เรื่องออพชั่น ถ้าเป็นตัวท้อปผมว่าเขาอัดมาครบใช้ได้นะครับ
แต่ถ้าไม่เป็นตัวท้อปนี่ มันจะมีเรื่องราคามาเป็นส่วนที่ทำให้คิดด้วย
สมมติว่ากำเงิน 1,009,000 บาท Revo จะได้ตัว Prerunner 2.4G AT ซึ่งมี ABS, TRC, VSC อะไรมาครบ
มีถุงลม 3 ใบ..ฟังดูดี แต่ราคานี้ ไปคบ Navara ตัวท้อป จะได้ทอน 8,000 บาท..เสียถุงลมไปใบนึง
แต่ได้ระบบขับเคลื่อนสี่ล้อและอัตราเร่งที่เร็วกว่าแน่ๆ (และอาจจะกินน้ำมันมากกว่า)
หันไป Mitsubishi จะได้ทอนกลับ 1,000 บาท เสียถุงลมไปใบนึง แต่ได้ระบบขับสี่และได้อัตราเร่งที่เร็วกว่าแน่ๆ (เหมือนกันกับ Nissan)
Mitsu เพิ่มเงินไม่กี่หมื่นบาทก็ได้ถุงลม 7 ใบแล้วด้วยซ้ำ
ตรงนี้ผมจึงเห็นด้วยถ้าใครจะบอกว่าดู และศึกษาออพชั่นอย่างละเอียดจะเห็นว่า Revo แพงกว่า
แต่ขอชม Revo อย่างนึงว่าขอบคุณที่ให้พวงมาลัยปรับระยะเข้า-ออกมาให้ได้ด้วย ตรงนี้น้อยคนมากจะเห็นความสำคัญ
บางคนขับไปหมื่นโลยังเพิ่งรู้ว่ามันปรับได้ แต่พอปรับดีๆแล้วจะยิ่งสบายแขนเวลาขับเลยแหละ (Ford ยังปรับเข้า-ออกไม่ได้)
น่าเสียดาย..ก่อนหน้านี้นานมาก ผมได้ยินข่าวว่าทีม Toyota Australia จะมาช่วยพัฒนาเรื่องการขับขี่การทรงตัวของ Revo
ทำให้รู้สึกไปก่อนเลยว่าคราวนี้ Ford โดนเล่นคืนแน่..แต่พอไปขับจริงๆ ผมว่าพวงมาลัยน่ะได้ แต่ช่วงล่างยังห่างจาก Ford มาก
และ Ford ที่พูดถึงนี่คือตัวก่อนไมเนอร์เชนจ์ด้วย
คนที่ตัดสินใจ Ford ส่วนหนึ่งไม่ใช่แค่เรื่องออพชั่น แต่เป็นเรื่องการขับขี่ ความมั่นคงเวลาขับ ซึ่งในยุคนี้ที่มีอินเทอร์เน็ต
มี Facebook เวลารถมีปัญหา คนสามารถค้นข้อมูลหรือกระจายข่าว (หรือประจาน) ได้เร็วกว่า 20 ปีก่อนมาก
ทำให้ความเกรงกลัวในการเล่นแบรนด์แปลกจะลดลง และถ้าแบรนด์แปลก/แบรนด์ไม่ใช่ท้อปฮิตเร่งพัฒนาบริการ
หลังการขายกับความยากง่ายในการซ่อมบำรุงสู้แล้ว คนจะยิ่งหันมาเล่นมาก
ผมก็จะรอลุ้น ระหว่าง Toyota พัฒนาเรื่องช่วงล่าง/ออพชั่นในรุ่นที่ไม่ใช่รุ่นท้อป กับ Ford/Mitsubishi พัฒนาเรื่อง
บริการหลังการขายสู้..ไม่ใช่แค่ดีขึ้น แต่ต้องดีแบบที่คนเอ่ยปากชม..ถ้าบริการดี ต่อให้อะไหล่จะแพงกว่า ผมเชื่อว่า
หลายคนยอมจ่าย