้าราคาก็ไม่ได้ต่างกันมากแบบที่ประเทศเราเป็น เลยสงสัยว่าบริษัทรถในประเทศเหล่านี้เลื้ยงตัวเองได้อย่างไร

ออฟไลน์ Koong

  • Sr. Member
  • ****
  • กระทู้: 992
Re: โครงสร้างสรรพสามิตใหม่ กับ รถความจุ +3000
« ตอบกลับ #24 เมื่อ: เมษายน 16, 2015, 20:59:11 »
ที่ผมนึกออก ต่างประเทศที่ใช้รถ คันโตๆ เครื่องใหญ่  ก็เห็นจะมีแต่ อเมริกา ประเทศเดียวนะครับ   
เขามีน้ำมัน เขารวย เราจะไปฟุ่มเฟือยตามเขาทำไม   

ญี่ปุ่น  หรือยุโรปหลายๆประเทศ  เขาก็ไม่ได้ใช้รถเครื่องใหญ่ๆแบบนั้นสักหน่อย

รถเครื่องเล็กคุณภาพดีๆกผ้มีตั้งเยอะ

ออฟไลน์ scotch_fillet

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 1,520
    • อีเมล์
Re: โครงสร้างสรรพสามิตใหม่ กับ รถความจุ +3000
« ตอบกลับ #25 เมื่อ: เมษายน 16, 2015, 23:13:52 »
3000 CC มันฟุ่มเฟือยตรงที่มัน ซดน้ำมันเยอะกว่าน่ะซิครับ

ในประเทศที่นิยมเคครื่องใหญ่ๅ ผมก็เห็นแต่เมกา และ ตะวันออกกลางที่ พื้นฐานด้านพลังงานเขาแตกต่างจากบ้านเราครับ

เมืองไทยประเทศใหญ่กว่า California ติ้ดนึง จะมีซักกี่คนที่ต้องขับรถเดินทางไกลๆในชีวิตประจำวันซักเท่าไหร่กันเชียว
แม้แต่ในเมกาเอง เทรนด็เรื่องการ down size เครื่องยนตร์ในรถ mass production ก็เริ่มมาแล้ว

ผมว่าคุณ จขกท. ลองพิจารณาประเทศในยุโรปบ้างว่า ความนิยมรถขนาดใหญ่ และ เกิน 3000 CC มีเยอะขนาดไหน

ทั้งนี้ทั้งนั้น เมืองไทย เป็นประเทศที่ยังต้องอาศัยภาษีทางอ้อม เช่น VAT, ภาษีสรรพสาทิต มาใช้ในการพัฒนาประเทศน่ะครับ
เพราะงั้นการเก็บภาษีสิ่งที่ฟุ่มเฟือย เกินความจำเป็น ยังจำเป็นอยู่มากๆครับ

ส่วนเรื่อง Losing competitiveness และ over-protectionism ผมกลับมองว่าส่วนนึงมันอยู่ที่คุณภาพผู้บริโภคบ้านเราด้วยครับ

ออฟไลน์ Ji.Cl.

  • Sr. Member
  • ****
  • กระทู้: 680
    • อีเมล์
Re: โครงสร้างสรรพสามิตใหม่ กับ รถความจุ +3000
« ตอบกลับ #26 เมื่อ: เมษายน 16, 2015, 23:17:00 »
ข้อนี้ผมเห็นเหมือนคุณ Ivy นะครับ ด้วยเรตภาษีแบบนี้

เครื่อง 3.5 CO2=190g/km เติม E85 จ่ายภาษี 50

เครื่อง 2.8 CO2=500g/km เติม E10 จ่ายภาษี 40

ขึ้นชื่อว่าต่ำกว่าสามพัน ห่วยแค่ไหนก็จ่ายมากสุดสี่สิบ

แต่ถ้าขึ้นชื่อเป็นสามพันบวก เทพแค่ไหน สะอาดยังไง ประหยัดอย่างไร ก็จ่ายห้าสิบ ทำไม???

แบบนี้เอาเครื่องรุ่นเก่าๆ เน่าๆ แต่เครื่องเล็กมาใช้ ยังเสียภาษีน้อย

กว่าเครื่องใหม่ๆ ไฮเทค แต่เกินสามพันซีซี แบบนี้ผมว่าไม่ถูกต้องในแง่การพัฒนาตลาดรถไทย

ผมว่าส่วนอื่นก็พอรับได้นะครับ แต่การกำหนดเรตห้าสิบ ผมว่าควรใช้ CO2 แทน

เช่น CO2 เกิน 250 หรือ 300 ให้จ่าย 50 แทนที่จะล็อกที่ 3.0 ลิตร จะดีกว่าครับ เราจะเก็บภาษีแพงๆ

