ทีีมา :
http://www.prachachat.net/view_news.php?newsid=02car01060553§ionid=0210&day=2010-05-06 " ฮอนด้า " เบรกโปรเจ็กต์ไฮบริดยาวหันลุย " อี 85 " หลัง ครม.ไฟเขียวปรับลดภาษีสรรพสามิตอีก 3% ชี้แค่ปรับปรุงอุปกรณ์บางชิ้นง่ายกว่ากันเยอะ ยันเพิ่มกำลังผลิตแก้ปัญหาส่งมอบรถช้าได้อยู่หมัด
ผลพวงจาก ครม.เศรษฐกิจมีมติเห็นชอบมาตรการส่งเสริมการใช้น้ำมันอี 85 เมื่อปลายเดือนเมษายนที่ผ่านมา โดยอนุมัติมาตรการจูงใจทางภาษี ได้แก่ ลดภาษีสรรพสามิตรถยนต์อี 85 ทุกประเภทจากโครงสร้างภาษีปัจจุบันลง 3%
แหล่งข่าวจากบริษัท ฮอนด้า ออโตโมบิล (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า เรื่องนี้ทำให้ฮอนด้าตัดสินใจง่ายขึ้น โดยเชื่อว่านโยบายเกี่ยวกับพลังงานทางเลือก ซึ่งเดิมเคยนำประเด็น " รถยนต์ไฮบริด " ขึ้นมาพิจารณาคงจะเบรกไว้ก่อน หันมาพิจารณาและให้ความสำคัญกับเครื่องยนต์ที่สามารถใช้น้ำมันอี 85 ก่อน ทั้งนี้เนื่องจากดำเนินการง่ายกว่าเพียงแค่ปรับปรุงอุปกรณ์บางตัว และเติมเทคโนโลยีในส่วนที่จำเป็นลงไปอีกนิดหน่อย แต่อย่างไรก็ตามเรื่องนี้ยังไม่เห็นผลในเร็ว ๆ นี้ เพราะนโยบายรัฐก็เป็นเพียงแค่มติของที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเท่านั้น ยังมีกระบวนการอีกเยอะ ส่วนรถยนต์ที่น่าจะมีความพร้อมก็อาจจะมีหลายตัว ทั้งซีวิคและแอคคอร์ด
แหล่งข่าวกล่าวต่อว่า สำหรับปัญหาเรื่องส่งมอบรถช้าเกือบกว่า 4 เดือนนั้น ขณะนี้ได้รับการแก้ไขแล้ว โดยหลังสงกรานต์ที่ผ่านมา บริษัทได้เพิ่มกำลังการผลิตขึ้นอีก 1 กะ มีกำลังผลิตเพิ่มขึ้นอีก 60,000 คัน จากเดิมที่โรงงานผลิตรถยนต์ทั้ง 2 โรงงานต้องปรับลดกำลังผลิตลงเหลือเพียงโรงงานละ 1 กะเท่านั้น ตอนนี้เราเพิ่มอีก 1 กะ ก็จะทำให้สามารถผลิตได้ถึง 18,000 คันต่อปี เพียงพอกับความต้องการของตลาดในประเทศและตลาดส่งออก
แหล่งข่าวกล่าวอีกว่า สำหรับยอดขายรถยนต์ฮอนด้าในไตรมาสแรก ( มกราคม-มีนาคม 2553 ) เพิ่มขึ้นทั้งในตลาดรถยนต์โดยรวมและตลาดรถยนต์นั่ง โดยเพิ่มขึ้น 19.2% และ 17.8% มีส่วนแบ่งตลาด 13.1% และ 30.7% ตามลำดับ
ทั้งนี้ยอดจำหน่าย รถยนต์ฮอนด้าในไตรมาสแรกรวม 21,893 คัน แบ่งเป็น รุ่นต่าง ๆ ดังนี้ ฮอนด้า ซิตี้ มียอดจำหน่ายสูงสุด 8.439 คัน เพิ่มขึ้น 25% และแจ๊ซมียอดจำหน่าย 3,333 คัน ลดลง 15% ส่วนฮอนด้า ซีวิค มียอดจำหน่าย 6,122 คัน เพิ่มขึ้น 13% ฮอนด้า แอคคอร์ดมียอดจำหน่าย 1,404 คัน เพิ่มขึ้น 19% ฮอนด้า ฟรีด มียอดจำหน่าย 1,020 คัน และฮอนด้า ซีอาร์-วี มียอดจำหน่าย 1,575 คัน เพิ่มขึ้น 42%
