สวัสดีครับ วันนี้ผมจะมารีวิวรถอีกคันหนึ่งของผม ซึ่ง(น่าจะ)เป็นรถคันที่สองในชีวิตที่ใช้ในชีวิตประจำวัน
โดยรถคันนี้ได้มาเพื่อสนองนี้ดของตัวเองล้วนๆ เพราะเดิมทีก็ชอบ Audi รหัส C4 เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว
ประกอบกับในไทยดันมีเวอร์ชั่นที่เป็น Performance car หรือเรียกว่า S-car สำหรับออดี้
เข้าทางเลยทีเดียวเพราะว่าเป็นตัวถังที่ชอบอยู่แล้ว แถมยังเป็นรุ่นสมรรถนะที่ไม่ธรรมดาในคลาสและปีนั้นๆ
Audi S4 ถูกเปิดตัวในปี 1991 เพื่อเป็นเวอร์ชั่น Performance car ของ Audi 100 และออกมาแทนที่
Audi 200 ซึ่งเป็นตัวแรงของ 100 C3 โดยมีตัวถังให้เลือก 2 รูปแบบคือ Sedan และ Avant และมี
เครื่องยนต์ให้เลือก 2 แบบคือ 2.2L I5 Turbo ให้กำลังสูงสุด 230 แรงม้า แรงบิด 350 นิวตันเมตร
และ 4.2L V8 ให้กำลังสูงสุด 326 แรงม้า แรงบิด 410 นิวตันเมตร
ระบบเบรคเป็นจานแบบ UFO จับคู่กับตุ้มลม Accumulator ในการเบรค
โดยในเวอร์ชั่นตลาดเมืองไทยจะได้เป็น 2.2 ลิตร จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ 4 สปีดพร้อมระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ
และมี differential lock สำหรับการใช้งานในพื้นผิวที่ลื่น
ด้านการขับขี่
ในส่วนของการขับขี่นั้นจากที่ผมใช้งานมาหลายเดือนแล้ว ส่วนตัวผมว่าค่อนข้างโอเคกับการใช้งานปกติ
อัตราเร่งเหลือเฟือสำหรับการใช้งานทั่วไป โดยจะเรียกว่าเป็นรถบ้านที่ไปกัดกับพวกรถสปอร์ตรุ่นล่างๆ
ได้อย่างไม่เหนื่อยนักก็คงไม่ผิด ซึ่งในส่วนช่วงล่างนั้นถูกเซตมาในแนวสปอร์ตซึ่งไม่ค่อยจะนุ่มนวลนัก
แต่ก็ถูกชดเชยด้วยผลการขับขี่ที่น่าพอใจ เข้าโค้งได้อย่างเฟิร์มและพริ้ว โค้งบนทางด่วนเหยียบๆเข้าไปเถอะ
ยังไงมันก็เอาอยู่ตามสไตล์ของรถขับสี่ แต่ข้อเสียของมันก็มีคือค่อนข้างกระด้าง ถ้าพาผู้สูงอายุนั่งมาด้วยอาจต้อง
เตรียม ear plug มารองรับกับเสียงบ่นว่าทำไมมันแข็งขนาดนี้ แต่สำหรับคนขับมันทำให้ค่อนข้างมั่นใจเลยล่ะเวลาจะออกบู้
ด้านอัตราสิ้นเปลืองผมค่อนข้างพอใจถ้าเทียบกับคลาสรถ โดยการใช้งานในเมืองอยู่ประมาณ 8 กิโลต่อลิตร วิ่งทางไกล 10 กิโลต่อลิตร
ภายในห้องโดยสาร
ทัศนวิสัยในการขับขี่จัดว่าดีเลย เสาเอไม่บดบังทางเลย แต่จะมีปัญหาบ้างกับกระจกมองข้างที่ซูมไม่เท่ากันสองข้าง
ในส่วนเบาะขอยกความดีให้กับทีมออกแบบภายในที่ออกแบบเบาะคู่หน้ามาค่อนข้างกระชับ ไม่หนำซ้ำยังให้ที่รองต้นขามาด้วย
ซึ่งอันนี้ส่วนตัวชอบเป็นพิเศษเพราะเวลาขับทางไกลช่วยลดอาการเมื่อยลงได้เยอะ ต่อให้ลากยาวไป 300 กิโลก็ยังสบาย
Leg room ของผู้โดยสารด้านหน้ามีเหลือค่อนข้างเยอะ มากพอสำหรับการจะพาเพื่อนสูง 180 มานั่งได้โดยที่มันไม่บ่นว่า