กับความฟุ่มเฟือยที่ถูกจุด พวกนี้ไม่ใช่ฟุ่มเฟือยโลหะ แต่ฟุ่มเฟือยปิโตรเลียม

MacH1

  • บุคคลทั่วไป
Re: โครงสร้างสรรพสามิตใหม่ กับ รถความจุ +3000
« ตอบกลับ #27 เมื่อ: เมษายน 16, 2015, 23:53:13 »
3000 CC มันฟุ่มเฟือยตรงที่มัน ซดน้ำมันเยอะกว่าน่ะซิครับ

ในประเทศที่นิยมเคครื่องใหญ่ๅ ผมก็เห็นแต่เมกา และ ตะวันออกกลางที่ พื้นฐานด้านพลังงานเขาแตกต่างจากบ้านเราครับ

เมืองไทยประเทศใหญ่กว่า California ติ้ดนึง จะมีซักกี่คนที่ต้องขับรถเดินทางไกลๆในชีวิตประจำวันซักเท่าไหร่กันเชียว
แม้แต่ในเมกาเอง เทรนด็เรื่องการ down size เครื่องยนตร์ในรถ mass production ก็เริ่มมาแล้ว

ผมว่าคุณ จขกท. ลองพิจารณาประเทศในยุโรปบ้างว่า ความนิยมรถขนาดใหญ่ และ เกิน 3000 CC มีเยอะขนาดไหน

ทั้งนี้ทั้งนั้น เมืองไทย เป็นประเทศที่ยังต้องอาศัยภาษีทางอ้อม เช่น VAT, ภาษีสรรพสาทิต มาใช้ในการพัฒนาประเทศน่ะครับ
เพราะงั้นการเก็บภาษีสิ่งที่ฟุ่มเฟือย เกินความจำเป็น ยังจำเป็นอยู่มากๆครับ

ส่วนเรื่อง Losing competitiveness และ over-protectionism ผมกลับมองว่าส่วนนึงมันอยู่ที่คุณภาพผู้บริโภคบ้านเราด้วยครับ


ดูตัวอย่าง Mercedes ที่ผมให้ไปด้านบนนะครับ

SLK350 ใช้เครื่อง V6 3.5l  39.8 mpg  ขณะที่ co2 emission อยู่เพียง 167 g/km
SLK55AMG ใช้เครื่อง Small block V8 5.5l  33.6mpg ขณะที่ co2 emission อยู่เพียง 195 g/km 

เทียบกับดีเซล เสียงดัง คานแข็งแหนบ  ขวัญใจไทยแลนด์

Vigo 3.0  ใช้เครื่องแทรคเตอร์ 3.0l ทำได้ 32.8-36.7MPG ขณะที่ co2 emission 227g/km

ผมสงสัยว่า จริงๆแล้ว ระหว่าง เบนซินบล็อก 3000+ กับ พวกกะบะดีเซลเสียงดัง แหนบ ใครประหยัดกว่ากัน  เพราะเห็น myth ที่อ้างว่าดีเซลประหยัดสุดๆ ปล่อยไอเสียน้อย ไม่จริงซะแล้วมั้ง

ส่วนคำอ้างของพวกรัฐ ว่าต้องปกป้องสุดโต่ง เก็บภาษีหนักๆนี้ฟังไม่ขึ้นฮะ อ้างมา 40 กว่าปี จนตอนนี้อุตสาหกรรมรถยนต์เริ่มย้ายไปที่อื่น 

ออฟไลน์ delete

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 2,963
    • อีเมล์
Re: โครงสร้างสรรพสามิตใหม่ กับ รถความจุ +3000
« ตอบกลับ #28 เมื่อ: เมษายน 17, 2015, 00:03:45 »
ข้อนี้ผมเห็นเหมือนคุณ Ivy นะครับ ด้วยเรตภาษีแบบนี้

เครื่อง 3.5 CO2=190g/km เติม E85 จ่ายภาษี 50

เครื่อง 2.8 CO2=500g/km เติม E10 จ่ายภาษี 40

ขึ้นชื่อว่าต่ำกว่าสามพัน ห่วยแค่ไหนก็จ่ายมากสุดสี่สิบ

แต่ถ้าขึ้นชื่อเป็นสามพันบวก เทพแค่ไหน สะอาดยังไง ประหยัดอย่างไร ก็จ่ายห้าสิบ ทำไม???

แบบนี้เอาเครื่องรุ่นเก่าๆ เน่าๆ แต่เครื่องเล็กมาใช้ ยังเสียภาษีน้อย

กว่าเครื่องใหม่ๆ ไฮเทค แต่เกินสามพันซีซี แบบนี้ผมว่าไม่ถูกต้องในแง่การพัฒนาตลาดรถไทย

ผมว่าส่วนอื่นก็พอรับได้นะครับ แต่การกำหนดเรตห้าสิบ ผมว่าควรใช้ CO2 แทน

เช่น CO2 เกิน 250 หรือ 300 ให้จ่าย 50 แทนที่จะล็อกที่ 3.0 ลิตร จะดีกว่าครับ เราจะเก็บภาษีแพงๆ

