Sense ของเซลล์ครับ. เขามองว่า คุณเป็นprospect ที่มีpotential ในการขายได้น้อยกว่า(คนอื่นในงานที่เขาดูอยู่เล็งอยู่)
การทดสอบขับ มันเป็นแค่visibilityแค่นั้นเอง. คนจะซื้อส่วนใหญ่จะเคยเทสมาก่อน
และผมเขื่อส่วนตัวว่า. คนซื้อford(ตั้งใจมาซื้อเลย) เขารุ้ว่ามันขับขี่เป็นอย่างไร
และการขับขี่ทดสอบระยะไม่มาก. บอกตรงๆนะ. ไม่เห็นสมรรถนะที่แท้จริงหรอกครับ
พอเคยเทสมาก็มาคุยว่าเคยทดสอบรุ่นนั้นุ่นนี้มาแล้ว. ทั้งๆที่ขับไม่ถึงชั่วโมง.
รถทุกคนขับแบบทดสอบอาการมันเเทบจะไท่ต่างกันมากมายจนเป็นจุดที่จะเลือกรถ
แต่หากเป็น ราคา. สมรรถนะ option และศูนย์บริการ. มากกว่าทดสอบการขับขี่
ผมขับมาสด้า2. และเคยทดสอบb sec เกือบทุกคัน. มันแทบจะไม่ต่างอะไร
แต่เมื่อได้ลองขับทางไกลๆ. เราจะรุ่สมรรถนะมัน จะรุ้บุคลิกรถคันนั้น.
ตรวนี่ต่างหากที่ถึงจะมีส่วนที่ไห้เราตัดสินใจได้. ว่าสมรรถนะรถแต่ละคันเป็นอย่างไร
ในส่วนของการขอทดสอบรถ. ผมเชื่อว่าลองคุยทำทีว่าสนใจ "ซื้อ" มากกว่าสนใจ"ลองขับ"
ลองถามส่วนลด. ถามเงินดาวน์. สี. รุ่น. และทำทีตัดสินใจ ผมเชื่อว่าคุนได้ลองแน่นอน
เห็นด้วยในหลายๆข้อครับ ลองขับในระยะสั้นๆพื้นถนนเดิมๆ รถแต่ละคันไม่ได้ต่างกันมากมาย
แล้วก็คงเป็นเรื่องจริงที่เซลมองแบบนั้น เลยไม่อยากบริการลูกค้าบางคน เพราะรู้สึกเสียเวลา
แต่! แต่! มันใช่หน้าที่ผู้มาซื้อหรอที่ต้องมาทำตัวน่าขาย ไม่ใช่ว่ามันคือหน้าที่คนขายหรอที่ต้องทำตัวน่าซื้อ
ไอเวลาที่เซลคิดว่าตัวเองเสียเนี่ย มันมีค่ามากมายขนาดนั้นเลยหรอขอถามหน่อย
มีคนไม่น้อยที่เลือกซื้อรถจากเซลและการบริการ มากกว่าแค่สรรมถนะของตัวรถ
เพราะมันสื่อถึงบริการหลังการขายที่เราจ่ะได้รับ หากเราต้องการความช่วยเหลือโดยไม่มีผลประโยชน์ให้
เค้าจ่ะช่วยเรามั้ย หรือเค้าจ่ะคิดแค่ว่า ขายก็จบ หมดหน้าที่ ไม่ใช่ปัญหากรุ
สุดท้ายแล้วฝ่ายที่เสียหายเองคือฟอร์ด ที่เสีย potential ลูกค้าไปเพียงเพราะเซล "ไม่อยากเสียเวลา"