ไฟ DRL ชนิดหลอด LED ในรถส่วนใหญหรือไฟท้ายในบางรุ่น จะใช้การจ่ายกระแสแบบไม่คงที่ หรือการจ่ายไฟผ่านวงจร PWM ซึ่งหลอดจะไม่ติดค้าง แต่จะเป็นการติดแบบกระพริบ แต่ความถี่ในการกระพริบ สูงกว่าความสามารถในการมองเห็นของตา ทำให้เรามองเห็นว่ามันติดค้าง และแต่ละหลอดที่เราเห็นจะเป็นการติด-ดับ สลับ เรียงกันไปครับ
ที่ทำอย่างนี้ มีประโยชน์ในด้านที่หลอดไม่ต้องรับกระแสสูงตลอดเวลา สามารถลดสเปคหลอดลงมาได้ ความร้อนหลอดไม่สูงมาก และมีประโยชน์ด้านประหยัดพลังงานครับ
ส่วนบางรุ่นที่เห็นติดค้าง เนื่องจากเป็นการจ่ายกระแสคงที่เข้าไปครับ
แล้วแบบไหนดีกว่ากันครับ แบบกระพิบหรือไม่กระพิบ ถ้าผมตีความไม่ผิด สามารถลดสเปคหลอดลงมาได้ แปลว่า พวกกระพิบสเปคต่ำกว่าติดค้างใช่ไหม
นอกประโยชน์ที่บอกไว้ด้านบนแล้ว การที่จะบอกว่าแบบกระพริบสเปคหลอดต่ำกว่าแบบไม่กระพริบก็คงไม่ได้
การที่ผมบอกว่าสามารถลดสเปคหลอดได้ คือว่า หลอด LED จะมีค่าความสว่างที่ค่ากระแสต่างๆ กัน ที่สว่างมากๆ เพื่อให้เพียงพอต่อการนำมาทำ DRL นั้นส่วนใหญ่จะต้องใช้ค่ากระแสสูง
ทีนี้ ถ้ามาดูที่ตัวหลอด LED ส่วนใหญ่จะดูที่ค่ากระแสที่หลอดรับได้สองค่า คือ ค่ากระแสต่อเนื่อง หมายถึง เราต้องจ่ายไฟเข้าไปตลอดเวลาเพื่อให้ได้ความสว่างที่ค่าๆ หนึ่ง ส่วนอีกตัวคือ ค่ากระแสสูงสุดที่หลอดรับได้เพียงช่วงเวลาหนึ่ง ซึ่งค่ากระแสที่จุดนี้ มักจะมีค่ามากกว่าค่าแรกและหลอดจะให้ความสว่างสูงกว่าค่าแรก แต่หลอดจะรับค่ากระแสสูงได้แค่ระยะเวลาหนึ่งเท่านั้น
ทีนี้ย้อนมาดูเรื่องการเลือกสเปคหลอด ผมแยกเป็นสองตัวอย่างในการการออกแบบ DRL โดยใช้ ตัวแปรในการออกแบบอย่างเดียวกันคือ ต้องการความสว่างของ LED แต่ละหลอดอยู่ที่ประมาณ 115 ลูเมนส์
1. รถยนต์รุ่น ก มีการจัดวงจรแบบกระแสคงที่ ดังนั้นจึงเลือกใช้หลอดที่ให้ค่าความสว่าง 118 ลูเมนส์ ที่ค่ากระแสทั่วไปแบบคงที่ 700 mA ซึ่งหลอดที่ใช้กระแสสูงแบบนี้ส่วนใหญ่ตัวจะใหญ่และปล่อยความร้อนสูงและราคาสูง
2.รถยนต์รุ่น ข มีการจัดวงจรแบบ PWM ที่มีการเลือกใช้หลอดที่ให้ค่าความสว่าง 83 ลูเมนส์ ที่ค่ากระแสทั่วไปแบบคงที่ 150 mA ซึ่งจะเห็นได้ว่าหลอดนี้ให้ความสว่างต่ำกว่าสเปค แต่กินกระแสต่ำกว่า การปล่อยความร้อนต่ำกว่า และราคาส่วนใหญ่จะต่ำกว่าแบบที่ 1
แต่ที่เลือกนำมาใช้ เนื่องจากดูข้อมูลใน datasheet แล้วพบว่าหลอดตัวนี้รับค่ากระแสได้สูงสุดที่ 240mA และให้ค่าความสว่างที่ 116 ลูเมนส์ที่ค่ากระแสประมาณ 225 mA ซึ่งเพียงพอต่อการใช้งาน ดังนั้นจึงมีการเลือกใช้หลอดสเปคนี้ แต่มีการจัดวงจรแบบ PWM เพื่อลดภาระโหลดความร้อนเมื่อเรานำไปใช้กับค่ากระแสสูง อีกทั้งจะเห็นว่าการกินกระแสต่ำกว่าแบบที่ 1
อันนี้เป็นตัวอย่างคร่าวๆ ของการเลือกหลอด ซึ่งการลดสเปคหลอดที่ผมพูดถึงคือการลดสเปคในเรื่องของค่าความสว่าง การกินกระแส การปล่อยความร้อน
แต่ไม่ได้หมายความว่า แบบที่กระพริบหรือใช้ PWM จะใช้หลอดสเปคต่ำกว่าหรือใช้หลอดที่ห่วยกว่ามาทำครับ
ลองดูตัวอย่าง
จากวิดีโอ ตอนเริ่มต้นจะเห็นว่าหลอดสว่างน้อยและติดนิ่ง อันนั้นเป็นการจ่ายแบบค่า duty ต่ำๆ และความถี่สูงเข้าไปทำให้เราเห็นเป็นติดนิ่ง แต่เราจะเห็นว่า จากหลอดเดียวกัน เราสามารถทำให้สว่างมากๆ ได้ โดยการจ่ายค่ากระแสสูงเข้าไป (ค่า duty สูงๆ ) รวมถึงการลดความถี่ลง ทำให้เราเห็นการกระพริบ
ส่วนเรื่องการติดแบบเรียงกันไปคล้ายๆ ที่ จขกท ถามถึง อันนี้ขึ้นอยู่กับการจัดวงจรของหลอด LED แต่ละหลอดครับ