ขาติดคอนโซลหรือยืดขาได้ไม่สุด แต่ในส่วนของผู้โดยสารตอนหลังนั้นค่อนข้างโอเค แต่มันยังดีไม่สุด เบาะหลังนั่งสบาย
องศาเบาะหลังกำลังดี มีพื้นที่ส่วนหัวเหลือสำหรับคนตัวสูง แต่ดันมาแย่ตรง leg room ที่มีเหลือค่อนข้างน้อย หากปรับเบาะ
คู่หน้าถอยจนสุด
อีกเรื่องที่ค่อนข้างชอบสำหรับรถคันนี้คือมีที่เก็บของด้านในมาให้จุใจ ลิ้นชักฝั่งคนนั่งค่อนข้างลึกใส่ของได้เยอะ
เวลาเปิดสามารถดึงให้ยืดออกมาได้ ถ้าของมันอยู่ลึกจนหยิบไม่ถึง ใต้คอพวงมาลัยก็มีช่องเก็บของเช่นกัน แต่ก็ไม่ได้ใหญ่มากนัก
แต่ก็ใหญ่พอจะเสียบปืนพกขนาด 9มม ลงไปได้พอดี เผื่อได้ใช้ในกรณีฉุกเฉิน
ในส่วนของการตกแต่งภายในนั้นทริมตามแผงประตูจะเป็นเคฟล่าแท้ ให้อารมณ์สปอร์ต วัสดุคอนโซลค่อนข้างทนเลยทีเดียว
แต่บริเวณที่พักแขนติดกับประตูอันนี้สีจะเปลี่ยนไปตามกาลเวลา สำหรับรถที่ภายในเป็นสีสว่าง แต่ถ้าภายในดำจะไม่มีปัญหา
มาตรวัดต่างๆก็มีมาให้ครบดังที่เห็นในรูป
และทีเด็ดสำหรับรถรุ่นนี้คือมันมีจอ MID มาให้ด้วย!!! ซึ่งรถยุค 90 ต้นส่วนมากจะไม่มีมาให้
แล้วมันดูอะไรได้บ้างล่ะ? สิ่งที่จะแสดงบนจอจะมี วัดบูส ระยะทางที่วิ่งได้ อัตราการกินน้ำมัน
โดยสามารถกดเปลี่ยนว่าจะดูอะไรได้โดยการกดปุ่มโหมดที่อยู่บนก้านปัดน้ำฝน
ด้านการซ่อมบำรุง
ใครก็ตามที่เคยได้ยินมาว่ารถค่ายนี้จุกจิก ผมขอบอกเลยว่าไม่จริง อันที่คนชอบบอกว่าจุกจิกนั้นส่วนมาก
จะเป็นพวกชิ้นส่วนที่ "จำเป็น" ต้องเปลี่ยนตามระยะเวลาของมัน ซึ่งพอตัวใดตัวหนึ่งมันหมดอายุ มันก็จะพาล
พาชิ้นอื่นรวนไปด้วย ซึ่งประกอบกับนิสัยการใช้รถของคนไทยที่ไม่ค่อยได้ดูแลรถนัก แถมยังชอบดองอาการเสียไว้ซ่อมทีเดียว
จึงทำให้มันดูเหมือนจะจุกจิก
แต่ช้าก่อน ถ้าหากคุณพอจะมีความรู้ด้านการบำรุงรักษารถยนต์อยู่บ้าง
การใช้ชีวิตอยู่กับเจ้านี่ก็ไม่ใช่เรื่องปวดหัวซักเท่าไหร่ อาการเวลามีอะไรเสียจะเหมือนรถทั่วไป
ไม่ได้มีอะไรพิเศษไปกว่ารถคันอื่น แต่บางอย่างที่มองไม่เห็นก็สามารถเช็คได้โดยการต่อ VAG-COM
เข้ากับรถเพื่อดูอาการ ซึ่งตอนนี้เทคโนโลยีค่อนข้างเอื้ออำนวย แค่มีเน็ตบุคกับสายเส้นละไม่กี่ร้อย
ก็สามารถรู้ได้แล้วว่าอะไรมันเสีย จะได้ไปคุยกับช่างรู้เรื่อง
สรุป
ส่วนตัวผมว่ามันเป็นหนึ่งในรถที่ดีที่เคยมีขายในตลาดเมืองไทย แต่ดันมาตกม้าตายตรงตัวแทนฯ ซึ่งส่วนนี้ผมขอละไว้ในฐานที่เข้าใจ
ตัวรถทำมาได้ค่อนข้างดีเลย สมรรถนะถึงใจ พร้อมจะพาคุณทะยานไปได้ทุกที่ยกเว้นบนอากาศและในน้ำ การขับขี่ค่อนข้างสบาย
เรื่องอะไหล่บางชิ้นจำเป็นต้องสั่ง แต่อะไหล่ส่วนมากสามารถหาจากรถตัดซึ่งเป็น A6/100 ที่มีซากให้แกะอะไหล่เหลือเฟือ
ความประหยัดถือว่าใกล้เคียงกับคู่แข่งในยุคนั้นซึงก็คือ E280 และ 525i
ถ้าคุณเป็นติ่งรถ VAG ซึ่งบางเรื่องทำเองที่บ้านได้ และบ้ารถแรง คุณน่าจะชอบมัน