กับความฟุ่มเฟือยที่ถูกจุด พวกนี้ไม่ใช่ฟุ่มเฟือยโลหะ แต่ฟุ่มเฟือยปิโตรเลียม

ตรรกะแบบนี้ มันก็จะต่างกันตรงไหน
ระหว่าง กระบะ 4 ประตู 3200cc co2ไม่เกิน200 เสียภาษีแค่ 12%
กับ เก๋งเล็กเครื่อง 1500cc co2ไม่เกิน200 เช่นกัน เสียภาษี 40% เติมe85เสีย 35%
จริงไหมล่ะครับ แง่นี้ มันโคตรจะไม่เป็นธรรมยิ่งกว่าที่ท่านยกตัวอย่างมาเลย
เห็นด้วยเลยครับที่จะจัดระเบียบภาษีกันใหม่
แต่ต้องทำทุกรุ่นนะครับ ไม่ใช่ว่าช่วยแคารถแบบใดแบบนึง
เอาเป็นแบบเดียวกันไปเลย แฟร์ๆ

ออฟไลน์ localgame

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 1,592
Re: โครงสร้างสรรพสามิตใหม่ กับ รถความจุ +3000
« ตอบกลับ #29 เมื่อ: เมษายน 17, 2015, 00:10:52 »
3000 CC มันฟุ่มเฟือยตรงที่มัน ซดน้ำมันเยอะกว่าน่ะซิครับ

ในประเทศที่นิยมเคครื่องใหญ่ๅ ผมก็เห็นแต่เมกา และ ตะวันออกกลางที่ พื้นฐานด้านพลังงานเขาแตกต่างจากบ้านเราครับ

เมืองไทยประเทศใหญ่กว่า California ติ้ดนึง จะมีซักกี่คนที่ต้องขับรถเดินทางไกลๆในชีวิตประจำวันซักเท่าไหร่กันเชียว
แม้แต่ในเมกาเอง เทรนด็เรื่องการ down size เครื่องยนตร์ในรถ mass production ก็เริ่มมาแล้ว

ผมว่าคุณ จขกท. ลองพิจารณาประเทศในยุโรปบ้างว่า ความนิยมรถขนาดใหญ่ และ เกิน 3000 CC มีเยอะขนาดไหน

ทั้งนี้ทั้งนั้น เมืองไทย เป็นประเทศที่ยังต้องอาศัยภาษีทางอ้อม เช่น VAT, ภาษีสรรพสาทิต มาใช้ในการพัฒนาประเทศน่ะครับ
เพราะงั้นการเก็บภาษีสิ่งที่ฟุ่มเฟือย เกินความจำเป็น ยังจำเป็นอยู่มากๆครับ

ส่วนเรื่อง Losing competitiveness และ over-protectionism ผมกลับมองว่าส่วนนึงมันอยู่ที่คุณภาพผู้บริโภคบ้านเราด้วยครับ


ดูตัวอย่าง Mercedes ที่ผมให้ไปด้านบนนะครับ

SLK350 ใช้เครื่อง V6 3.5l  39.8 mpg  ขณะที่ co2 emission อยู่เพียง 167 g/km
SLK55AMG ใช้เครื่อง Small block V8 5.5l  33.6mpg ขณะที่ co2 emission อยู่เพียง 195 g/km  

เทียบกับดีเซล เสียงดัง คานแข็งแหนบ  ขวัญใจไทยแลนด์

Vigo 3.0  ใช้เครื่องแทรคเตอร์ 3.0l ทำได้ 32.8-36.7MPG ขณะที่ co2 emission 227g/km

ผมสงสัยว่า จริงๆแล้ว ระหว่าง เบนซินบล็อก 3000+ กับ พวกกะบะดีเซลเสียงดัง แหนบ ใครประหยัดกว่ากัน  เพราะเห็น myth ที่อ้างว่าดีเซลประหยัดสุดๆ ปล่อยไอเสียน้อย ไม่จริงซะแล้วมั้ง

ส่วนคำอ้างของพวกรัฐ ว่าต้องปกป้องสุดโต่ง เก็บภาษีหนักๆนี้ฟังไม่ขึ้นฮะ อ้างมา 40 กว่าปี จนตอนนี้อุตสาหกรรมรถยนต์เริ่มย้ายไปที่อื่น  
ขอแย้งอีกเรื่องนะครับ คุณเอารถคนละระดับที่ต่างกันสุดขั้วมาวัดไม่ได้นะครับ เบนซ์แบรนด์หรูราคาขายแพงกว่าเทคโนโลยีดีกว่ายิ่งมีประสิทธิภาพมากกว่า แล้วslkมันน้ำหนักเบากว่าvigoตั้งเยอะ มันเทียบกันไม่ได้หรอกครับ ใจจริงผมก็ไม่มีปัญหากับกฏหมายนี้ แต่แค่ไม่อยากสนับสนุนให้คนไทยมีค่านิยมใช้ของฟุ่มเฟือยโดยไม่จำเป็น ซื้อแค่พอขับก็พอ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: เมษายน 17, 2015, 00:35:52 โดย localgame »