ในขณะที่มติ ครม.ที่อนุมัติลดภาษี สรรพสามิตรถยนต์อี 85 ประกอบด้วย 1.รถยนต์ที่มีกระบอกสูบตั้งแต่ 1,780 ซีซี แต่ไม่เกิน 2,000 ซีซี อัตราภาษีลดจากปัจจุบัน 25% เหลือ 22% 2.รถยนต์ที่มีกระบอกสูบตั้งแต่ 2,000 ซีซี แต่ไม่เกิน 2,500 ซีซี อัตราภาษีลดจาก 30% เหลือ 27% และ 3.รถยนต์ที่มีกระบอกสูบตั้งแต่ 2,500 ซีซี แต่ไม่เกิน 3,000 ซีซี อัตราภาษีลดจากปัจจุบัน 35% เหลือ 32%
นอกจากนี้ยังอนุมัติมาตรการขยายเวลาลดอากรนำเข้ารถยนต์สำเร็จรูปอี 85 จากอัตรา 80% เหลือ 60% สำหรับรถยนต์อี 85 ที่มีขนาดกระบอกสูบตั้งแต่ 1,780 ซีซี แต่ไม่เกิน 3,000 ซีซี จำนวนไม่เกิน 2,000 คัน หมดเขตภายใน 1 ปี นับตั้งแต่กฎหมายบังคับใช้ จากเดิมหมดอายุวันที่ 31 ธ.ค. 2552 รวมทั้งให้กระทรวงการคลังเร่งจัดทำประกาศยกเว้นอากรนำเข้าชิ้นส่วนรถยนต์ อี 85 ตามมติ ครม.วันที่ 3 มิ.ย. 2551 โดยชิ้นส่วนที่จะได้รับยกเว้นอากรต้องสามารถใช้ได้กับรถยนต์อี 85 ไม่มีการผลิตในประเทศ และราคาเทียบเท่าหรือถูกกว่า ชิ้นส่วนนำเข้า
ทั้งนี้นายกรัฐมนตรียังได้ตั้ง 3 ข้อสังเกตในที่ประชุมว่า ก่อนมีมาตรการส่งเสริมน้ำมันอี 85 กระทรวงพลังงานต้องไปศึกษาให้ชัดเจนก่อนว่ามีผลกระทบอย่างไรบ้าง และเสนอ ครม.รับทราบ ได้แก่ 1.ต้องพิจารณาความคุ้มค่าและความเป็นไปได้ในการส่งเสริมน้ำมันอี 85 อาทิ ความเป็นไปได้ในการเพิ่มประเภทน้ำมันอี 85 และโครงสร้างราคาที่เหมาะสมคุ้มค่า 2.การ ส่งเสริมใช้น้ำมันอี 85 ต้องไม่กระทบความมั่นคงอาหารและการบริโภคในประเทศ ลดการสูญเสียพื้นที่เกษตรไม่ให้มาใช้ปลูกพืชพลังงานมากเกินไป ตลอดจนต้องมีแผนเพิ่มผลผลิตการเกษตรด้วย และ 3.ต้องไม่กระทบต่อนโยบายส่งเสริมรถยนต์ประหยัดพลังงาน หรืออีโคคาร์
" สำนัก งานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) รายงานว่า การส่งเสริมการใช้น้ำมันอี 85 จะไม่กระทบรถอีโคคาร์ เพราะอีโคคาร์เป็นรถขนาดเล็กไม่เกิน 1,300 ซีซี ขณะที่รถยนต์อี 85 เป็นตลาดรถยนต์ขนาดใหญ่ ตั้งแต่ 1,780 ซีซีขึ้นไป ซึ่ง ครม.เศรษฐกิจตั้งข้อสังเกตว่า หากมาตรการส่งเสริมน้ำมันอี 85 กระทบต่อผู้ผลิตรถยนต์อีโคคาร์ ให้กระทรวงอุตสาหกรรมและกระทรวง การคลังพิจารณาแนวทางสนับสนุนอีโคคาร์เพิ่ม อาทิ ส่งเสริมอีโคคาร์แยกตลาดกับรถยนต์พลังงานทดแทน (FFV) ให้ชัดเจน "